ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 688 ผลกรรม (2)
บทที่ 688 ผลกรรม (2)
เยวี่ยอ๋องมองสตรีสองนางที่อยู่ด้านข้างอย่างเสียดาย
หยวนหลิ่วหลิ่วก้มหน้าไม่เปล่งวาจา ด้วยกลัวว่าถ้าเงยหน้าขึ้นก็จะเห็นหวงจิ่วที่คิ้วตากระจ่างและยังคงหล่อเหลาเหมือนเดิม
นางในตอนนี้ไม่ได้งดงามอย่างในอดีตอีกแล้ว นับตั้งแต่พี่ชายหยวนจี้คงถูกพบว่าสมคบกับศัตรู บิดาก็ถูกแทงตาย ส่วนหยวนจี้คงหายสาบสูญ
เยวี่ยอ๋องกลับไม่ได้ประหารพวกนาง หากรับพวกนางไว้ข้างกาย และดูแลประหนึ่งบุตรีของตัวเอง
ตอนแรกพวกนางอาจจะดูแลเยวี่ยอ๋องเพราะหวงจิ่ง แต่ต่อมา หลังจากเกิดเรื่องราวนี้ สตรีสองนางก็ยินยอมพร้อมใจปฏิบัติกับเยวี่ยอ๋องเหมือนบิดาของตัวเอง ทั้งยังทุ่มเทกายใจดูแล
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า พวกนางเริ่มหมดความหวังต่อการกลับมาของหวงจิ่ง
ตอนแรกนึกว่าคงจะแก่ตายแล้วลงสู่ดินไปทั้งแบบนี้ แต่นึกไม่ถึงว่า…
เขาจะกลับมาแล้ว
“ความจริงพวกเจ้าไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้…” ลู่เซิ่งถอนใจเฮือกหนึ่งขณะมองสองพี่น้องตระกูลหยวน
“พวกเรายินยอมพร้อมใจ ถือว่าไถ่โทษแทนท่านพี่เถอะ…” หยวนย่วนย่วนเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ถึงข้าจะไม่อาจเพิ่มอายุขัยของพวกเจ้าได้มากเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้อายุยืนได้บ้าง” ลู่เซิ่งดีดนิ้วเบาๆ
ปราณจริงแท้ของคัมภีร์ปีกขาวสามสายพุ่งออกไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นเส้นแสงสีขาว หายเข้าไปในร่างของเยวี่ยอ๋องและสองพี่น้องตระกูลหยวน
ไม่นานนัก ทั้งสามคนก็สัมผัสได้ว่ามีกระแสความอบอุ่นลอยขึ้นมาจากหัวใจ
ริ้วรอยบนใบหน้าทั้งสามจางลงและหายไปอย่างรวดเร็ว หลังที่งองุ้มค่อยๆ ยืดตรง เส้นผมที่ขึ้นหงอกขาวกลายเป็นสีดำขลับ ผิวพรรณปรากฏความอวบอิ่มนวลเนียนเมื่อครั้งเยาว์วัย
เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ทั้งสามก็หนุ่มสาวขึ้นหลายสิบปี รูปโฉมกลับมาอยู่ในช่วงอายุสามสิบกว่าปี
“นี่เป็นขีดจำกัดแล้ว ไม่ใช่คนฝึกบำเพ็ญเต๋า ก็ไม่อาจขัดขืนชะตาชีวิตได้” ลู่เซิ่งรำพึง
ต่อให้ประสานปราณจริงแท้เข้ากับแก่นหยางก็ทำได้แค่นี้เท่านั้น
อายุขัยเพิ่มถึงสองร้อยปี ขณะเดียวกันรูปโฉมภายนอกก็แก่ตัวช้าลงอย่างใหญ่หลวง
“ไหนเล่ามาหน่อยว่าหลายปีมานี้เจ้าไปไหนมา ทำอะไร ได้อะไร และเสียอะไรไป”
เยวี่ยอ๋องถอนใจยาว ไม่ได้รู้สึกดีใจเพราะตนเองหนุ่มขึ้นเลย
