ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 711 รูปแบบ (1)
บทที่ 711 รูปแบบ (1)
ฟุ่บ…ฟุ่บ…
ลู่เซิ่งค่อยๆ กระพือปีกบินเลียบทะเลเป็นระยะทางหนึ่ง ยังคงไม่พบร่องรอยของมนุษย์
เขาจึงเปลี่ยนทิศทางบินไปยังด้านในแผ่นดิน
ความเร็วของมังกรน้อยไม่ได้สูงมาก เขาใช้เวทเพิ่มความคล่องแคล่วกับตัวเองเพื่อลดน้ำหนักและยกระดับความเร็ว หลังจากบินเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามกว่าๆ จึงค่อยมองเห็นเมืองขนาดใหญ่สีขาวฝังตัวอยู่ระหว่างเทือกเขาสองแห่ง ดูยิ่งใหญ่ไพศาล
ฝูงชนและแถวรถเข้าๆ ออกๆ สองฟากข้างของเมืองขนาดใหญ่อย่างไม่ขาดสาย
‘เอาที่นี่ก็แล้วกัน!’ ลู่เซิ่งค่อนข้างพึงพอใจ ที่แห่งนี้ดูเหมือนมีทรัพยากรไม่น้อย
‘จากนี้ค่อยหารังใกล้ๆ แล้วซื้อวัตถุโบราณที่มีพลังอาวรณ์เต็มเปี่ยมจากมนุษย์’
การสร้างหอคอยจอมเวทต้องใช้วัตถุดิบจำนวนมาก การตามหาใกล้ๆ เมืองที่มีมนุษย์อยู่ย่อมสะดวกที่สุด
ส่วนสถานะมังกรสีรุ้งของเขา ขอแค่หาตัวแทนไว้คอยแลกเปลี่ยน ก็ไม่จำเป็นต้องออกหน้าเอง
ลู่เซิ่งซึ่งบินอยู่บนฟ้าสูงไม่ได้เข้าใกล้เกินไป เมืองขนาดใหญ่แบบนี้จะต้องมีหอคอยจอมเวทคอยคุ้มกันอยู่แน่ ไม่ใช่สถานที่ที่ระดับในตอนนี้ของเขาจะหลบซ่อนได้
เขาจึงบินอ้อมไปยังเขารกร้างอีกแห่งหนึ่ง
ทางทิศตะวันตกของเมืองใหญ่เต็มไปด้วยเขาขนาดเล็กที่เป็นหินสีขาว ลู่เซิ่งหาที่ร่มรื่นแห่งหนึ่งในเขาเล็กๆ
แล้วชี้มือไปที่พื้น
ฟ้าว!
ซุ้มประตูโค้งสีเหลืองอ่อนที่สูงสามเมตรบานหนึ่งปรากฏขึ้น มนุษย์หินที่สูงใหญ่เกือบสามเมตรตัวหนึ่งเดินออกมาจากประตู
มนุษย์หินประกอบขึ้นจากดินโคลนและก้อนหิน ร่างกายกำยำทรงพลัง
“เนสโมฟังคำสั่งของท่าน ผู้ร่ายเวท” มนุษย์หินโค้งตัวคำนับลู่เซิ่ง
“ช่วยข้าสร้างรังมังกรที่ซ่อนไว้ใต้ดินอีกทีหนึ่ง” ลู่เซิ่งออกคำสั่ง
มนุษย์หินตัวนี้เป็นธาตุดินที่อัญเชิญออกมาจากโลกธาตุดิน ใช้เวทมนตร์เปลี่ยนโคลนเป็นหินได้วันละสิบครั้งโดยกำเนิด กอปรกับมีความสามารถขุดดินได้ของมัน จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่พวกจอมเวทใช้สร้างสิ่งก่อสร้าง
แน่นอนว่าการอัญเชิญธาตุดินอย่างน้อยต้องเป็นเวทมนตร์ขั้นสาม และมีแต่จอมเวทขั้นหกเท่านั้นถึงจะมีความสามารถใช้ได้
