ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 571 ระดับ (1)
บทที่ 571 ระดับ (1)
หลังจากคุยกับเซี่ยเฉิงสองสามประโยค ลู่เซิ่งก็บอกลาทั้งสอง แล้วเข้าไปในห้องสมุดโดยที่มีเสียงหยอกเอินของเพื่อนเซี่ยเฉิงดังมา
ห้องสมุดเป็นรูปโค้งเกือกม้า มีทั้งหมดหกชั้น อยู่ใต้ดินสามชั้น อยู่บนดินสามชั้น เป็นสีเทาเงิน มีดอกอินไป๋หกกลีบขนาดใหญ่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโรงเรียนแพลตินัมแขวนอยู่ด้านบนสุด
ดอกไม้ชนิดนี้เหมือนกับดาวหกแฉก มีกลีบดอกเรียวเล็กและตั้งตรง นอกจากเกสรดอกทรงรีที่เพิ่มมาตรงกลางแล้ว ลู่เซิ่งก็แยกแยะมันกับดาวหกแฉกไม่ออกจริงๆ
ตอนนี้เป็นเวลาเรียน จึงมีนักเรียนมาใช้ห้องสมุดไม่มากนัก ส่วนใหญ่ก้าวเท้าอย่างรีบเร่ง มีแต่นักเรียนที่ยังไม่ได้รับสื่อการสอนอย่างลู่เซิ่งเนื่องจากเพิ่งเปิดเทอมเท่านั้น ถึงจะหาเวลาที่ไม่มีคาบเรียนมาตรวจสอบข้อมูลในห้องสมุดได้
ลู่เซิ่งเข้าไปในโถงใหญ่ของห้องสมุด และขอบัตรยืมหนังสือจากชายชราที่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแล จากนั้นก็เดินไปถึงด้านหน้าแผนที่แบ่งชั้น เพื่อหาว่าข้อมูลที่ตนต้องการอยู่ชั้นไหน
จากความทรงจำของจัวหลิน เขาได้เข้ามาในห้องสมุดเพื่อตรวจสอบเบาะแสคดีระเบิดเมื่อหลายเดือนก่อน
ตอนนั้นเขาใช้เวลาอยู่ที่ชั้นสามที่อยู่ใต้ดินของที่นี่ครึ่งเดือน แม้ว่าเบาะแสที่เจอจะมีไม่มาก แต่ก็ได้ทราบถึงต้นสายปลายเหตุทั้งหมดของคดีในครั้งนั้นเป็นอย่างดี
โรงเรียนแพลตนิมได้จัดให้คดีระเบิดครั้งนั้นเป็นกรณีศึกษาของสายข้อมูลและสายลอบสังหาร
ตอนนั้นบุคคลใหญ่โตถูกลอบสังหารสำเร็จ แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังหาตัวฆาตกรไม่ได้ เรียกได้ว่าเป็นคดีลอบสังหารของสหพันธรัฐที่ประสบความสำเร็จที่สุดสิบครั้งตั้งแต่ประวัติศาสตร์เคยมีมา
ไม่นานลู่เซิ่งก็เจอว่าชั้นที่เก็บหนังสือเกี่ยวกับพลังผสานอยู่ที่ห้อง A10 ในชั้นสามที่อยู่บนดิน
โครม
อยู่ๆ ก็มีคนชนหลังเขาเบาๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ
“ขอโทษครับๆ”
ผู้ชายดูดีที่สวมแว่นตาคนหนึ่งขอโทษขอโพยในขณะที่ทรวงอกสะท้อนเล็กน้อย
“วิ่งเร็วไปหน่อยเลยเบรกไม่ทัน”
“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งเอ่ย “ครั้งหน้าระวังหน่อยก็แล้วกัน”
“แน่นอนครับ” ชายสวมแว่นรีบพยักหน้าขานตอบ พร้อมกับวิ่งไปดูแผนที่แบ่งชั้น แล้วผลุนผลันพุ่งเข้าไปในลิฟท์ที่เพิ่งเปิดซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป
