ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 534 รุ่งเรืองเสื่อมโทรม ผู้ใดกำหนด (2)
บทที่ 534 รุ่งเรืองเสื่อมโทรม ผู้ใดกำหนด (2)
“รายงาน!”
ขณะที่ทุกคนกำลังกระวนกระวายใจ ก็มีสายสืบคนหนึ่งตะโกนเข้ามา
“ทางสำนักมารกำเนิดมีสถานการณ์การต่อสู้เร่งด่วนส่งมา!”
“เอามาดู!” เฉินซวินหน้าเปลี่ยนสี รีบตวาด
สายสืบมอบจดหมายให้แก่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ หลังจากตรวจแล้วว่าไม่มีพิษ ก็มอบให้เฉินซวินทันที
เฉินซวินแกะจดหมาย เพียงอ่านตัวหนังสือด้านหน้าสองสามแถว สีหน้าก็ผกผันทันที
“เฒ่าสือแห่งวังมารได้รับบาดเจ็บหนักใกล้ตาย เตรียมเปิดใช้ค่ายกลคุ้มครองวัง!”
“อะไรนะ!”
ทุกคนพลันตกใจ
…
ฟ้าวๆๆ…
เงาในสภาพหมอกควันกึ่งโปร่งแสงกลุ่มใหญ่แผ่ตลบอบอวลอยู่กลางอากาศ ผืนดินมีหมอกสีขาวเทาระเหยขึ้นช้าๆ และกำลังเปลี่ยนจากอุดมสมบูรณ์เป็นแห้งแล้งแตกร้าวด้วยความเร็วที่ตาเนื้อมองเห็นได้
รอยแตกหลายสายปรากฏขึ้นอย่างเชื่องช้า สีเทาชั้นหนึ่งค่อยๆ ปกคลุมท้องฟ้ารอบๆ วังมารที่ยิ่งใหญ่ของสำนักมารกำเนิด ต้นไหม้แห้งโกร๋น พุ่มหญ้ากลายเป็นผงดำแล้วกระจัดกระจายไป
“ฆ่า!”
นักรบสวมเกราะหนัก สลักอักขระแสงสีขาวไว้ทั่วร่างพุ่งออกจากวังมาร พร้อมทั้งควงกระบี่ยักษ์หมายจะฝ่าวงล้อม
บนท้องฟ้าพลันมีเงาสีเทาหลายสายพุ่งลงมา กระแทกใส่ร่างนักรบสวมเกราะอย่างรุนแรง
เปรี้ยงๆๆ!
นักรบสวมเกราะส่วนใหญ่ปลิวออกไป ราวกับถูกรถบรรทุกชนใส่ กระอักเลือดบาดเจ็บสาหัสใกล้ตาย มีนักรบสวมเกราะจำนวนน้อยเท่านั้นที่ระเบิดสารกายออกมาจากทั่วร่างเพื่อต้านทานแรงกระแทก พร้อมทั้งควงกระบี่เข้าเข่นฆ่ากับเงาสีเทาอย่างดุร้าย
ค่ายกลที่เหมือนกับคลื่นหลายกลุ่มปรากฏขึ้นรอบวังมาร ขานรับกับม่านแสงของค่ายกลที่ปรากฏขึ้นโดยรอบ นครเขตที่อยู่ไกลออกไป ป้องกันการโจมตีของเงาสีเทาสุดชีวิตเช่นกัน
“ถอย!” เงาสีดำสายหนึ่งทิ้งตัวลงมาจากฟ้า ปราณมารสีดำรอบๆ พลิกม้วนทะลักไหล กวาดทำลายเงาเทาสิบกว่าสายให้หมดไปในทันที
ราชาเงามืดสวี่เฝ่ยลาสีหน้าเขียวคล้ำ โบกมือปล่อยปราณมารออกมาม้วนศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บของสำนักมารกำเนิดเพื่อส่งกลับเข้าวังมารเป็นระยะ ขณะเดียวกันก็มีผู้อาวุโสและลูกศิษย์จำนวนมากกว่าเดิมออกจากค่ายกลมาต่อสู้อย่างดุเดือด
“นี่มันเป็นตัวอะไรกันแน่!?” จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่า พวกนี้เป็นสิ่งใดกันแน่
เงาสีเทาที่อ่อนแอที่สุดมีอานุภาพระดับปฐพีกำเนิด อาศัยแค่การพุ่งชนง่ายๆ ก็สร้างความเสียหายอย่างสาหัสให้แก่ศิษย์หัวกะทิของสำนักได้แล้ว
สู้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง
แม้แต่เขาที่เป็นราชามารก็ได้แต่ต้านรับการพุ่งชนของเงาสีเทาสิบกว่าตัวเท่านั้น
“นี่คือวิญญาณร้าย!”