“รับทราบ” มนุษย์จากธาตุหินหมุนตัวมุดลงพื้น ร่างกายส่งเสียงซ่าเมื่อมุดเข้าผิวดิน
กรวดหินดินทรายบนพื้นหลีกทางให้แก่มันเหมือนกับมีชีวิต
การสร้างถ้ำมังกรใช้เวลาสามวัน ทุกๆ วันลู่ซิ่งจะอัญเชิญมนุษย์ธาตุหินตัวหนึ่งออกมาทำงาน มีประสิทธิผลใช้ได้
เป็นเพราะเขามีพลังจิตแข็งแกร่ง ดังนั้นมนุษย์ธาตุหินที่อัญเชิญออกมาจึงมีพลังแกร่งกว่าเวทมนตร์อันเชิญขั้นสามทั่วไป ดังนั้นทุกๆ วันจึงใช้เวทมนตร์เปลี่ยนโคลนให้กลายเป็นหินได้สิบสองครั้ง
บวกกับเขาไม่ได้เรื่องมากกับถ้ำใต้ดินเท่าไหร่ ขอแค่มั่นคง ระบายอากาศได้ และมีทางเข้าออกก็พอ
ไม่ต้องการงานตกแต่งลวดลาย จึงประหยัดเวลาได้มาก
สามวันต่อมา ลู่เซิ่งก็เริ่มวางกับดักเวทมนตร์จำนวนมากรอบๆ ถ้ำมังกร
กับดักส่วนใหญ่ที่เขาวางเป็นกับดักธาตุโจมตีขั้นหนึ่ง หากสัมผัสเข้าก็จะเจอการโจมตีจากธาตุชนิดต่างๆ
เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อย ผ่านไปอีกห้าวัน ลู่เซิ่งนำวัตถุดิบร่ายเวทที่ปกติตนประหยัดไว้ออกมาใช้จนเกือบหมด เพื่อวางกับดับหลายสิบชนิด
จากนั้นก็วางหมอกลวงจากวงแหวนเวทเป็นอาณาเขตกว้างขวาง ก่อนจะเริ่มเตรียมแผนการพื้นฐานของตัวเอง
อันดับแรก สิ่งที่จำเป็นคือตัวแทน
…
‘เริ่มจากกระต่ายเป็นอันดับแรก’
กระต่ายหัวอ่อนที่สุด
ลู่เซิ่งจ้องมองกระต่ายสีเทาสิบกว่าตัวที่ตัวสั่นงันงกและขดตัวเป็นก้อนเพราะอานุภาพมังกรของตน
เขาออกไปใช้เวทมนตร์จับตัวกระต่ายสีเทาตัวใหญ่ที่มีร่างกายอวบอ้วนสิบแปดตัวมาได้อย่างง่ายดาย
เขาจับเหยื่อพวกนี้เข้าถ้ำมังกร แล้วใช้เวทมนตร์สะกดพวกมันเอาไว้ทั้งหมด
‘อันดับแรก เราต้องการสติปัญญาที่สูงพอจะช่วยเราจัดการการแลกเปลี่ยนของต่างๆ กับมนุษย์ก่อน’ ลู่เซิ่งมองสัตว์หลายตัวด้านหน้า
‘วิธีการปรับปรุง เพียงแค่ต้องใช้ด้ายกระตุ้นวิญญาณกับอารยธรรมก้าวกระโดด โลกใบนี้สู้พวกมีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดโดยกำเนิดบนโลกกระต่ายไม่ได้’
เขาค่อยๆ เดินไปด้านหน้าฝูงกระต่าย
ยื่นอุ้งมือออกไป แสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกจากนิ้วชี้
แสงสีขาวพุ่งหายเข้าไปในตัวกระต่ายสีเทาที่มีร่างกำยำที่สุด
จิ๊ด!