เมื่อมาอยู่ในตำแหน่งเดียวกับเขา ทุกสิ่งในโลกล้วนผ่านมาหมดแล้ว ทั้งยังไม่เหลืออะไรให้คิดถึงอีก สิ่งเดียวในตอนนี้ที่เขายังปล่อยวางไม่ได้ คือบุตรคนเดียวของตนที่ลึกลับยากหยั่งคาดมาโดยตลอด
ลู่เซิ่งนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นเริ่มเล่าเรื่องที่พานพบในหลายปีมานี้ให้คนทั้งสามฟังอย่างติดๆ ขัดๆ
เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่ตัวเองเร้นกายมาโดยตลอดออกมาทั้งหมด เพียงเลือกเนื้อหาที่ตนเองออกท่องเที่ยวออกมาเล่าส่วนหนึ่งเท่านั้น
เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละนิด ตอนที่ลู่เซิ่งออกมาจากตำหนักเยวี่ยอ๋องก็เป็นกลางคืนแล้ว
เจ้าสนขาวยืนรออยู่นอกตำหนักตามลำพัง
“ข้าสั่งคนอื่นๆ ให้กลับไปเฝ้าตามที่ต่างๆ เรียบร้อยแล้ว องค์ราชา ลัทธิไม่จีรังไม่มีทางยอมเลิกรา การตายของเซียนมนุษย์คนหนึ่งจะต้องก่อเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายแน่”
“ข้ารู้” ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าสงบนิ่ง “เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง พวกเจ้าเตรียมตัวย้ายที่เถอะ”
“พวกเราต้องย้ายที่หรือพ่ะย่ะค่ะ กับตำหนักเยวี่ยอ๋องด้วย?” เจ้าสนขาวงุนงง
“ใช่ แต่พาไปแค่ส่วนเดียวพอ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
ตอนนี้ขอแค่เขาจัดหาที่อยู่ให้แก่ตำหนักเยวี่ยอ๋อง ถ้ำราชากระเรียน และสำนักกระเรียนพิสุทธิ์เสร็จ ก็จะสามารถจากไปได้
ส่วนจะจัดให้อยู่ที่ไหน อันดับแรกจะต้องเดินทางไกลก่อน จากนั้นก็ทำให้คนของสำนักวสันต์สารทกับลัทธิไม่จีรังลืมพวกเขา ทางที่ดีที่สุดควรจะซ่อนในสถานที่ที่ไม่มีใครไปถึงได้
ความจริงเรื่องนี้ไม่นับว่ายาก
ดาวดวงนี้มีขนาดมโหฬาร และไม่ได้มีแค่อาณาเขตของราชวงศ์ซีหยาเท่านั้น
ตอนนี้ต้องฉวยโอกาสจากไปก่อนที่ตอนที่ลัทธิไม่จีรังยังไม่รู้ตัวและก่อนที่พวกเขาจะตรวจสอบมาถึงสถานที่แห่งนี้
“พวกเจ้าวางแผนกันก่อน ข้าจะถ่วงเวลาการมาของลัทธิไม่จีรังให้” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงต่ำ
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว…” เจ้าสนขาวพยักหน้าอย่างจริงจัง ก่อนจะหมุนตัวหายเข้าไปในความมืด
ลู่เซิ่งกระชับอาภรณ์ปีกบนร่าง
‘เซียนสิบสองคนหรือ’
เขาใช้ความคิด ทัศนวิสัยตรงหน้าเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน แค่พริบตาเดียวเขาก็มายืนอยู่เหนือยอดเขาสูงที่รกร้างและเย็นเยียบแห่งหนึ่งแล้ว
บนยอดเขามีแท่นหินสีขาวอมเทาที่ผ่านการบูรณะ แผ่นหินแผ่นหนึ่งตั้งอยู่ข้างแท่นหิน ข้างบนเขียนว่าเขาครองจริยะ
