ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 559 ตรวจสอบ (1)
บทที่ 559 ตรวจสอบ (1)
หลังออกจากวังมาร ลู่เซิ่งก็ลาดตระเวนดูสภาพแวดล้อมรอบๆ สักพัก ด้วยความเร็วของเขาในปัจจุบัน การลาดตระเวนเขตจันทราสารทใช้เวลาเพียงชั่วก้านธูปเท่านั้น แถมการยืนยันระดับการคุกคามของวิญญาณร้ายของทั่วทั้งแคว้นนวกระจ่าง ก็ใช้เวลาแค่ครึ่งวันเท่านั้น
ใช้จิตวิญญาณสัมผัสดูเล็กน้อย เพียงพริบตาเดียวก็ไปไกลเป็นพันลี้แล้ว พวกวิญญาณร้ายเหมือนกับหิ่งห้อยในราตรีมืดมิด ไม่ต้องสัมผัสอย่างแม่นยำหรือละเอียด ขอแค่สัมผัสอย่างผ่านๆ ก็สามารถยืนยันตำแหน่งและจำนวนของพวกมันได้แล้ว
หลังจากกวาดตามองแคว้นนวกระจ่างเสร็จ ลู่เซิ่งยังคงไม่มีแนวคิดที่เป็นรูปธรรมต่อความแข็งแกร่งของเจ้าแห่งอาวุธ ในสถานการณ์ที่ตามหาเป็นเวลานานแต่ยังไม่ประสบผล เขาได้ตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังอินตู
อินตูเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดในสามสำนักและสามตระกูล นอกจากรังของเจ้าแห่งอาวุธสองคนจะอยู่ที่นี่แล้ว สาขาหลักของสามสำนักกับสามตระกูลก็กระจายกันอยู่ใกล้ๆ อินตูเช่นกัน
เป้าหมายของลู่เซิ่งคือการไปหาข้อมูลอย่างเป็นรูปธรรมของระดับเจ้าแห่งอาวุธที่ตระกูลใหญ่ๆ อย่างตระกูลหยวนกวง
เขตจันทราสารทในแคว้นนวกระจ่างอยู่ห่างจากอินตูเก้าแสนกว่าลี้ แต่ว่าในสภาพที่ลู่เซิ่งเร่งเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด เพียงใช้เวลาแค่หนึ่งวันก็ไปถึงเขตชายแดนของมันอย่างแม่นยำได้แล้ว
…
ปราการอนธการสาดส่อง แนวป้องกันพุ่มปะการัง
กำแพงเมืองทอดยาวที่สูงตระหง่านทอดตัวข้ามแนวเขาที่สูงต่ำสลับกันเหมือนกับงูสีดำ
รอบๆ กำแพงเป็นสีดำ ติดตั้งหนามแหลมน่ากลัวไว้เต็มไปหมด ทุกๆ ช่วงจะมีสัญลักษณ์สีทองเรืองแสง กลางท้องฟ้ามีผู้บำเพ็ญลาดตระเวนหลายหน่วยบินผ่านตลอดเวลา
ข้างใต้กำแพงเมืององครักษ์ร่างสูงใหญ่สองกลุ่มที่แต่งตัวเต็มยศ ใส่เกราะสีดำ ถือหอกยาวแหลมคม กำลังจ้องมองคนเดินทางที่ผ่านไปมาอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษอยู่ตรงประตูเมือง
รถม้าและเกวียนเทียมวัวของขบวนพ่อค้า ชาวนาและกรรมกรที่รีบเร่งออกเดินทาง เข้าๆ ออกๆ ประตูเมืองอย่างไม่ขาดสาย
“หยุด! พวกเจ้ามาจากที่ไหน” องครักษ์กลุ่มหนึ่งขวางเกวียนเทียมวัวหลายคันเอาไว้ ผู้นำในกลุ่มถามเสียงเฉียบขาด สายตาที่ดุดันกวาดผ่านร่างของคนขับเกวียนบนเกวียนด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
คนขับเกวียนเทียมวัวเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์อายุไม่มากคนหนึ่ง เขาสวมชุดผ้าป่านสีดำอมเหลืองซึ่งมีรอยปะชุน หน้าเหลี่ยมทื่อด้าน ดวงตาไม่ค่อยมีชีวิตชีวานัก
“เรียนนายท่าน พวกเรามาจากทางเขตเขาขาด ถูกตรวจสอบระหว่างทางมาหลายครั้งแล้ว”
“ใบผ่านทางเล่า” องรักษ์โบกมือ
บุรุษหนุ่มรีบล้วงเอากระดาษหนังสีเหลืองอ่อนชุดหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ ก่อนจะคลี่ออกพร้อมส่งให้องครักษ์
ด้านหลังขบวนรถ ลู่เซิ่งห่อตัวอยู่ในชุดคลุมสีดำ เดินอยู่ด้านหลังด้วยสายตาสงบนิ่ง เขาแตกต่างจากคนขับเกวียนในขบวน ชุดที่ปักสัญลักษณ์สำนักพันอาทิตย์ทำให้องครักษ์หลายคนแสดงสีหน้ายำเกรง และปล่อยเขาเข้าไปโดยไม่พูดอะไรในตอนที่เขาเข้าประตูเมือง
หลังตัดผ่านประตูเมือง ด้านหลังก็คือผืนทุ่งนาข้าวสาลีสีเขียวที่กำลังพลิกตัวตามกันไป
ฤดูหนาวผ่านไปแล้ว ภัยพิบัติวิญญาณร้ายก็ผ่านไปแล้วเช่นกัน พวกคนธรรมดาที่รอดชีวิตเริ่มหว่านไถเพาะปลูกอีกครั้ง
ลู่เซิ่งไม่มีความคิดจะรบกวนขุมกำลังในท้องที่ ครั้งนี้เขามาเพื่อขอข้อมูลของเจ้าแห่งอาวุธ ซึ่งไม่มีทางได้มาแน่นอน นอกจากเขาจะยินยอมแสดงพลังระดับเจ้าแห่งอาวุธของตัวเอง แต่การทำแบบนี้จะอึกทึกครึกโครมเกินไป
ต้องบอกก่อนว่าตั้งแต่ที่เขายิ่งใหญ่ขึ้นจนถึงวันนี้ ใช้เวลาแค่สามสิบปีเท่านั้น เวลาสามสิบปีจากคนธรรมดาทะลวงสู่ระดับเจ้าแห่งอาวุธ อย่างไรก็ไม่เคยมีผู้ใดทำได้มาก่อน ถึงขั้นเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะสร้างความตื่นตัวให้แก่ผู้ยิ่งใหญ่ในโลกแห่งความเจ็บปวดแล้วกระตุ้นพวกเขามาตรวจสอบ
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงวางแผนว่า หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ก็จะไม่เผยพลังของตัวเอง
การตามหาข้อมูลในครั้งนี้ควรจะใช้วิธีซ่อนเร้น
ลู่เซิ่งตัดผ่านผืนนาด้วยความเร็วของคนธรรมดา ใช้ตาเนื้อสำรวจเมืองหลวงที่แข็งแกร่งและรุ่งเรืองที่สุดในอินตูแห่งนี้ตลอดทาง
หลังผ่านผืนนามาแล้ว ด้านหน้าก็เป็นข่ายป้องกันสองชั้นที่เกิดจากหอบนกำแพงที่โอบล้อมเป็นวงกลม
หอกำแพงสีขาวอมเทาเป็นหอคอยสูงหลายแห่ง รอบๆ มีแสงสีเทาที่เหมือนกับปีกกำลังลอยอยู่ช้าๆ แสดงให้เห็นว่ามีผลที่ไม่มีใครล่วงรู้
ลู่เซิ่งได้ใช้จิตวิญญาณกวาดสำรวจหอกำแพงตอนเดินผ่าน กลับพบว่าสิ่งก่อสร้างเหล่านี้มีผลขวางกั้นการตรวจสอบจากจิตวิญญาณ
มอ!