ประตูลิฟท์ปิดลง ลู่เซิ่งยืนคิดอะไรสักอย่างอยู่ที่เดิม พลางยื่นมือไปลูบในกระเป๋าเสื้อ แล้วเจอกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่ง
‘น่าสนใจ’ เขาเลิกคิ้ว ไม่ได้หยิบกระดาษออกมา หากแต่เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง
เมื่ออยู่บนบันไดที่ว่างเปล่า เขาจึงค่อยแอบหยิบกระดาษออกมากวาดตาดู
ด้านบนเพียงเขียนตัวหนังสือตัวเล็กๆ เอาไว้ว่า ‘ระวังตัวด้วย’
‘ลายมือนี้อีกแล้ว…’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วน้อยๆ ที่ครั้งก่อนจัวหลินมาตรวจเอกสารคดีระเบิดในตอนนั้น เป็นเพราะได้รับการบอกใบ้จากกระดาษลึกลับ
ครั้งนี้กระดาษแผ่นนี้กลับมาอีกแล้ว
มิหนำซ้ำชายสวมแว่นตาคนเมื่อครู่ยังเป็นคนละคนกลับคนในครั้งก่อนด้วย
‘มีเลศนัยจริงๆ…ต้องระวังตัวแล้ว ดูเหมือนการตรวจสอบของจัวหลินในรอบที่แล้วจะสร้างปัญหาขึ้น การจุติในครั้งนี้ของเราอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุก็ได้’ เขาคาดเดาในใจ การที่จัวหลินถูกสะเก็ดไฟกระเด็นใส่จนหมดสติ ไม่ใช่สิ่งที่เขาจงใจทำ
จากนั้นก็ขึ้นไปถึงชั้นสองโดยไม่รีบร้อน ในชั้นนี้มีคนไม่มากเท่าไหร่ มีคู่รักหลายคู่นั่งกอดกันอยู่บนเก้าอี้ทางเดิน คู่หนึ่งในนี้กำลังจูบกันเหมือนกับรอบข้างไม่มีผู้คน
ลู่เซิ่งเจอห้องหนังสือ A10 อยู่ด้านข้างคู่รักคู่หนึ่ง แล้วผลักประตูเดินเข้าไป
ผู้ดูแลห้องหนังสือเป็นนักเรียนหญิงอายุน้อยที่กำลังนั่งพลิกอ่านหนังสือประเภทบันทึกความทรงจำอยู่บนโต๊ะใกล้ประตู
ลู่เซิ่งส่งบัตรยืมหนังสือให้เธอตรวจสอบ เธอรับไปกวาดตาดูคร่าวๆ แล้วส่งคืนให้เขา
ลู่เซิ่งรับบัตรมาแล้วเหลียวมองดู ในห้องหนังสือมีคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
“ประเภททักษะการต่อสู้อยู่ทางซ้าย ส่วนประเภทพลังผสานกับส่วนประกอบของเครื่องจักรอยู่ทางขวา หาเองนะ” ผู้ดูแลที่เกียจคร้านจนหัวยังไม่เงยขึ้น เพียงบอกส่งๆ แล้วอ่านหนังสือของตัวเองต่อ
ลู่เซิ่งก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน
พลังผสานไม่ได้มีมากนักเพราะความแตกต่างทางคุณสมบัติของคนแต่ละคน บวกกับวิธีการฝึกมีความเรียบง่าย จึงไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่
วิธีการฝึกฝนพลังผสานของแต่ละสาขา ความจริงแล้วเหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ เพียงแต่วิธีที่เลือกใช้แตกต่างกันเท่านั้น
ของสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์เป็นหลัก หนำซ้ำความแตกต่างสุดท้ายของคนที่มีพรสวรรค์ดีที่สุดและย่ำแย่สุดก็ไม่ได้ห่างกันมาก ดังนั้นการที่ไม่ได้รับความนิยมจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