ลู่เซิ่งทอดตามองไกล รอบๆ ยอดเขาคือทุ่งราบกว้างใหญ่ไพศาล มีเมืองที่มีสีสันซับซ้อนตั้งอยู่กลางทุ่งราบ
‘หลังจากบรรลุวิญญาณแห่งวัฏจักร โลกรูปจิตก็ขยับขยายตลอดเวลา…ตอนนี้เป็นสิบกว่าเท่าของตอนแรกแล้ว…สุดยอดจริงๆ’ เขาสะท้อนใจเล็กน้อย
ถ้าหากบอกว่าโลกรูปจิตก่อนที่จะมาจุติในโลกนี้มีขนาดเท่าหนึ่งมณฑล อย่างนั้นเมื่อรวมสิบกว่ามณฑลเอาไว้ด้วยกัน ก็เป็นพื้นที่ทั้งหมดของต้าซ่งตอนอยู่ที่ดาวปรภพแล้ว
‘โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ แต่น่าเสียดายที่ดูดสิ่งมีชีวิตเข้ามาไม่ได้ ได้แต่ดูดซับจิตวิญญาณ…’ ลู่เซิ่งเสียดายอยู่บ้าง
หนำซ้ำหากจิตวิญญาณใดๆ ที่ไม่ผ่านความเห็นชอบของเขาเข้ามาที่นี่ ก็จะค่อยๆ หมดสติในสองสามวัน จากนั้นก็จะถูกกัดกร่อนและแยกส่วนอย่างช้าๆ สุดท้ายก็จะหายไปแล้วกลายเป็นสารอาหารให้แก่โลก
ลู่เซิ่งครุ่นคิดก่อนจะวูบไหวร่าง พลันหายไปจากที่เดิม ตอนที่โผล่มาอีกรอบก็มาอยู่นอกประตูบ้านไม้เล็กๆ หลังหนึ่งแล้ว
คนชราผมหงอกคนหนึ่งกำลังหลับตาลงตลอดกาลในบ้านหลังเล็ก
ขณะเดียวกัน เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ณ ที่อยู่อาศัยแถบหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปมีชีวิตเล็กๆ ชีวิตใหม่ผุดขึ้นมาแล้วเข้าไปในครรภ์ของมารดาเพื่อเติบโต
‘วัฏจักรความเป็นความตาย จะดีหรือเลว ล้วนมีเหตุผลของมัน… ลู่เซิ่งเดินออกห่างจากบ้านหลังเล็กไปถึงถนนด้านข้าง’
เหล่าผู้มีพลังพิเศษค่อยๆ กลายเป็นคนธรรมดา ไม่ได้มีลักษณะกลายพันธุ์หรือขนาดอลังการเหมือนตอนแรกเริ่มอีก
สัตว์ป่าในป่าก็กำลังกลับเป็นปกติเช่นกัน ไม่ได้ใหญ่โตโอฬารเหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว
คนที่อยู่ที่นี่แบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ บ้างก็มีลักษณะจีนโบราณอย่างต้าซ่งต้าอิน บ้างก็ใช้ชีวิตหยาบกระด้างเหมือนยุโรปโบราณ
ยังมีชุดแต่งกายและอาคารบ้านเรือนเหมือนในโลกใบเดิมปะปนอยู่ด้วย
เมืองที่แตกต่างกันแต่ละเมืองกลายเป็นภูมิทัศน์แปลกแยกที่มีลักษณะเด่นต่างกัน
ลู่เซิ่งตรวจสอบโลกรูปจิตอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
จำนวนสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งโลกลดลงจากก่อนหน้าอย่างต่อเนื่อง จนถึงตอนนี้อยู่ในสมดุลของวงจรพอประมาณแล้ว
ด้านในเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจและยินดีก็คือ พื้นที่อาณาเขตของโลกรูปจิตไปถึงขั้นอลังการแล้ว
