ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 533 รุ่งเรืองเสื่อมโทรม ผู้ใดกำหนด (1)
บทที่ 533 รุ่งเรืองเสื่อมโทรม ผู้ใดกำหนด (1)
สายฟ้าสีฟ้าวาดผ่านท้องฟ้ายามราตรีสีดำสนิทอย่างฉับพลัน ครืน เสียงสายฟ้าช้าไปหนึ่งจังหวะจึงค่อยส่งถึงพื้นดิน
ผืนดินมืดครึ้ม ไม่มีแสงจันทร์ ต้นไม้แห้งแยกเขี้ยวกางเล็บตั้งอยู่บนพื้นดินที่แห้งแล้ง ลมเย็นม้วนเอาใบไม้กับเศษซากบนพื้นให้พลิกม้วนและส่งเสียงตลอดเวลา
ชายฉกรรจ์หลายคนที่สวมชุดผ้าหยาบสีเทาอมดำ บ้างสูงบ้างเตี้ย บ้างผอมบ้างอ้วน กำลังเดินโขยกเขยกอยู่บนพื้นดินที่แห้งแล้งอย่างยากลำบาก
“อยู่ด้านหน้าไม่ไกลแล้ว ทุกคนพยายามหน่อย!” ชายร่างผอมที่เป็นผู้นำกลุ่มหันมาหอบหายใจ พร้อมกับปลดเอากาน้ำตรงเอวขึ้นมาเงยหน้ากรอกใส่ปากหลายคำ
“ให้ตาย อากาศผีสางมารดามัน ทั้งฟ้าร้องทั้งพายุ แต่ฝนกลับไม่ตก” ชายร่างผอมสบถด่า
“อาจิน ท่านแน่ใจนะว่าเป็นที่นี่ เหตุใดข้ารู้สึกว่าที่นี่ผิดปกติอยู่บ้าง” เฉินลี่ชายฉกรรจ์ที่เคยเป็นมือปราบของทางการมาก่อน มองดูผืนดินประหลาดตรงหน้าด้วยความลังเลเล็กน้อย
ความจริงคนที่เหลือก็กังวลแบบนี้เหมือนกัน เพียงแต่อดทนมาโดยตลอดจนกระทั่งมีคนเอ่ยปากส่งเสียง
อาจินที่เป็นชายร่างผอมหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง
“พวกเจ้าอย่าเพิ่งพูด เริ่มแรกตอนที่ข้าหลงทางมาถึงนี่ ยังตกใจแทบตาย ภายหลังมาบ่อยๆ เข้า กลับไม่เป็นไรสักอย่างเดียว จงรู้ไว้เสียว่าโอกาสรวยมาถึงแล้ว”
“หลังจากภัยพิบัติมาร พื้นที่แทบทั้งหมดใกล้ๆ นี้มีความอุดมสมบูรณ์ขึ้นไม่น้อย สถานที่แห่งนี้กลับไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียว หรือว่าจะมีของไม่ดีหรือไม่ เกิดเจอเข้า พวกเราไหนเลยไม่ใช่โดน…” ในกลุ่มมีชายหนุ่มหน้าซีดเผือดคนหนึ่งอดกล่าวเบาๆ ไม่ได้
“ผายลมสุนัขมารดาเจ้า! ข้ามาที่นี่ไม่ต่ำกว่าสิบรอบแล้ว! ถ้ายังปากเสียอีกข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายซะ!” พออาจินเห็นว่าแม้แต่เด็กน้อยผู้นี้ก็กล้าตั้งคำถามกับตนเอง แถมยังปากไม่ดีบอกว่าทุกคนอาจเกิดเรื่องอีก ก็พลันโมโห
คนอื่นๆ ต่างจ้องมองคนผู้นี้ด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร คำพูดดีๆ มีไม่พูด นี่มันกล่าววาจาอัปมงคลชัดๆ
คนหนุ่มผู้นั้นรู้เช่นกันว่าตนเองปากไม่ดี จึงรีบก้มหน้าไม่กล้าส่งเสียงอีก
“พอแล้ว เดินทางต่อ” อาจินสาวเท้านำทางไปด้านหน้าโดยมีคนอื่นๆ ติดตามอยู่ด้านหลัง
คนทั้งขบวนเดินลัดเลาะไปตามผืนดินแห้งผากราวครึ่งชั่วยาม ในที่สุด อาจินก็เจอร่องแยกที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณรอบๆ อยู่ด้านหน้า แล้วเอาหัวมุดเข้าไปดูข้างใน
ร่องแยกกว้างหนึ่งหมี่กว่าๆ มืดสนิท ลึกจนไม่เห็นก้น
เพียงแต่บนผนังหินของร่องแยกมีท่อนไม้ที่ใช้ตะปูหยาบตอกเอาไว้ฝังตัวอยู่ในดิน ท่อนไม้แต่ละท่อนยืดขยายลงไปด้านล่างเหมือนเป็นบันไดที่จัดวางตำแหน่งไว้เรียบร้อย
“รีบมา! เข้ามาพร้อมกัน! เร็วๆ เข้า!” อาจินหย่อนร่างลงไปครึ่งหนึ่ง พร้อมกับรีบร้องเรียกคนที่เหลือ
“ทิ้งคนหนึ่งไว้เฝ้าข้างนอก คนอื่นๆ ตามข้ามา!” เขาสั่ง “จะรวยไม่รวยขึ้นอยู่กับตอนนี้นี่แหละ!”
