ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 661 ขอบเขตลวงตา (1)
บทที่ 661 ขอบเขตลวงตา (1)
หินหนืดทั่วฟ้าโบยบินหมุนวนเหมือนกับแถบริ้วสีแดงชาด
ท้องฟ้าถูกควันดำจากหินหนืดรมควันจนกลายเป็นสีดำไปทั่ว ทำให้มองไม่เห็นสีฟ้าด้านหลัง
ร่างที่เหมือนกับภูเขาลูกย่อมๆ ของสัตว์ยักษ์สีดำหลายตัวที่รูปร่างเหมือนกระทิงแต่ปากกลับมีฟันแหลมงอกอยู่ หมอบอยู่บนพื้น ขณะเดียวกันก็ควานหาอาหารที่กินได้ไปทั่วบริเวณ
“ประตูถูกปิดอีกแล้ว…”
บนพื้นดินสีดำ ดวงตาของบุรุษที่มีร่างสูงห้าหมี่และมีเขาวัวโค้งงอสิบกว่าข้างติดอยู่ข้างแก้ม เปล่งประกายดวงดาวอันน่าอัศจรรย์ขณะจ้องมองหินหนืดกลางท้องฟ้า พร้อมกับกล่าวพลางถอนใจ
บุรุษสวมเกราะแบบกระโปรงสีดำ สะพายดาบใหญ่สองเล่มที่พาดเกี่ยวกันไว้ด้านหลัง บนตัวดาบมีควันไฟสีแดงเข้มนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมาเป็นระยะ ถ้าหากเข้าไปมองควันนั้นใกล้ๆ ก็จะพบว่า นี่เป็นอณูเล็กๆ ที่เกิดจากการรวมกลุ่มของอักขระสีดำนับไม่ถ้วน
“อาตี๋เอิน เจ้าจะสังหารให้หมดสิ้นจริงๆ หรือ”
มีเสียงยิ่งใหญ่ดังมาไกลๆ
“ในฐานะจักรพรรดิรัตติกาลเหมือนกัน เจ้าควรจะเข้าใจว่าพวกเราไม่ควรสู้กันภายใน อนาคตของพวกเราและความฝันของพวกเราล้วนอยู่ด้านนอก! ด้านนอกจักรวาลแห่งนี้! จักรวาลของพวกเรากำลังจะตาย แต่ด้านนอกยังมีโลกอันงดงามจำนวนมากมายรอเราไปพิชิต” เสียงนั้นแฝงความกริ่งเกรงขลาดกลัวขณะอธิบาย
“แต่ก็ออกไปไม่ได้ การที่เราออกไปไม่ได้นั้นยุ่งยากมาก…” อาตี๋เอินเอ่ยอย่างราบเรียบ ดวงตาฉายแววผิดหวังขณะมองหินหนืดกลางท้องฟ้า
“ไม่เป็นไรหรอก ก่อนหน้านี้มีโลกด้านนอกเปิดทางเชื่อมของจักรวาลพวกเราแล้ว พวกเราได้ให้คนจดจำป้ายบอกทางมิติเวลาของเส้นทางไว้แล้ว! อีกไม่นาน! อีกไม่นานก็จะมีข้อมูลแล้ว”
บุรุษร่างสูงใหญ่ที่มีเปลวไฟสีทองลุกไหม้ทั่วร่างลอยอยู่กลางอากาศไกลออกไป พลางมองมาทางด้านนี้
“ครั้งก่อน ข้าเกือบจะออกไปสำเร็จแล้ว น่าเสียดายที่เส้นทางเล็กเกินไปและเวลาสั้นเกินไป ทำให้สูญเสียขุนพลไปไม่น้อยโดยไม่ได้อะไร! แต่รอบนี้ไม่เหมือนกัน! จั่วลาที่อยู่ใต้อาณัติของข้าจดจำป้ายบอกทางของจักรวาลในครั้งก่อนเอาไว้แล้ว!” บุรุษเปลวเพลิงกล่าวอย่างรวดเร็วด้วยเสียงเคร่งขรึม
“หือ เจ้าพูดจริงหรือ” อาตี๋เอินถามอย่างประหลาดใจ
“ใช่ ข้าไม่โกหกเจ้าหรอก นี่ไม่มีความหมายแม้แต่น้อย ต่อให้หลอกเจ้าก็ถ่วงเวลาได้นิดหน่อยเท่านั้น” บุรุษเปลวไฟเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “จั่วลาช่วยข้าจดจำที่แห่งนั้นไว้แล้ว”
อาตี๋เอินเป็นบุรุษที่ได้รับฉายาว่าไร้คู่ต่อกรในโลกวิญญาณร้าย
ตอนแรกบุรุษเปลวเพลิงนึกว่าตนเองแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว ต่อให้เผชิญกับคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเรื่องเล่าขาน หากสู้ไม่ได้อย่างไรก็ยังหนีได้