ลู่เซิ่งเดินผ่านนักเรียนหญิงที่นั่งตรวจสอบข้อมูลบนพื้น แล้วเจอชั้นหนังสือพลังผสานอย่างรวดเร็ว
‘การแนะนำพลังผสาน’ ‘เส้นทางแห่งพลังผสาน’ ‘การทดลองผสานขั้นเริ่มต้น’ ‘การปลดปล่อยจิตใจ’ ‘ในแง่ของพลังงานที่เติมใส่’ ‘สามร้อยหกสิบห้าวันที่ฉันหลงรักพลังผสาน’…
ชื่อหนังสือมากมายทำให้ลู่เซิ่งสูญเสียความสนใจในการคัดเลือกเป็นส่วนใหญ่
เขากวาดตามองดูรอบหนึ่ง ไม่นานก็เลือกหนังสือที่เรียบง่ายที่สุดเล่มหนึ่ง ‘สามสำนักพลังผสานกระแสหลัก’
หลังจากหยิบหนังสือออกมาพลิกดู ลู่เซิ่งก็เข้าใจอย่างรวดเร็วว่าพลังผสานที่ว่านี่คือสิ่งใด ในหนังสือบันทึกไว้แบบนี้
‘…ธรรมชาติของพลังผสาน มีการถกเถียงกันมาหลายสิบปีแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน มีบางคนบอกว่านี่เป็นการสะท้อนการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติของจิตใจจากสมอง มีบางคนบอกว่านี่เป็นปรากฏการณ์ของพลังสมาธิและพลังการสัมผัส ถึงขั้นมีคนบอกว่านี่เป็นพลังป้องกันตัวชนิดหนึ่งที่ทวยเทพมอบให้มนุษย์ พลังงานชนิดนี้เสถียรจนน่ากลัว แม้จะไม่โดดเด่น เทียบกับทักษะทางจิตของแต่ละสายไม่ได้ แต่กลับเป็นสิ่งสำคัญที่เกราะรบและยุทโธปกรณ์ขาดไปไม่ได้ เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบจากการวิจัยว่า กุญแจสำคัญ ผลกระทบ และปัจจัยของพลังผสานเกิดจากสมรรถภาพทางกายและการปรับปรุงจิตใจเป็นหลัก วิธีการฝึกฝนพลังผสานกระแสหลักของสังคมในปัจจุบันมีทั้งหมดสามชนิด ชนิดแรกคือครอสยิมนาสติกชุดที่ห้า ชุดที่สองคือการนวดตัวเองเจ็ดสิบเจ็ดแบบ ชุดที่สามคือ มนุษย์เหล็กสามระดับ’
รูปแบบและทิศทางของการฝึกฝนพลังผสานทั้งสามชนิดล้วนไม่เหมือนกัน
แต่ประสิทธิผลโดยรวมมีความแตกต่างกันน้อยมาก ล้วนพัฒนาขึ้นมาจากความสามารถทางร่างกายของมนุษย์ แม้วิธีการจะไม่เหมือนกัน แต่ประสิทธิผลกลับคล้ายกัน อาจบอกในเบื้องต้นได้ว่า วิธีการฝึกฝนในปัจจุบันไปถึงระดับการพัฒนาที่เป็นขีดจำกัดสูงสุดแล้ว
ลู่เซิ่งวิเคราะห์ดูเล็กน้อย เป็นเพราะประสิทธิผลไม่ต่างกันมาก ดังนั้นเขาจึงเลือกมนุษย์เหล็กสามระดับที่มีผลข้างเคียงน้อยที่สุดและมีความคุ้มค่าสูงสุด
เทียบกับวิธีการฝึกฝนอีกสองวิธีที่เหลือ มนุษย์เหล็กสามระดับนี้มีความโดดเด่นชัดเจนมาก แต่จุดอ่อนก็คือเหนื่อยมาก และไม่ได้มีขอบเขตการใช้ที่กว้างมากนัก
‘เลือกมันนี่แหละ ไหนขอดูวิธีฝึกฝนหน่อย’