ด้านในพื้นที่ว่างเปล่าด้านขวาของถนนสร้างพื้นที่ที่กว้างใหญ่ที่เหมือนกับสนามม้าเอาไว้ ตอนลู่เซิ่งเดินผ่าน มนุษย์และปีศาจจำนวนไม่น้อยในนั้นกำลังลากวัวสีดำตาเดียวขนาดยักษ์ที่สูงห้าหมี่กว่าๆ ตัวหนึ่งอยู่
พวกเขาพยายามใช้โซ่ลงอักขระที่มีรอยตราอาคมมัดวัวดำเอาไว้ แต่มันก็หลุดไปได้ทุกครั้ง
ลู่เซิ่งหยุดดูอยู่ครู่หนึ่ง
“วัวเนตรนิลอีกแล้ว ช่วงนี้คนของตระกูลจิ่งรับซื้ออสูรร้ายชนิดนี้อย่างบ้าคลั่งไปทำไมกันนะ” ริมถนนหลวงมีคนไม่น้อยหยุดดูเหมือนกับลู่เซิ่ง
มีคนกระซิบกระซาบ แม้จะใช้การส่งกระแสเสียง แต่สำหรับจิตวิญญาณและการสัมผัสที่แข็งแกร่งสุดเปรียบปานของลู่เซิ่งแล้ว การส่งกระแสเสียงในระยะห่างแค่นี้แทบจะเหมือนกับใช้ลำโพงตะโกนอยู่ข้างหู
“ได้ยินว่ากำลังจะเซ่นสรวงเลือดอะไรสักอย่าง ครั้งก่อนผู้จัดการเรื่องราวภายนอกของตระกูลจิ่งได้รับซื้อผลนิลมากกว่าพันชั่ง ดีเลวไม่รู้ แต่สวนผลไม้ใหญ่ๆ หลายแห่งนอกเมืองได้กำไรเป็นกอบเป็นกำทีเดียว”
“ตอนนี้พวกเขาต้องการผลนิลอีกหรือไม่ อีกประเดี๋ยวข้าไปปลูกด้วยดีกว่า”
“ตอนนี้ต้องการอย่างอื่นแล้ว…”
ลู่เซิ่งกวาดตามองวัวเนตรนิลคร่าวๆ เขาไม่เคยพบเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดนี้มาก่อน ดูแค่พละกำลังก็ใกล้เคียงกับจตุลักษณ์ถึงเบญจลักษณ์แล้ว ถือว่าแข็งแกร่งมากสำหรับคนธรรมดา
เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเร่งความเร็วเดินทางต่อ และในที่สุดก็ได้เข้าเขตเมืองหลักของอินตูก่อนอาทิตย์จะตกดิน
อินตูเหมือนกับจะใช้ไม้บรรทัดมาตรฐานวัด และใช้มีดตัดอย่างแม่นยำ
บ้านเรือนทุกหลังสูงไม่เกินสิบหมี่ หอคอยสูงทุกแห่งเป็นแบบเดียวกันหมด หอทุกแห่งก่อหลังคาสี่ด้านตามมาตรฐาน และไม่มีลวดลายอะไรแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งรวมตัวกับฝูงชนจำนวนมหาศาล เดินเข้าสู่ตลาดด้านหน้าของอินตู ตัดผ่านซุ้มประตูสีขาวอมเทาซุ้มหนึ่ง สองฟากทางคือร้านรวงที่ขายวัตถุโบราณและของเซ่นในสุสาน
คนของที่นี่ไม่มีความหวาดกลัวที่เกิดจากการอาละวาดของวิญญาณร้ายแม้แต่น้อยนิด ราวกับว่าทุกสิ่งยังอยู่ในช่วงบ้านเมืองสงบสุข