น่าเสียดายที่เขาคำนวณผิดพลาดไป
ถ้าหากไม่ใช่เพราะจั่วลาที่เลื่อนขั้นเป็นจักพรรรดิรัตติกาลเหมือนกันช่วยเขาต้านไว้ ก่อนหน้านี้เขาคงถูกคลื่นหลงเหลือในตอนที่อาตี๋เอินสู้กับคนอื่นฉีกเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว
อานุภาพของดาบเล่มนั้นทำให้เขาสูญเสียความทะเยอะทะยานที่จะต่อสู้เพื่อขยับขยายอิทธิพลไปโดยสิ้นเชิง ทุกวันนี้ขอแค่ป้องกันตัวได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
“จั่วลาหรือ” อาตี๋เอินงุนงงเล็กน้อย “คนผู้นั้นไม่เลวจริงๆ สามารถต้านดาบข้าได้ครั้งหนึ่ง นับเป็นผู้เข้มแข็งในหมู่จักรพรรดิรัตติกาลได้แล้ว”
ตัวเขาทราบคุณสมบัติร่างของตัวเองดี ยิ่งสู้ยิ่งแกร่ง ยิ่งเสียเลือดก็ยิ่งแข็งแกร่ง และยิ่งเผชิญกับความตายก็ยิ่งแข็งแกร่งเช่นกัน
หากเสียสติก็จะแข็งแกร่งขึ้น หากอารมณ์ไม่ดีก็จะแข็งแกร่งขึ้น และหากอารมณ์ดีมากก็จะแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
โลกด้านนอกเรียกเขาว่าบุตรแห่งความโกลาหล
เป็นเพราะขอแค่ตกอยู่ในสภาพโกลาหล เขาก็จะแข็งแกร่งที่สุด พลังต่อสู้จะพุ่งทะยานขึ้นหลายสิบเท่าหลายร้อยเท่าในพริบตา ทั้งยังไม่ใช่เรื่องที่หายากอะไรเลยด้วย
เขาได้เอาชนะผู้ไร้เทียมทานตอนที่มีอายุสิบห้าปี พออายุสิบแปดปี ก็ไร้คู่ต่อกรในอาณาจักรวิญญาณร้าย
ปัจจุบันอายุยี่สิบปี เขาก่อความวุ่นวายไปทั่วโลกวิญญาณร้ายเพื่อตามหาผู้แข็งแกร่งที่สู้กับตนได้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์
ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดที่ได้ชื่อว่าจักรพรรดิรัติกาล ก็เป็นแค่ไก่ดินสุนัขกระเบื้องเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเท่านั้น
ร่างกายของเขาดูดซับพลังงานจากโลกภายนอกอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายเหมือนกับฟองน้ำ ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีคนเรียกเขาว่าผู้ทำลายล้าง
เป็นเพราะพลังในตัวแข็งแกร่งเกินไป แค่ยืนนิ่งๆ ก็ฆ่าสิ่งมีชีวิตในที่ที่เขาไปถึงเป็นนับไม่ถ้วนได้แล้ว
เหมือนกับเป็นพายุที่ฉีกสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเป็นผุยผงได้ในทุกที่ที่ไป จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาถึงค่อยรู้จักเก็บพลังงานไว้ในร่าง
“ข้าไม่หลอกเจ้าหรอก รอสักครู่เถอะ ข้าส่งเจ้าไปยังจักรวาลแห่งอื่นได้ พลังของเจ้าแข็งแกร่งที่สุดในโลกวิญญาณร้ายก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะแข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลอื่นๆ ที่นั่นมีผู้เข้มแข็งจำนวนเหลือคณานับ มีสัตว์โบราณ มีสัตว์ประหลาดน่ากลัวที่ใหญ่เท่าดาวเคราะห์ มีผู้เข้มแข็งอยู่ทุกรูปแบบ”
บุรุษเปลวเพลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า
“…ก็ได้ อย่างนั้นข้าต้องรออีกนานแค่ไหน สามวันหรือ อย่างมากสุดสี่วัน ถ้าเจ้าส่งข้าออกไปไม่ได้ ข้าจะฆ่าเจ้าซะ” อาตี๋เอินเอ่ยอย่างเรียบเฉย
“ทำได้! ข้าทำได้แน่นอน!” บุรุษเปลวเพลิงกัดฟันพยักหน้า
…
ณ โลกรูปจิต
ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่ชายขอบของโลกพลางมองหมอกดำด้านหน้าอย่างสงบ
หมอกดำนับไม่ถ้วนกำลังพลิกถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว พื้นที่ของโลกรูปจิตกำลังขยายใหญ่
เขาสัมผัสได้ในทุกชั่วขณะว่า โลกใบนี้กำลังพองขยายอย่างรวดเร็ว
แม้จะบอกว่ามีขนาดเป็นหลายเท่าตัวของตอนแรก แต่ถ้าคำนวณอย่างละเอียด อย่างนั้นสามวันก่อนหน้านี้ ที่นี่ก็มีขนาดห้าร้อยกว่าเท่าของโลกในตอนแรกแล้ว
ตอนนี้ที่นี่ขยายเป็นหนึ่งพันกว่าเท่าของโลกในตอนแรก ทั้งยังอยู่ในระหว่างการขยับขยาย
เพียงแต่ว่าความเร็วในการขยายช้าลงเรื่อยๆ
‘เข้าใจแล้ว…’ ลู่เซิ่งมองดูหมอกสีดำขยายไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง จิตใจนึกเชื่อมโยงถึงการเปลี่ยนแปลงมากมายเมื่อก่อนหน้า และเข้าใจถึงจุดสำคัญแล้ว
“โลกรูปจิตจะขยายพื้นที่อย่างต่อเนื่องตามจำนวนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ด้านใน…ยิ่งมีสิ่งมีชีวิตมากเท่าไหร่ โลกก็จะยิ่งใหญ่โตและแข็งแกร่งเท่านั้น’
ลู่เซิ่งหมุนตัวกลับมาเดินบนพื้นหญ้าสีเขียวมรกต
ไม่นานนัก เป็ดที่มีขนสีเทาตัวหนึ่งก็เดินมาด้านหน้าเขาแล้วหยุดยืนนิ่ง มองดูเขา
ลู่เซิ่งเพ่งมองเป็ดตัวนี้สักพัก
“เป็ดทั่วไปพบเห็นได้บ่อยๆ แต่เป็ดที่สูงสามเมตรกว่าๆ เกรงว่าจะมีแค่ที่นี่แล้ว…”
ครั้งก่อนเขาโยนสัตว์เล็กๆ และแมลงเล็กๆ ส่วนหนึ่งเข้ามาในทีเดียว ตอนนี้เป็นเพราะการปกคลุมเปลี่ยนแปลงของจานประกายโรจน์ ไม่เพียงแต่ภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เท่านั้น แม้แต่สัตว์ธรรมดาเหล่านี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าพลิกดินเช่นกัน
ลู่เซิ่งทิ้งเป็ดตัวนี้เอาไว้ แล้วเดินไปยังทางเขตอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต
ไม่นานนักผืนดินก็สั่นไหว ไส้เดือนตัวหนึ่งที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าเมตรยาวหลายร้อยเมตรมุดออกมาจากพื้นดินอย่างฉับพลัน แล้วพุ่งผ่านตัวลู่เซิ่งขึ้นไปวาดเป็นเส้นโค้งงดงามกลางอากาศ ก่อนจะมุดเข้าไปในพื้นดินอีกจุดหนึ่งแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเต่าทองที่ขนาดเหมือนกับเกาะเล็กๆ ก็กระพือปีกยักษ์บินหาอาหารไปทั่วอากาศ
ไก่ตัวผู้ที่สูงมากกว่าพันเมตรบินมาต่อสู้กับเต่าทอง
สัตว์ยักษ์ขนาดมโหฬารทั้งสองสู้กันอย่างบ้าคลั่งจนแม้แต่ลู่เซิ่งก็ต้องหยุดเพื่อชมอยู่ครู่หนึ่ง
เขานึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าโลกรูปจิตของตัวเองจะเปลี่ยนแปลงไปมากมายปานนี้ในเวลาแค่สามวัน