เงาสีดำสองสายพุ่งออกมาจากด้านหลัง แล้วทิ้งตัวลงด้านข้างราชาเงามืดอย่างแผ่วเบา ด้านข้างมีอาวุธเทพสองชิ้นร่ายรำอยู่ พวกเขาพลิกมือปล่อยประกายกระบี่สีดำกับกระแสอากาศสีขาวออกมาต้านทานเงาสีเทาที่พุ่งมาจากสองทิศทางที่เหลือ เป็นผู้ถืออาวุธและผู้สักการะสองคนของสำนักมารกำเนิด
“ถอยกลับไปก่อนค่อยว่ากัน! ไป!”
ทั้งสองจับตัวราชาเงามืดไว้ แล้วหมุนตัวโผบินเข้าไปในอาณาเขตของค่ายกล
ฟู่ว…
อยู่ๆ ไกลออกไปก็มีเสียงสูดลมหายใจลึกดังมา เสียงสูดลมนั้นดังสนั่นอย่างน่าอัศจรรย์ พริบตาเดียวก็ดึงดูดความสนใจของคนรอบๆ ได้แล้ว
“นั่นคือ…!?” ผู้ถืออาวุธสามคนเพิ่งจะตั้งหลักได้ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักหน่วงที่มีจังหวะจะโคนดังมาจากในหมอกสีเทาไกลออกไป
ตึง!
ตึง!
ตึง!
สัตว์ประหลาดยักษ์ตัวใหญ่สุดเปรียบปรานที่สูงมากกว่าร้อยหมี่ค่อยๆ ปรากฏร่างในหมอกไกลออกไป เงาสีเทานับไม่ถ้วนกำลังมุดเข้าร่างมันอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ร่างกายของมันขยายขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
สัตว์ประหลาดตัวนี้อยู่ห่างจากวังมารเกือบหลายพันหมี่ แต่ทั้งๆ ที่อยู่ไกลขนาดนี้ ทุกคนกลับเห็นขนาดอันน่ากลัวและคลื่นกลิ่นอายอันเหี้ยมหาญของมันได้อย่างชัดเจน
สัตว์ประหลาดยักษ์ตัวนี้มีปากยาวเหมือนกับวาฬ บนตัวมีขนสีทองปกคลุม แขนขาใหญ่โต ลำตัวบวมป่อง ร่างกายอยู่ในลักษณะกึ่งโปร่งแสง เห็นได้ว่าด้านในมีเงาสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังบินวนอยู่
“มันคืออะไรกันแน่!?” สวี่เฝ่ยลาใกล้จะเสียสติแล้ว ต่อให้เป็นร่างจริงของราชามารอย่างเขา ก็ยังไม่อลังการขนาดนี้ มิหนำซ้ำดูจากจำนวนเงาสีดำในร่างกาย เกรงว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้จะมีพลังเหนือกว่าตนเสียอีก
“วิญญาณร้าย…กลับปะทุไวขนาดนี้…”
ลิ่วซานจื่อผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักมารกำเนิดเดินนำคนออกมาจากในวังมาร แล้วมองดูเงาสีเทาผืนใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป
เงาเหล่านี้โอบล้อมม่านแสงค่ายกล คอยบินว่อนและฉีกขย้ำอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ม่านแสงสั่นไหวเป็นระยะ เหมือนกับพร้อมจะพังทลายได้ตลอดเวลา
“เสี่ยวเซิ่งเคยเตือนข้าถึงสิ่งนี้ นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นที่นี่…” ดวงตาของลิ่วซานจื่อฉายแววตึงเครียด
“สัตว์ประหลาดชนิดนี้มีพลังน่ากลัว ยอดฝีมือธรรมดาสู้ไม่ได้แน่ พวกเราต้องรีบแจ้งเสี่ยวเซิ่งให้เร็วที่สุด!”