นั่นคือพื้นที่ที่เทียบเคียงได้กับต้าซ่ง
‘รูปจิตไม่ดับสูญ มายาพิศวงไม่ตาย รอจนเลื่อนระดับจริงๆ อยากจะเห็นนักว่าจะไม่ตายยังไง!’ ลู่เซิ่งจิตใจสั่นไหว ก่อนจะออกจากโลกรูปจิตทันที
ตอนที่ออกมาอีกครั้งก็ยังคงเป็นกลางคืนอยู่
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองท้องฟ้า พลันวูบไหวร่างลอยขึ้นไปกลางอากาศ
ตัวเขากลายเป็นแสงสีขาวหายเข้าไปกลางฟ้าราตรีเหมือนกับลูกศรแหลม พริบตาเดียวก็มุดหายเข้าไปในชั้นเมฆมืดครึ้ม
…
ลัทธิไม่จีรัง สวนทองอร่าม
เซียนมนุษย์เฟ่ยก่วงเหอเพ่งตามองโต๊ะหินเบื้องหน้าโดยไม่เบือนสายตา
จานอักขระทรงกลมสีม่วงอมดำชิ้นหนึ่งวางนิ่งอยู่บนโต๊ะหิน จานอักขระนี้เหมือนกับเข็มทิศเล็กน้อย แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว บนจานสลักสัญลักษณ์พิเศษที่นักพรตธรรมดาจำนวนมากไม่เคยพบเห็นมาก่อนไว้แน่นขนัด
“ตอนนี้จานชีวิตให้ความรู้สึกโหวงๆ ชอบกล…เสี่ยวจี้มองออกหรือไม่” เฟ่ยก่วงเหอวางมีดแกะสลักในมือลงแล้วเงยหน้ามองฉิงอ๋องที่นั่งอยู่ด้านหน้า
“ศิษย์มีความรู้ไม่เพียงพอ…” ฉิงอ๋องตอบอย่างนอบน้อม
“เจ้าย่อมมีความรู้ไม่เพียงพอ…ครั้งกระโน้นไม่น่าปล่อยเจ้าไปยังโลกมนุษย์เลย ตอนนี้ผ่านไปตั้งร้อยปีกว่าๆ แต่พลังฝึกปรือของเจ้ากลับก้าวหน้าขึ้นแค่นิดหน่อย…ผลกรรมกับความฟุ้งเฟ้อในโลกมนุษย์ทำให้ดวงตาของเจ้าพร่ามัวเสียแล้ว…” เฟ่ยก่วงเหอถอนใจเสียงยาว
“ศิษย์ก็รู้สึกเช่นกัน ดังนั้นจึงขอวิงวอนให้อาจารย์ช่วยศิษย์สะบั้นกรรมทิ้ง เพื่อจะได้ฝึกฝนเต๋าอีกครั้ง” ร่างอ้วนของฉิงอ๋องดูโปร่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“สะบั้นผลกรรม…” เฟ่ยก่วงเหอมองจานกลมบนโต๊ะอีกรอบ
“จานชีวิตของเจ้า…คิดจะสะบั้นอย่างราบรื่น ไม่นับว่ายาก…เพียงแต่เจ้าจะต้องรู้ก่อนว่า เกิดสะบั้นตอนนี้ ในอนาคตหากคิดจะฝ่าภัยพิบัติ เกรงว่า…เอ๋?”
อยู่ๆ เขาก็ร้องอุทาน ร่างโน้มไปด้านหน้าเล็กน้อย พลางจดจ้องจานชีวิตด้านหน้าอย่างงงงวย
“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับอาจารย์” ฉิงอ๋องงุนงง ก่อนจะถามอย่างร้อนใจ
“มีตัวแปร…!” เฟ่ยก่วงคิ้วขมวดโดยไม่รู้ตัว
…
ยอดเขากลางนภา
สถานที่ที่สิบสามเซียนแห่งลัทธิไม่จีรังคุ้มครอง ขณะเดียวกันก็เป็นสาขาหลักที่แท้จริงของลัทธิไม่จีรังในปัจจุบันด้วย
ด้านหน้ายอดเขากลางนภามีแม่น้ำใหญ่สายหนึ่งชื่อแม่น้ำโจวเหอ ไหลแรงตลอดปี เต็มไปด้วยหินโสโครก ว่ากันว่ายังมีสัตว์ปีศาจกินคนซ่อนตัวอยู่ ใครที่เป็นยอดคนสามารถข้ามได้สบายๆ