สัตว์ปีกกับพวกแมลงในตอนแรกตัวใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนกับเป่าลมเข้าไป สิ่งที่ระบบกฎเกณฑ์ของฐานศิลาทั้งเก้านำมาเน้นไปทางพลังทั้งหมด
นี่ทำให้สัตว์และแมลงไปจนตลอดจิตวิญญาณของมนุษย์ที่เขาโยนเข้ามาในนี้ ต่างก็เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางของพลังเพียงอย่างเดียว
ไม่นานนักลู่เซิ่งก็ไปถึงอาณาเขตใจกลาง อันเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา
สิ่งก่อสร้างในเมืองทั้งเมืองสามารถเห็นได้ชัด คนเดินกันขวักไขว่บนถนน แต่เทียบกับสัตว์แล้ว พวกเขาไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางรูปร่าง เพียงแต่เปลี่ยนแปลงลักษณะกล้ามเนื้อเท่านั้น
ไม่ว่าชายหรือหญิง ต่างเดินไปเดินมาในเมืองด้วยกล้ามเนื้อกำยำ
แต่ถ้าแค่มองรูปร่าง พวกเขาไม่ได้ตัวใหญ่เท่าไหร่ ทว่าหากเข้าใกล้ก็จะสัมผัสได้ว่าพลังที่แฝงอยู่ในตัวพวกเขาจะต้องเหนือกว่าสัตว์ป่าขนาดมโหฬารด้านนอกอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งได้ดูดกลืนจิตวิญญาณคนที่มีโทษมากกว่าหมื่นคนในโลกด้านนอกแล้วโยนเข้ามาในนี้ เพื่อทำลายเนตรแห่งเทพให้หมดสิ้น
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นจิตรกรผู้เป็นสาวกที่ซื่อสัตย์ของเนตรแห่งเทพ แต่เป็นเพราะกาลเวลาในโลกรูปจิตดำเนินเร็วยิ่ง ใช้เวลาเพียงแค่สามวัน ที่นี่ก็วิวัฒนาการไปแล้วหลายปี
สิ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึงก็คือ ตอนแรกโลกรูปจิตมีประชากรแค่สองสามหมื่นคนเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นหนึ่งแสนกว่าคนแล้ว
แม้ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กทารก แต่พอคลอดเด็กทารกเหล่านี้ออกมา โลกรูปจิตถึงกับเสถียรขึ้นกว่าเดิมและมีพื้นที่กว้างใหญ่มากกว่าเดิม
เพียงแต่สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็คือ เด็กทารกที่เพิ่งเกิดมาเหล่านี้จะบึกบึนถึงขีดสุด
ลู่เซิ่งคอยสังเกตในที่ลับ พอทารกที่แข็งแกร่งที่สุดเกิดออกมาได้สามวันก็จะถูกพ่อแม่ทิ้งในป่าทันที พวกเขาสามารถฆ่าเสือดาวสองตัวด้วยมือข้างเดียว ทั้งยังกระทืบช้างสี่ตัวจนตาย และใช้ฟันฉีกทึ้งเสือยักษ์ขนขาวสิบกว่าตัวเป็นชิ้นๆ ได้แล้ว
ภายหลังเพราะเกือบทำลายระบบนิเวศน์ จึงถูกคนเก็บออกมา ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ทำให้เขาหมดคำพูดโดยสิ้นเชิง
‘ถึงแม้คนที่แข็งแกร่งที่สุดใหมู่คนเหล่านี้จะมีแค่ระดับอสรพิษ แต่อย่างไรก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี’ ลู่เซิ่งสำรวจอย่างละเอียดอีกสักพัก ไม่นานก็พบว่า สิ่งมีชีวิตในโลกรูปจิตเหล่านี้ค่อยๆ กลายเป็นระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติที่สมบูรณ์แล้ว