“ดูเหมือนมันกำลังรวมร่างอยู่!?” มีคนตะโกนบอก
“แย่แล้ว! มันกำลังไปยังนครเขต! คฤหาสน์ลู่กับคุณชายน้อยอยู่ตรงนั้น!” ราชาเงามืดพลันร้องอย่างตกใจ
“หยุดมันไว้!”
ลิ่วซานจื่อตวาดด้วยสีหน้าที่แปรเปลี่ยน ด้านหลังมีเปลวไฟสีดำนับไม่ถ้วนทะลักออกไป สิงโตไฟสีดำตัวหนึ่งกระโจนออกมาจากในเปลวไฟ เขาพลิกตัวขึ้นขี่สิงโต ก่อนจะทะยานร่างพุ่งออกจากเกราะคุ้มกันค่ายกล เพื่อมุ่งหน้าเข้าหาสัตว์ประหลาดยักษ์!
ผู้ถืออาวุธคนอื่นๆ พากันลงมือ บินออกจากค่ายกล ควบคุมอาวุธเทพพลางเหินเข้าหาสัตว์ประหลาดยักษ์เช่นกัน
วิชาลับและความสามารถพิเศษของอาวุธเทพจำนวนมากเช่นเปลวไฟร้อนลวกที่สามารถหลอมทองละลายเงินได้ ลมสีขาวมีพิษร้ายที่สามารถกัดกร่อนกระดูก และปราณมารกำเนิดที่เน่าเหม็นมีพิษร้าย พากันระเบิดบนร่างสัตว์ประหลาดยักษ์อย่างรุนแรง
ทว่าการระเบิดเหล่านี้กลับเหมือนฝนตกปรอยๆ แม้แต่ผิวของสัตว์ประหลาดก็ยังทำลายไม่ได้ ได้แต่ถอนขนสีทองชั้นนอกของมันส่วนหนึ่งจนเผยให้เห็นผิวหนังกึ่งโปรงแสงสีขาวอมเทาข้างใต้เท่านั้น
“เจ้าพวกแมลงโง่เง่า!” สัตว์ประหลาดยักษ์หัวเราะลั่น เสียงเหมือนกับอัสนีบาตกระแทกวังมารจนสั่นไหว
เปรี้ยง!
มันใช้มือฟาดลิ่วซานจื่อที่นำหน้าจนชายชราลอยกลับไปถึงวังมาร แล้วกระแทกเข้ากับหอคอยอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้หอคอยหักลง
“ต่อหน้าใต้เท้าอันตูลาผู้ยิ่งใหญ่ พวกเจ้าเป็นแค่แมลงไร้ความเกรงกลัวเท่านั้น! ฮ่าๆๆๆ!” สัตว์ประหลาดยักษ์หัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง
ผู้ถืออาวุธกับราชามารทั้งหมดสี่คนพยายามจะขัดขวางการรุกคืบของมัน แต่ก็ไร้ประโยชน์ สัตว์ประหลาดยักษ์วิญญาณร้ายยังคงเข้าใกล้นครเขตจันทราสารททีละก้าวๆ
เทียบกับกระดองเต่าที่ทนทานอย่างวังมารของสำนักมารกำเนิดแล้ว นครเขตจันทราสารทไม่เพียงแค่มีการป้องกันต่ำกว่ามากเท่านั้น แม้แต่กลิ่นอายชีวิตด้านในก็เข้มข้นมากเช่นกัน
มากพอให้มันได้ละเลียดกินหนึ่งมื้อ
“แค่มนุษย์เท่านั้น! ไม่ต้องให้ฝ่าบาทมาด้วยพระองค์เองหรอก แค่ข้าอันตูลาก็สามารถบดขยี้พวกเจ้าได้ทั้งหมดแล้ว! ฮ่าๆๆๆ!” สัตว์ประหลาดยักษ์คำราม ภาษาที่ใช้ถึงกับเป็นภาษาภัยพิบัติ ไม่จำเป็นต้องแปลก็ทำให้สิ่งมีชีวิตเข้าใจความหมายที่สื่อสารผ่านคลื่นเสียงได้
เกราะคุ้มกันนครเขตขนาดยักษ์เป็นสีขาวอ่อน เหมือนกับชามใบใหม่ที่คว่ำปิดปากแผลของเมืองทั้งเมือง
สัตว์ประหลาดยักษ์อันตูลาสาวเท้าถึงด้านหน้าเกราะป้องกันนครเขตอย่างรวดเร็ว แล้วคว้ามือใส่เกราะป้องกันอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เปรี้ยง!