คนที่เหลือถูกบีบคั้นจนอับจนหนทาง ถึงได้ยินยอมมาแสวงโชคด้วยกัน พอได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาพลันปรากฏเส้นเลือด ต่างถูหมัดถูมือ รออาจินลงไปเสร็จ พวกเขาก็ต่อแถวมุดเข้าร่องแยกต่อ
“เจ้ารออยู่ที่นี่ รอพวกพี่ชายขุดของกันเสร็จเรียบร้อย จะเอาออกมาแบ่งให้เจ้า!” คนร่างอ้วนคนหนึ่งตบบ่าของคนหนุ่มขี้ขลาดเมื่อก่อนหน้านี้ แล้วทิ้งเขาไว้บนพื้นดินคนเดียว
“ข้า…” คนหนุ่มอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่พอเห็นสีหน้าอดรนทนไม่ไหวของคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าพูด ได้แต่พยักหน้าอย่างจนปัญญา
ไม่นานคนทั้งขบวนก็ลงร่องแยกไป อาจินถือตะเกียงยืนอยู่บนที่วางเท้าในร่องแยกแล้ว
ร่องแยกนี้สูงร้อยกว่าหมี่ ข้างใต้เชื่อมต่อกับทางเชื่อมใต้ดินสีสำริด ทางขวาของทางเชื่อมเป็นประตูศิลาที่สูงและใหญ่มากบานหนึ่ง
ประตูศิลาสูงเจ็ดแปดหมี่ แสงตะเกียงของตะเกียงน้ำมันสีเหลืองอ่อนส่องสะท้อนลวดลายอันงดงามนับไม่ถ้วนที่มีความเก่าแก่และวิจิตร
ลวดลายเหล่านี้เลื้อยไต่อย่างต่อเนื่องราวกับมีชีวิตภายใต้การสั่นไหวจากแสงไฟ
“ไม่ต้องดูลวดลายพวกนั้น ดูด้านล่างสุด!” อาจินรีบสั่ง
ทุกคนพลันหันสายตาไปมองพื้นดินตามทิศทางที่อาจินบอก
เห็นร่องแยกสีดำกว้างเท่านิ้วมือหลายนิ้วอยู่ข้างใต้ประตูศิลา ขอบของร่องแยกมีรอยแตกจำนวนมากแผ่ขยายออกไปรอบๆ เหมือนใยแมงมุม
อาจินผิวปากหวือ ก่อนจะรีบพุ่งลงไป แล้วใช้นิ้วแหย่เข้าไปร่องแยก พร้อมกับเหนี่ยวตัวไปทางด้านนอก
ตุบ อยู่ๆ ก้อนหินก้อนหนึ่งก็ถูกเขาดึงลงมาจากบนประตู แล้วกลิ้งลงมา ด้านหลังคือสีทองอร่าม
“ทอง!” ความขลาดกลัวเมื่อก่อนหน้าของคนทั้งกลุ่มหายวับไปในทันทีเพราะความยั่วยวนของทองคำ ต่างคนต่างก็พุ่งเข้าไปด้วยดวงตาสีแดงก่ำ
แต่ละคนหยิบกันคนละชิ้น ทุกคนต่างดึงก้อนหินลงมาจากบนประตูศิลา ด้านหลังก้อนหินแต่ละก้อนคือทองคำหนาครึ่งหนึ่ง
“รวยแล้วโว้ย! ฮ่าๆๆ!”