ท่ามกลางเสียงเอะอะเอ็ดตะโร หากไม่ใช่คุยกันถึงเหลาสุราที่เปิดใหม่ล่าสุด เรื่องประหลาดที่แพร่หลายในเมือง ก็คุยกันว่าคุณหนูของหอคณิกาที่ไหนกำลังจะเปิดร้ายขายดอกไม้หรืองานเต้นรำอะไร
ชั่วขณะนั้นลู่เซิ่งเหมือนกลับไปอยู่ในยุคโบราณของประเทศจีนยุคกลางในโลกใบเดิม ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นปีศาจรูปร่างพิลึกกึกกือส่วนหนึ่งเดินผ่านด้านข้างไปเป็นระยะ เขาอาจนึกจริงๆ ว่าตนทะลุมิติกลับมายังโลกใบเดิมแล้ว
โครม
อยู่ๆ ก็มีร่างเล็กชนใส่ไหล่ขวาของลู่เซิ่ง
“ขอโทษเจ้าค่ะๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจ!” เด็กสาวท่าทางงดงามคนหนึ่งรีบขอโทษขอโพยเขาอย่างทำอะไรไม่ถูก
นางสวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนที่บริสุทธิ์ ผ้ารัดเอวสีดำอมเทาขับเอวกิ่วของนางอย่างเหมาะเจาะ ผมยาวสีดำระอยู่บนไหล่ ริมฝีปากแดงเรื่อ สีผิวขาวผ่อง มองดูเหมือนกับคุณหนูใหญ่ในตระกูลระดับสูง
“ไม่เป็นไร ครั้งหน้าระวังหน่อย” ลู่เซิ่งพยักหน้าน้อยๆ
เด็กสาวยิ้มให้อย่างรู้สึกผิด ก่อนจะก้มหัวคารวะลู่เซิ่งอีกรอบ แล้วเร่งฝีเท้าเดินผ่านด้านข้างไป
นางซอยเท้าไปตามถนน ไม่นานก็พุ่งเข้าตรอกเล็กแห่งหนึ่ง ด้านในมีหญิงสาวสวมอาภรณ์สีเทาที่ด้านหลังปักคำว่ารังอยู่สามคน สองคนในนี้กำลังสูบยาสูบและพ่นควันออกมาคำโต
“เป็นอย่างไรบ้างซิ่วเอ๋อร์” สตรีนางหนึ่งที่ยืนใกล้ปากตรอกรีบถามเบาๆ แล้วอัดยาสูบในมืออย่างหนักหน่วง ก่อนจะโยนไปเหยียบบนพื้น
“จะเป็นอย่างไรได้เล่า ข้าออกโรงทั้งที ยังจะล้มเหลวอีกหรือ” เด็กสาวกระโปรงเขียวเงยหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้มาแล้ว คนผู้นั้นเป็นคนต่างถิ่น พอเข้าเมืองมาก็มองนั่นมองนี่เหมือนคนบ้านนอกไม่มีผิด แถมดูจากชุดแล้วไม่น่าจะเป็นคนจนเหมือนกัน เพียงแค่ประสบการณ์ด้อยไปหน่อยเท่านั้น ล่อหน่อยเดียวก็มองไม่วางตาแล้ว
เหยื่อรายแรกของข้าในวันนี้ก็คือเขา”
นางล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ แล้วหยิบถุงเงินถุงเล็กๆ สีดำออกมาทันที
นางส่ายถุงเงินเบาๆ ด้านในพลันมีเสียงดังกริ๊งกรั๊ง
“ฟังดูไม่น้อยทีเดียว”
“เปิดดูหน่อย นี่เป็นรายที่สามของพวกเราในวันนี้ นึกไม่ถึงว่าจะเจอแพะอ้วนเข้าแล้ว”
“ข้าว่าน่าจะมีสักเจ็ดแปดร้อย!”