เกิดเสียงดังสนั่น เกราะป้องกันที่อ่อนแอเหมือนกับกระดาษ ถูกเจาะทะลุได้อย่างง่ายดาย วิญญาณร้ายจำนวนมากหัวเราะแหลมอย่างลิงโลด แล้วบินเข้าหาคนธรรมดาในนครเขตเหมือนกับหยดฝนสีเทา
“ฮ่าๆๆๆ!” อันตูลาหัวเราะชอบใจพร้อมกับก้าวเข้านครเขต
ผู้คนเงียบสงัดลงพริบตาหนึ่ง จากนั้นเสียงกรีดร้องจำนวนมากก็ดังขึ้น ผืนดินเริ่มมีหมอกสีขาวนับไม่ถ้วนแผ่ตลบอบอวล
“เป็นกลิ่นอายชีวิตที่เข้มข้นเสียจริง…” อันตูลาเหยียบย่ำบ้านเรือนทุกครั้งที่ก้าวเท้า พร้อมกับสูดอากาศอย่างเคลิบเคลิ้ม “เทียบกับโลกใบอื่นแล้ว ที่นี่เป็นสวรรค์ของเผ่าวิญญาณร้ายเช่นพวกเราชัดๆ!”
พวกมันกลืนกินชีวิต ร่างชีวิตทุกชนิดที่ฝึกฝนการรวมตัวและยกระดับสารกายของชีวิตที่อยู่ที่นี่ เป็นอาหารอันโอชะแท้ๆ!
“จงฆ่า! จงกลืนกิน! จงบ้าคลั่ง! จงกรีดร้อง! ฮ่าๆๆ! แมลงอ่อนแอเอ๋ย! จงสั่นกลัวใต้ฝ่าเท้าของอันตูลาผู้ยิ่งใหญ่เถอะ!” สัตว์ประหลาดยักษ์กางแขนและเงยหน้าหัวเราะลั่นอย่างเคลิบเคลิ้ม
ฝูงชนร่ำไห้พร้อมหนีเตลิด บนถนนเต็มไปด้วยเลือด คนที่ถูกเหยียบตายขณะเบียดกันมีอยู่ไม่น้อย
ทหารของทัพหยินหยางและทัพอักขระมืดกำลังตั้งทัพอยู่ แต่วิชาลับสารกายที่รวมกัน ได้แต่ขับไล่วิญญาณร้ายไปได้ไม่กี่ตัวเท่านั้น
ไม่นานกองทัพก็แตกพ่าย ถูกเข่นฆ่าโดยสิ้นเชิง
มีแต่เหล่ายอดฝีมือระดับปฐพีกำเนิดของสามสำนักเท่านั้นที่ยังคงต้านไหว โดยถอยไปยังมุมกำแพง อาศัยชัยภูมิป้องกัน
“ท่านแม่!”