วิธีการฝึกฝนมนุษย์เหล็กสามระดับเรียบง่ายมาก แบ่งเป็นสามระดับ เมื่อฝึกระดับที่สามสำเร็จ ก็จะพัฒนาพลังผสานทั้งหมดของร่างกายมนุษย์โดยพื้นฐานได้
คำนวณตามปกติ เวลาที่ใช้คือสามปี
ลู่เซิ่งจดจำขั้นตอนการฝึกฝนของระดับทั้งสามระดับไว้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นท่าทางการเคลื่อนไหวที่เหมือนกับโยคะและยิมนาสติก อย่างมากสุดก็แค่มีการเพิ่มน้ำหนักเข้ามาเท่านั้น ดังนั้นจึงมีตัวหนังสือไม่เยอะ สำหรับลู่เซิ่งที่อยู่ในระดับเจ้าแห่งอาวุธ เนื้อหาทั้งหมดราวสี่พันคำกับการอธิบายด้วยรูปภาพ ใช้เวลาแค่สองนาทีเท่านั้น
สองนาทีต่อมา เขาก็จดจำวิธีการฝึกฝนได้ทั้งหมด จากนั้นก็ทดลองหาการบรรยายกับคำอธิบายของมนุษย์เหล็กสามระดับจากหนังสือเล่มอื่น
หลังจากพลิกหนังสือดูไปหลายสิบเล่ม ลู่เซิ่งก็ได้จัดระเบียบเนื้อหาทั้งหมด และสรุปฉบับมาตรฐานที่มีความถูกต้องและลดโอกาสผิดพลาดมากที่สุดออกมาได้
‘จากนี้เป็นการฝึกระดับแรก พอกลับไปก็ดำเนินการได้ทันที วิธีการฝึกฝนนี้ดีตรงที่ไม่ได้มีเงื่อนไขทางสภาพแวดล้อมสูงเท่าไหร่’
ลู่เซิ่งเก็บหนังสือในมือ แล้วเดินออกจากช่องว่างระหว่างชั้นหนังสือ
“จัวหลิน” ตรงช่องว่างด้านนอกชั้นหนังสือมีนักเรียนชายผมยาวร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ อีกฝ่ายมองเขาด้วยความแปลกใจ คล้ายจะประหลาดใจเล็กน้อย
“นายก็มาที่นี่ด้วยเหรอ”
“นายนี่เองซาเจี๋ย” ลู่เซิ่งประหลาดใจเช่นกัน เขาแตกต่างจากจัวหลินที่ไร้เดียงสา รู้สึกว่าการที่หัวหน้าห้องอย่างซาเจี๋ยมาปรากฏตัวที่นี่ออกจะบังเอิญไปบ้าง
“ฉันมาตรวจสอบข้อมูลบางอย่าง จัวหลินนายหายดีแล้วเหรอ อุบัติเหตุเมื่อก่อนหน้านี้ดูหนักเอาการนะ” ซาเจี๋ยทำท่ามีน้ำใจ
“ขอบคุณมากที่เป็นห่วง ดีขึ้นเยอะแล้ว” ลู่เซิ่งตอบ
“งั้นก็ดีแล้ว…” ซาเจี๋ยดวงตาฉายแววงุนงง แต่ก็อำพรางเก็บไว้
“นายตามสบายนะ ฉันขอกลับก่อน” ลู่เซิ่งเสริมหนึ่งประโยค
“ได้” ซาเจี๋ยพยักหน้าน้อยๆ
ซาเจี๋ยมองตามจนลู่เซิ่งออกจากห้องหนังสือ จากนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ เยือกเย็นลง
‘โดนขนาดนั้นยังไม่ตายอีก โชคดีจริงๆ’
จากนั้นเขาก็หมุนตัวไปหยิบหนังสือ แล้วออกไปจากห้องหนังสือโดยไม่สนใจสิ่งอื่นอีก
ไม่นานนัก ร่างของลู่เซิ่งก็โผล่ขึ้นด้านในห้องหนังสือ เขาเหลียวมองรอบๆ พอไม่พบร่างของซาเจี๋ย ในใจก็มีคำตอบแล้ว
…
กลับมาถึงหอในตอนบ่ายโมง
ลู่เซิ่งเริ่มการฝึกฝนระดับที่หนึ่งของมนุษย์เหล็กสามระดับทันที การฝึกฝระดับที่หนึ่งไม่ต้องใช้น้ำหนักเพิ่มเติม เลยฝึกในห้องของตัวเองได้