ซิ่วเอ๋อร์ยิ้มอย่างได้ใจ มือเรียวเกี่ยวถุงเงินพร้อมกับเขย่าเบาๆ เชือกมัดปากถุงหลุดออกทันที
ด้านในคือใบไม้ทองคำสีทองอร่ามหลายใบ
“กำไรแล้ว!” ซิ่วเอ๋อร์ผุดสีหน้างุนงง ก่อนจะดีใจ
“หนูน้อย เงินสำคัญสำหรับเจ้ามากหรือ” อยู่ๆ เสียงทุ้มต่ำมีพลังเสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังนาง
ซิ่วเอ๋อร์ใบหน้าแข็งทื่อในฉับพลัน ยังไม่ทันได้ยิ้มกว้าง ก็เห็นพวกพี่น้องที่อยู่ด้านหน้าทำท่าตกตะลึง สีหน้าล้วนค่อยๆ กลายเป็นซีดขาว หน้าผากกับขมับเริ่มมีเหงื่อเป็นเม็ดๆ ไหลลงมา
ลู่เซิ่งยืนมองเหล่าเด็กสาวตรงหน้าอย่างเงียบๆ อยู่ตรงปากตรอก แรงกดดันยิ่งใหญ่สุดบรรยายสายหนึ่งกดทับร่างของพวกนางไว้อย่างแนบแน่น
โดยเฉพาะซิ่วเอ๋อร์ นางรู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นแรงขึ้น เหงื่อกาฬแตกพลั่ก
ลู่เซิ่งสนใจในตัวนางมาก เขาเพิ่งมาถึงอินตู ก็ได้เจอความประหลาดใจทันที เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งกลับเข้าใกล้และชนใส่ตัว แถมยังขโมยถุงเงินของเขาไปได้โดยที่เขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
เขาไม่ได้จงใจยอมปล่อยให้ขโมย แต่ถุงเงินกลับถูกฉกไปจริงๆ
อีกฝ่ายไม่ได้อาศัยวิชาหัตถ์ หากเป็นความสามารถพิเศษบางอย่าง ความสามารถน่าอัศจรรย์ที่เหมือนปิดบังให้เทพไม่ทราบภูตผีไม่รู้
“สมกับเป็นอินตูที่มีพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน นึกไม่ถึงว่าจะมีคนขโมยของจากข้าได้” ลู่เซิ่งจ้องมองเงาหลังของซิ่วเอ่อร์พลางรำพึงรำพัน
“ใต้…ใต้เท้า…แค่เงินถุงเล็กๆ ถุงเดียว ซิ่วเอ๋อร์ขอคืนให้ท่าน ใต้เท้ามีเมตตา…” ซิ่วเอ่อร์ค่อยๆ หมุนตัวมาพร้อมกับทำตาน่าสงสาร
“เงินแค่นั้นให้เจ้าก็ได้” ลู่เซิ่งตัดบทนาง “บอกข้ามาว่าเจ้าอาศัยอะไรขโมยของไปจากข้า”
แม้เขาจะไม่ได้สังเกตอย่างละเอียด แต่ว่าคนที่เอาถุงเงินไปจากตัวเขาได้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่
ระหว่างทางที่เดินเข้าอินตู เขาได้เจอนักล้วงถึงสิบกว่าคน แต่ก็ถูกเขาจับได้อย่างง่ายดาย
มีแต่ซิ่วเอ๋อร์เท่านั้นที่เขาสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อย
“เอ่อ…ไม่บอกได้ไหม พี่ชาย ความจริงซิ่วเอ่อร์เป็นคนทุกข์ยาก…” เด็กสาวแสดงสีหน้าขื่นขมและน่าสงสาร
“ย่อมได้ จะพูดหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า” ลู่เซิ่งพยักหน้า “แต่…ในเมื่อเอาเงินข้าไปแล้ว เจ้าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อด้วย”
“ค่าตอบแทนอะไร?!” ซิ่วเอ๋อร์เห็นท่าไม่ดี
“อย่างเช่น แบบนี้” ลู่เซิ่งค่อยๆ ยื่นนิ้วชี้ออกมา
ตูม!
พลังอันยิ่งใหญ่ไร้รูปร่างหลายสายคว้าเด็กสาวที่เหลือในตรอกขึ้น ก่อนจะกระแทกพวกนางเข้ากับผนังด้านหลัง
เสียงกระดูกหักดังสลับกัน เด็กสาวทั้งหมดตาเหลือก กระอักเลือด และสลบไสลไป
“อย่า!” ซิ่วเอ๋อร์กรีดร้อง แต่ก็สายไปเสียแล้ว ในหมู่เด็กสาวมีคนหนึ่งที่เลือดสดๆ ทะลักออกมาจนอยู่ในสภาพใกล้ตายรอมร่อ
……………………………………….