ลู่เซิ่งยืนอยู่บนหัวเรือของเรือไม้ข้ามแม่น้ำสองชั้นเพียงลำพัง พลางมองดูยอดเขากลางนภาอันลี้ลับด้านหน้า
เทือกเขาขนาดใหญ่ซ่อนตัวอยู่ในหมอกสีขาวอมเทาผืนหนา ทำให้คนธรรมดาที่ผ่านทางไม่อาจมองเห็นด้านในได้
เรือลำนี้เป็นเรือท่องเที่ยวที่ตระกูลพายเรือตระกูลหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำคอยดูแล ว่ากันว่าตระกูลพายเรือนี้มีความสามารถพิสดาร สามารถหลบการโจมตีของสัตว์ปีศาจที่อยู่ตรงก้นแม่น้ำของที่นี่ได้อย่างปลอดภัย
ดังนั้นเรือลำนี้จึงเป็นเรือที่ข้ามแม่น้ำได้อย่างปลอดภัยเพียงลำเดียว
“ท่านจะไปยังยอดเขากลางนภาเหมือนกันหรือ” เด็กสาวมัดผมหางม้าที่สะพายหอกยาวสีขาวไว้บนหลังเดินมาจากด้านหลังลู่เซิ่ง พอเห็นลู่เซิ่งกำลังมองยอดเขากลางนภาอยู่ ก็เอ่ยปากถามอย่างไม่ขัดเขินแม้แต่น้อย
นางมีชื่อว่าจวงอิ่นเสวี่ย เป็นชาวยุทธ์ที่กราบกรานผู้เร้นกายไปทั่วเพื่อเข้าสู่เส้นทางเซียนและฝึกบำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียน
นับตั้งแต่ศึกโชคชะตาแห่งราชวงศ์จบลง ชาวยุทธ์แบบนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย การชิงความเป็นใหญ่ในกลียุคทำให้ชีวิตดับสูญ คนที่กำหนดความเป็นความตายของชาวบ้านได้อย่างแท้จริงคือสำนักเต๋าที่อยู่สูงส่ง
เด็กสาวมาจากบ้านฐานะร่ำรวย แต่ฟ้าไม่อาจคาดลมเมฆฝน หลังเกิดอุบัติเหตุครั้งหนึ่ง ครอบครัวที่ไม่ฝึกวรยุทธ์ของนางก็พากันตายสิ้น เหลือแต่นางคนเดียวที่รอดชีวิตเพราะรักชอบในวรยุทธ์
หลังจากนั้นมา นางก็สาบานว่าจะฝึกฝนวิชาที่แข็งแกร่งในโลกเพื่อแก้แค้นและเพื่อช่วยชีวิตคนในยามกลียุค
“ใช่แล้ว…ข้าจะไปยอดเขากลางนภา” ลู่เซิ่งพยักหน้า
เขาบินมาจากตำหนักเยวี่ยอ๋อง แล้วค่อยร่อนลงมา แกล้งทำเป็นนักท่องเที่ยวธรรมดาที่มาเที่ยวชมขุนเขาธารามีชื่อเสียงตอนที่ใกล้จะถึงที่หมาย
“ว่ากันว่าที่นั่นมีเซียนและผู้เร้นกายอาศัยอยู่…ท่านลู่จะไปขอศึกษาเต๋าจากเซียนหรือ” จวงอิ่นเสวี่ยถามเสียงทุ้ม
“ก็นับว่าใช่อยู่…” ลู่เซิ่งยิ้ม
“ท่านคงไม่ทราบ ที่นี่มีหิมะตกตลอดปี คิดจะเข้ายอดเขาตรงๆ ใช้เวลาไม่นานนักก็จะหลงทางอ้อมออกมาเอง ข้าเคยลองมาแล้วครั้งหนึ่ง สุดท้ายถูกส่งออกมาอย่างมึนๆ งงๆ” จวงอิ่นเสวี่ยเอ่ยอย่างจนใจอยู่บ้าง “ไม่ทราบว่าที่นี่เป็นที่อาศัยของเซียนจริงๆ หรือไม่…”
“เจ้ามาขอศึกษาเต๋าจากเซียนเพื่ออะไร” อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็โพล่งถาม
จวงอิ่นเสวี่ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ตระกูลของข้าถูกคนชั่วทำร้าย ข้าเพียงคิดแก้แค้นเท่านั้น”