‘ใช้จิตจินตนาการว่ามีของเหลวเหนียวๆ ปกคลุมร่างกาย ห่อหุ้มผิวหนังทุกส่วน จากนั้นรักษาสภาพไว้ และทำท่าตามผังรูปภาพ’
ลู่เซิ่งฝึกมรรคายุทธ์มาเป็นเวลานาน โดยศึกษาทักษะวิชาลับมากมาย ย่อมเชี่ยวชาญการฝึกฝนที่เหมือนกับวิชาภายนอกขั้นพื้นฐานแบบนี้เหลือประมาณ
เพียงแต่ร่างกายของจัวหลินอ่อนแอเกินไป แบกรับภาระไม่ได้มากเท่าไหร่ การเคลื่อนไหวในระดับแรก หลังจากลู่เซิ่งทำสำเร็จไปครึ่งหนึ่งอย่างราบรื่น ก็รู้สึกว่าร่างกายเจ็บปวดเหมือนฉีกขาด กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นจำนวนไม่น้อยถูกรั้งห่างออกจากกัน
‘ใช้ได้แล้ว แค่ได้ระดับเบื้องต้นก็พอ’ ลู่เซิ่งนั่งลงพักผ่อน เทน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง แล้วดื่มรวดเดียวหมดโดยไม่เสียเวลา
‘ดีปบลู’
เขานึกในใจ
กรอบสีฟ้าปรากฏขึ้น จากนั้นลู่เซิ่งก็มองไปที่กรอบสุดท้ายทันที
[พลังผสานเกราะรบ: ระดับอ่อนแอ ขั้น 2 (มนุษย์เหล็กสามระดับ: ยังไม่ได้เรียนรู้) (คุณสมบัติพิเศษ: ควบคุมเกราะรบให้ห่างตัวได้ในอาณาเขตสิบเอ็ดเซนติเมตร)]
‘แสดงผลแล้วจริงๆ ด้วย’ ลู่เซิ่งกดปุ่มปรับเปลี่ยนด้านล่างเครื่องมือปรับเปลี่ยนโดยไม่รอช้า จากนั้นก็จ้องมองกรอบของพลังผสานเกราะรบ
‘ยกระดับมนุษย์เหล็กสามระดับขึ้นหนึ่งขั้น’
พลังอาวรณ์ลดลงแค่เล็กน้อย ไม่ถึงหนึ่งหน่วยด้วยซ้ำ
ลู่เซิ่งเห็นกรอบสั่นไหวน้อยๆ ทันที มันพร่ามัวแล้วก็กลับมาชัดเจนในชั่วอึดใจ กรอบใหม่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
[มนุษย์เหล็กสามระดับ: ระดับแรกขั้นแรก (พลังผสานเกราะรบ: ระดับอ่อนแอขั้น 3)]
ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่าพลังไร้รูปร่างสายหนึ่งเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึกนี้น่าอัศจรรย์ยิ่ง เหมือนกับตัวเองควบคุมและสังเกตเห็นสิ่งของในอาณาเขตเล็กๆ รอบๆ ตัวได้ดีกว่าเดิม
‘เพิ่มขึ้นหนึ่งขั้นแล้วเหรอ’ ลู่เซิ่งอ่านหนังสือ ทราบว่าระดับของพลังผสานมีทั้งหมดสามระดับ
ระดับอ่อนแอ ระดับกลาง ระดับโดดเด่น
ทุกๆ ระดับแบ่งเป็นห้าขั้น สามระดับรวมกันเท่ากับสิบห้าขั้น หากคนทั่วไปฝึกฝนอย่างต่อเนื่องตามวิธีการฝึกฝน จะค่อยๆ ยกระดับพลังผสานตามเวลาที่ผ่านไปได้ ขีดจำกัดของคนธรรมดาอยู่ในขอบเขตต่ำกว่าระดับกลางขั้น 2 และขั้น 3
วิธีการฝึกฝนของมนุษย์เหล็กสามระดับตรงกับการแบ่งออกเป็นสิบห้าระดับนี้พอดี ตั้งแต่ระดับหนึ่ง ระดับสอง และระดับสามเท่ากับการแบ่งสามระดับซึ่งก็คือระดับอ่อนแอ ระดับกลาง และระดับโดดเด่น
‘มาต่อกันเลย’
……………………………………….