“รวยแล้ว!”
“ฟื้นตัวได้แล้ว! ในที่สุดก็ฟื้นตัวได้แล้ว!”
ทุกคนรวมถึงอาจินดึงก้อนหินลงมาอย่างบ้าคลั่ง ร่องแยกของประตูศิลาค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และยืดขยายไปยาวขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับการเคลื่อนไหวของพวกเขา
“ที่นี่…หรือว่าพวกเราจะมาเจอซากโบราณสถานของสัตว์ประหลาดที่ถูกผนึก” อยู่ๆ คนร่างอ้วนคนนั้นก็ได้สติ ครั้นเห็นลวดลายลี้ลับบนก้อนหินในมือ ก็กล่าวอย่างใจไม่ดี
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ซากโบราณสถานผนึกอะไรนั่นมีค่ายกลคุ้มครองอยู่ตั้งหลายชั้น ถ้าหากว่าใช้ผนึกที่คนธรรมดาอย่างเราๆ ทำลายได้แบบนี้ล่ะก็ สัตว์ประหลาดพวกนั้นคงโผล่มาตั้งแต่แรกแล้ว” อาจินกล่าวอย่างไม่สนใจ
“พูดถูกแล้ว”
ทุกคนข่มความกระวนกระวาย ก่อนจะดึงก้อนหินลงมาอย่างบ้าคลั่งต่อไป
ด้านหลังประตูหิน
ร่องแยกใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับที่ก้อนหินถูกดึงลงมา ท่ามกลางความมืดมิด ไอหมอกสีเทาที่ลอยอยู่กลางอากาศกลุ่มหนึ่งค่อยๆ พลิกตัวด้วยความถี่ที่มากขึ้นเรื่อยๆ
…
อินตู
บ้านเรือนและหอสีแดงอ่อนที่เชื่อมต่อกันอย่างไร้ที่สิ้นสุดในอินตู ยิ่งใหญ่รุ่งเรือง อลังการและงดงามราวกับภาพวาดที่ให้ความรู้สึกสงบและสมบูรณ์แบบใต้แสงอาทิตย์ยามสายัณห์
เขตที่อยู่อาศัยของสามตระกูลใหญ่รวมถึงพระราชวังตัดกันเป็นสี่เหลี่ยมอย่างชัดเจน โดยที่พระราชวังอยู่มุมบนขวาของสี่เหลี่ยม
ลำแสงสีขาวขนาดเท่ามดหลายสายพุ่งขึ้นจากอินตูอย่างต่อเนื่อง วาดเป็นเส้นโค้งมากมาย แล้วมุ่งหน้าไปยังที่ไกล
มีแต่ตอนนี้เท่านั้นที่เกราะคุ้มกันค่ายกลสีเหลืองอ่อนซึ่งยิ่งใหญ่ไพศาลเหนืออินตูถึงจะค่อยๆ เผยเค้าโครงในชั่วพริบตาหนึ่ง
ในพริบตาที่ลำแสงพุ่งจากไป จะปรากฏอาณาเขตทรงโค้งเล็กๆ ขึ้น
หวงเฟยแห่งราชวงศ์เผชิญการลอบสังหารแล้วหายตัวไปได้หนึ่งเดือนกว่าๆ แล้ว
ความขัดแย้งภายใน ณ เวลานี้ของสามตระกูลใหญ่ที่เป็นตัวแทนของราชวงศ์ไปถึงขั้นที่ไม่อาจไม่ปะทุได้อีกแล้ว
เขตหอมหมื่นลี้ ถนนสายที่เจ็ด
บนถนนสายที่เจ็ดที่อัดแน่นด้วยเหลาสุรากับโรงสุรา มีผู้คนเดินขวักไขว่และมีรถม้าคอยรับส่ง ที่นี่อยู่ติดกับเขตหอนางโลมที่มีสีสันและเต็มไปด้วยหญิงคณิกา สุราและเมถุนไม่เคยอยู่แยกกันอยู่แล้ว
ติ้งๆๆ…
ขณะที่รถม้ามากมายเคลื่อนที่ไปมา รถม้าคันเล็กสีดำลายเสือขาวคันหนึ่งก็ค่อยๆ หยุดลงด้านหน้าโรงสุราฝันเมามายที่ใหญ่ที่สุดและหรูหราที่สุดบนถนนเส้นนี้
เด็กรับใช้ของโรงสุรารีบเข้ามาเปิดประตู บุรุษผมยาวในชุดเนื้อบางสีดำ มัดผ้าคาดศีรษะสีม่วงเข้มคนหนึ่ง ค่อยๆ เดินลงจากตัวรถ