‘ถ้าเป็นแบบนี้ ขอแค่มีเวลาเพิ่มอีกนิด ให้พวกเขาพัฒนาอีกสิบกว่ายุคสมัย ลืมความเคียดแค้นให้หมด เราก็จะใช้ทุกอย่างได้โดยสมบูรณ์’
จากนั้นลู่เซิ่งก็ออกจากโลกรูปจิตกลับมายังโลกจิตรกรอีกครั้ง
เขาในตอนนี้ที่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ได้รวบรวมสิ่งของที่รวบรวมจากที่นี่ได้มาจนหมดสิ้นแล้ว
อาจเป็นเพราะระดับของโลกต่ำเกินไป ครั้งนี้เขาถึงไม่ได้รับพลังอาวรณ์มากเท่าไหร่ พลังอาวรณ์ที่ดูดซับได้จากวัตถุโบราณทั้งหมดมีแค่ไม่กี่พันเท่านั้น
แต่เขาได้จดจำเส้นทางการฝึกฝนของจิตรกรเป็นการเฉพาะเพื่อนำไปแลกเปลี่ยนกับสมาคมธวัชเหล็กแล้ว โดยเตรียมจะนำไปขายแลกเปลี่ยนเป็นทรัพยากร
ในเวลาครึ่งปีต่อจากนั้น ลู่เซิ่งจัดการการพัฒนาของตระกูลจัวอย่างละเอียด ทั้งยังรักษาร่างกายให้แก่จัวซือชิ่งจนหายดี ส่วนตัวเองแอบไปอยู่หลังฉาก เนตรแห่งเทพก็ดี เขี้ยวแห่งมารก็ดี มีคนสองคนที่เขาคัดเลือกด้วยตัวเองเป็นผู้ควบคุม
จากนั้นหลังจากวางสถานการณ์และจัดการเรื่องราวอื่นๆ เรียบร้อยแล้ว เขาก็เลือกกลับบ้าน
ลู่เซิ่งจะกลับไปทะลวงขอบเขตลวงตาที่โลกมารสวรรค์ นี่เป็นแผนการที่เขาได้กำหนดไว้แต่แรก
ศักยภาพของโลกจิตรกรไม่เหลือสิ่งใดให้ขุดค้นอีกต่อไป เขารออยู่อีกครึ่งเดือนพร้อมกับใช้โลกรูปจิตกลืนกินร่างวิญญาณของดินโคลน น้ำทะเล และก้อนหินไปไม่น้อยเพื่อปรับปรุงโลกรูปจิต จากนั้นจึงค่อยเริ่มติดตั้งค่ายกลเพื่อกลับบ้าน
…
ด้านในห้องลับที่โอ่โถงและมืดสลัว
ลู่เซิ่งที่สวมใส่แค่กางเกงขายาวสีขาวนั่งขัดสมาธิอยู่กลางห้องลับ จานทรงกลมกึ่งโปรงแสงที่เหมือนกับจันทร์เพ็ญหมุนอยู่ด้านหลังอย่างช้าๆ
บนจานกลมนี้แสดงตราสัญญะเก้าชนิด
พิษร้าย ไฟหยิน และวารีลี้ลับแยกกันยึดครองสามจุด สามจุดนี้อยู่ตรงข้ามกัน หากลากเส้นตรงเชื่อมกันจะเป็นทรงสามเหลี่ยม
ส่วนที่เหลือเป็นตราสัญญะสีเหลืองอ่อนที่เป็นตัวแทนพลัง
จานกลมก็คือจานประกายโรจน์ พลังจิตวิญญาณของลู่เซิ่งในตอนแรกเพิ่มถึงขีดสูงสุดตั้งแต่แรกแล้ว
ทว่าหลังจากที่วางรากฐานในโลกรูปจิตและดูดซับสิ่งมีชีวิตเข้าไปเป็นจำนวนมากเรียบร้อย พลังจิตวิญญาณของเขาก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ
ปริมาณโดยรวมของจิตวิญญาณเริ่มเพิ่มขึ้น คุณภาพเกิดการยกระดับที่แตกต่างกัน
ลู่เซิ่งทราบว่า นี่ก็คือการเปลี่ยนแปลงในขอบเขตลวงตา ตั้งแต่เจ้าแห่งอาวุธถึงขอบเขตลวงตา เป็นการยกระดับเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ในดาวเคราะห์ถึงขอบดวงดาว
ย่อมไม่อาจทำสำเร็จได้ในทันที
นอกจากนั้นเป็นเพราะกฎอื่นๆ ในโลกรูปจิตของเขาส่วนใหญ่อยู่ใกล้ระดับตราสัญญะ จึงทำให้โลกสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ หากดูผ่านๆ จะไม่แตกต่างกับโลกภายนอกเท่าไหร่
นี่ทำให้โครงสร้างโลกรูปจิตของเขามั่นคงอย่างยิ่ง