เด็กผู้ชายอายุสองสามขวบคนหนึ่งหล่นลงจากอ้อมอกของผู้เป็นมารดาท่ามกลางการเบียดเสียด เขาคลานขึ้นมาและร้องไห้อยู่ท่ามกลางเท้ามากมาย โดยที่ถือกลองเล็กๆ ที่เพิ่งซื้อมาเมื่อครู่เอาไว้
“ท่านพ่อ…!” เด็กชายร้องไห้ แต่ไม่มีคนสนใจ วิญญาณร้ายหัวเราะเสียแหลม ฝูงชนกรีดร้องอย่างหวาดกลัว ทุกคนต่างก็กำลังหนีเอาชีวิตรอด
“เด็กน้อย…เจ้าหาแม่ไม่เจอหรือ…” ในฝูงชนที่แออัดยัดเยียด มีสตรีใบหน้าเปี่ยมเมตตาคนหนึ่งเดินมาถึงด้านหน้าเด็กชายด้วยสีหน้าเป็นทุกข์
“…อื้อ…” เด็กชายค่อยๆ หยุดร้องไห้เพราะความเมตาตาของสตรี ก่อนจะพยักหน้าแรงๆ
“เด็กน่าสงสาร…” สตรีก้มเอวลงกอดเด็กชายเบาๆ “ข้าช่วยเจ้าตามหาแม่เจ้านะ”
“เด็กน่าสงสาร…”
นางกอดเด็กชายไว้แน่น น้ำตาแวววาวสองสายค่อยๆ ไหลลงมาจากใบหน้า แมลงสีเนื้อนับไม่ถ้วนกรูกันออกมาจากในเสื้อของนางอย่างไร้สุ้มเสียง แล้วมุดเข้าอ้อมอกของนาง พุ่งไปหาเด็กชายในอ้อมอกอย่างบ้าคลั่ง
อื้อ…!
เด็กชายดิ้นรน แต่ก็ไร้ประโยชน์ นางกอดเขาไว้แน่น เลือดค่อยๆ หยดลงจากร่างกาย
“ท่าน…แม่…!” เสียงตะโกนที่อ่อนแรงดังมาจากในอ้อมอกของนาง
แขนเล็กๆ ขาวผ่องข้างหนึ่งยื่นออกมาจากร่องแยกในอ้อมอก บนแขนเต็มไปด้วยคราบเลือด
ตุบ
แขนเล็กพลันงอแล้วหักสะบั้น ก่อนจะหล่นลงบนพื้น เหลือแค่แขนข้างหนึ่งกลิ้งอยู่
ฟู่ว
เงาคนสวมเสื้อคลุมสีดำค่อยๆ นั่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงหน้าแขน มองแขนเล็กๆ บนพื้นอย่างเงียบงัน
เขายื่นมือออกมาแตะผิวเนียนบนแขนเบาๆ
“พวกเจ้า…ทำให้ข้าโกรธแล้ว…”
เสื้อคลุมกระพือขึ้น เผยให้เห็นร่างกำยำที่สูงใหญ่และล่ำสันของลู่เซิ่ง
เขาเพียงแค่มาสายไปนิดเดียวเท่านั้น วิญญาณร้ายฉวยโอกาสที่เขาไม่อยู่ปะทุขึ้น ถึงขั้นสร้างโศกนาฏกรรมตรงหน้าขึ้นด้วย
นครเขตถูกทำลายล้าง คนนับไม่ถ้วนตกตาย วิญญาณร้ายอาละวาด เข่นฆ่าทุกชีวิตที่เห็น
ท้องฟ้ากลายเป็นสีเทา ผืนดินถูกกลืนกินพลังชีวิต
สำนักมารกำเนิดกับสามสำนัก นอกจากป้องกันตัว ก็ทำอะไรไม่ได้อีก
“ข้าจะให้พวกเจ้ารู้เองว่า อะไรคือความหวาดกลัว!”
ลู่เซิ่งคำรามพร้อมกับต่อยหมัดใส่ศีรษะของสตรีตรงหน้าจนแหลก ก่อนจะทะยานร่างขึ้น และกลายเป็นลำแสงสีแดงเข้ม
ฟ้าว!
ลำแสงกรีดผ่านท้องนภา พริบตาเดียวก็เจาะเป็นช่องว่างสายหนึ่งกลางวิญญาณร้ายสีเทานับไม่ถ้วน
ครืน!
คลื่นสีฟ้านับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นด้านหลังเขา
“เทวลักษณ์!” ลู่เซิ่งชูมือขวาขึ้นสูง เทวลักษณ์วารีลี้ลับส่องแสงบนหลังมือ ก้อนโลหะสีฟ้าอมทองขนาดใหญ่ลอยขึ้นด้านหลังเขา คลื่นแสงสีฟ้าอมทองกระเพื่อม หมุนวน และทะลักไหลอย่างบ้าคลั่ง
เขาลืมตาขึ้นในฉับพลัน
“กลืนสมุทร!”
ครืน!
ประกายน้ำสีฟ้านับไม่ถ้วนกลบกลืนนครเขตทั้งหมดในทันที
……………………………………….