“นายท่านได้นัดไว้ไหมขอรับ” เด็กรับใช้ยิ้มพลางถามเบาๆ
“ใต้เท้าซือถูกับใต้เท้าหวังแห่งหอฝูงกระเรียนอยู่ที่นี่หรือไม่” บุรุษผู้นี้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้ากับพวกเขานัดกันมาเจอที่นี่”
“อยู่ขอรับๆ ใต้เท้าสองคนดื่มสุราอยู่ที่นี่พอดี ใต้เท้าจะแจ้งนามของท่านเอง…หรือจะให้ข้าน้อยแจ้งแทน” เด็กรับใช้ถามหยั่งเชิงอย่างนอบน้อม
“อยู่หรือ พอดีทีเดียว” บุรุษฉีกยิ้ม
ควับๆๆ!
ชั่วพริบตานั้นมีเงากระบี่สีเงินผืนใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหลังเขา คมกระบี่นับไม่ถ้วนซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ เหมือนกับปีก แล้วยืดขยายออกไปสองด้านเป็นระยะทางหลายร้อยหมี่
จากนั้นก็ฟันไปด้านหน้า
เด็กรับใช้ถูกฟันขาดเป็นสองท่อนทันที
โรงสุราถูกผ่าเป็นผุยผงเหมือนกับกระดาษในชั่วอึดใจ
อ๊าก!
เสียงร้องโหยหวน เสียงร้องตกใจ และเสียงตะโกนโกรธเกรี้ยวดังกระจายออกไปรอบๆ พร้อมกับฝูงชนที่ตกใจขวัญหาย พวกที่มีวิทยายุทธ์หนีกระจัดกระจายอย่างรวดเร็ว เหลือแต่พวกที่ไม่มีวรยุทธ์ติดตัวแข้งขาอ่อนระทวยล้มพับกับพื้น บ้างก็ซ่อนเข้าไปในมุมเพื่อหลบอันตราย แต่ส่วนใหญ่กลับพุ่งออกมาพร้อมกับคำรามอย่างโกรธแค้น
“บังอาจ!”
ขณะที่เศษอิฐกับแผ่นไม้ของโรงสุรากระจายเวียนว่อน ลำแสงหลากสีสิบสายทะยานร่างขึ้น พร้อมกับพุ่งใส่บุรุษเสื้อเนื้อบาง
ด้านในซากปรักหักพังด้านล่างมีคนชมดู พร้อมจะลงมือตลอดเวลา
“มู่จิ่นชุน วันนี้เป็นวันตายของเจ้า!” บุรุษสวมชุดเนื้อบางสีดำไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย หากพลิกมือชักกระบี่ยาวสีดำออกมาจากด้านหลัง แล้วพุ่งเข้าใส่ลำแสง
ตูม!
แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน หอคอยสูงใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปก็ถล่มลงอย่างสะเทือนเลือนลั่นเพราะการระเบิดของเปลวไฟสีทองนับไม่ถ้วน
เงาคนสีทองอร่ามสองสายคำรามพร้อมกับเข่นฆ่ากัน ทะยานร่างขึ้นกลางอากาศ ยิ่งสู้ยิ่งออกห่าง
สถานที่สิบกว่าแห่งที่เหลือในอินตูก็เกิดการต่อสู้ฆ่าฟันเช่นกัน
อินตูแห่งต้าอินตกสู่ความสับสนอลหม่านในเวลาเพียงครึ่งชั่วยามสั้นๆ
เนื่องจากเรื่องที่หวงเฟยประสบการลอบสังหาร บวกกับไม่มีบรรพบุรุษเจ้าแห่งอาวุธคอยสะกด ในที่สุดสามตระกูลใหญ่ก็ฉีกหน้ากันโดยสมบูรณ์
เงาคนสีทองคำขาวสองสายของตระกูลหยวนกวงพุ่งร่างขึ้นฟ้า เข้าปะทะกับเงาแสงสีแดงเจิดจรัสสิบกว่าสายที่พุ่งมาแต่ไกล
หยวนกวงย่วนกัดฟัน ยืนเงยหน้ามองดูการต่อสู้ฆ่าฟันกลางอากาศอยู่ในลานเรือนของตัวเอง รู้สึกได้ว่าสถานการณ์ผิดปกติ
…
แคว้นนวกระจ่าง เขตจันทราสราท
แก๊งๆๆ!
เสียงระฆังยักษ์ถูกตีขึ้นอย่างหนักหน่วงอันหมายถึงการเตือนภัย
ตัวแทนของสามสำนักและตัวแทนจากกรมต่างๆ รวมตัวกันอยู่ในจวนผู้ปกครองเขตด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทัพหยินหยางและทัพอักขระมืดพากันสวมเกราะเพื่อเตรียมจู่โจม
เฉินซวินผู้ปกครองเขตคนใหม่อายุเจ็ดสิบเก้าปีแล้ว เดิมทีตอนที่ได้รับการย้ายมารับตำแหน่งที่เขตจันทราสารทก็เพื่อใช้ชีวิตยามบั้นปลายอย่างสุขสบาย แต่กลับนึกไม่ถึงว่าตอนแรกที่มาจะเจอภัยพิบัติมารอุบัติ ต่อมามีสถานการณ์หนักหนาอย่างในตอนนี้ ผมของเขาที่ตอนแรกเป็นสีขาวก็ซีดขาวมากขึ้นเพราะสถานการณ์เลวร้ายในช่วงนี้
อย่างไรเขาก็เป็นแค่คนธรรมดา เป็นเพียงคนธรรมดาที่มีสายเลือดตระกูลขุนนางนิดหน่อยเท่านั้น
“เขตตำบลสิบเก้าตำบลใกล้ๆ หมู่บ้านมัจฉาครามส่งรายงานเตือนภัยมาในยามกลางจื่อเมื่อคืนอย่างกะทันหัน จนถึงตอนนี้ได้ขาดการติดต่อไปแล้ว กลุ่มสำรวจที่ข้าส่งไปก็ไม่มีข่าวคราวเช่นกัน ตามข้อมูลการจับตาดูของกรมสังข์เขียว ทุกชีวิตบนผืนนาในอาณาเขตใหญ่ใกล้ๆ หมู่บ้านมัจฉาครามเหมือนหายไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ปีศาจ แมลง หรือสัตว์ธรรมดา” เฉินซวินกล่าวด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อย เขากวาดตามองรอบๆ อีกครั้ง
“ตอนนี้อริยะเจ้าลู่ไม่อยู่ ตัวแทนของสำนักมารกำเนิดมาแล้วหรือยัง เป็นท่านใดให้เกียรติมา”
“คนของสำนักมารกำเนิดไม่ได้มา…” ผู้อาวุโสซึ่งเป็นตัวแทนของสำนักพันอาทิตย์กล่าวอย่างจนใจ “เมื่อครู่นี้ใกล้ๆ วังมารของสำนักมารกำเนิดเกิดสถานการณ์อันตราย มีศิษย์หลายสิบคนหายไปเสียเฉยๆ สำนักมารกำเนิดได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว อีกไม่นานคงจะได้ความ”
“หายไปหรือ”
“แม้แต่สำนักมารกำเนิดก็เกิดเรื่องเหมือนกันหรือ”
“จะกล้าเกินไปแล้วกระมัง ใครกันที่โอหังขนาดนี้”
สีหน้าของผู้อาวุโสที่เป็นตัวแทนของสำนักอื่นๆ เช่นสำนักซ่อนธาตุก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
ตอนนี้สำนักมารกำเนิดเป็นราชันอันดับหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรีในแคว้นนวกระจ่าง หากพวกเขาบอกที่หนึ่งก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าที่หนึ่ง
แม้แต่วังมารซึ่งเป็นรังของสำนักมารกำเนิดยังกล้าแตะต้อง นี่มันเป็นการขุดดินบนหัวเทพเจ้าโดยแท้
……………………………………….