กระต่ายตัวนั้นส่งเสียงร้อง กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น ขนบนตัวหลุดร่วงไปหมดอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นผิวหนังสีแดงฉานกับเส้นเลือดข้างใต้
ร่างของมันเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงร้อง
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว ค่อยๆ ยื่นมือไปอุ้มกระต่ายตัวนี้ขึ้นมา แล้ววางลงบนพื้นที่ว่างด้านนอก
‘ใช้ด้ายกระตุ้นวิญญาณแค่เส้นเดียวเองนะ…’ เขาคิดแล้วแบ่งด้ายกระตุ้นวิญญาณออกมาอีกเส้น ก่อนจะใช้จิตวิญญาณของตนควบคุมให้มันมุดเข้าไปในตัวกระต่ายอย่างช้าๆ พร้อมกับสังเกตการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นกับกระต่าย
ไม่คาดว่าเพิ่งแทงด้ายกระตุ้นวิญญาณเส้นที่สองเข้าไป กระต่ายก็ตัวระเบิดเปรี้ยงกลายเป็นก้อนเลือดเนื้อจำนวนมากทันที
‘กระต่ายบนโลกใบนี้เหมือนจะแตกต่างออกไป…’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว
เขาเริ่มทดลองอย่างตั้งใจ กระต่ายบนโลกใบนี้เหมือนจะมีข้อแตกต่างทางสมองกับกระต่ายบนโลกกระต่ายอย่างใหญ่หลวง
ใช้เวลาเกือบสองชั่วยาม ทดลองซ้ำๆ สิบกว่าตัว ในที่สุดลู่เซิ่งก็ทำสำเร็จ
ใช้ด้ายกระตุ้นวิญญาณไปสองเส้น กระต่ายสีเทาตัวหนึ่งก็กลายเป็นมนุษย์กระต่ายที่สูงเกือบสองเมตรสำเร็จ เมื่อเสริมด้วยอารยธรรมก้าวกระโดด มนุษย์กระต่ายก็ฉลาดกว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้เท่าไหร่
เมื่อมีประสบการณ์ครั้งแรกแล้ว ลู่เซิ่งก็สร้างมนุษย์กระต่ายตนที่สอง รวมถึงมนุษย์แมวกับมนุษย์หมีอย่างรวดเร็ว
มนุษย์กึ่งสัตว์บนโลกใบนี้ไม่นับว่าหายาก แม้มนุษย์กึ่งสัตว์ที่ลู่เซิ่งสร้างขึ้นจะมีลักษณะภายนอกแตกต่างไปบ้าง แต่ก็ยังไม่นับว่ามีน้อยอยู่ดี
หลังจากที่ลู่เซิ่งอบรมบ่มเพาะพวกมันอย่างตั้งใจเป็นเวลาครึ่งเดือนกว่าๆ มนุษย์กึ่งสัตว์เจ็ดตัวที่สร้างออกมาก็พอจะพึ่งพาตัวเองและทำกิจกรรมง่ายๆ ได้บางส่วนแล้ว
นอกจากนี้ลู่เซิ่งยังได้จับพวกมนุษย์สองสามคนในขบวนพ่อค้าที่เดินทางผ่านบริเวณรอบๆ มาเป็นอาจารย์สอนภาษามนุษย์ให้เขาและมนุษย์กึ่งสัตว์ด้วย
การเรียนภาษาใช้เวลายาวนาน ลู่เซิ่งให้พวกมนุษย์พาไปแลกเปลี่ยนสินค้าที่เมืองใหญ่ พร้อมกับฝึกฝนเวทมนตร์ใหม่ของจอมเวทขั้นเจ็ดไปด้วย
ในการเลื่อนสู่ขั้นเจ็ด ผู้ร่ายเวทจะเจอเงื่อนไขของเวทมนตร์ขั้นสามที่เรื่องมากถึงขั้นยุ่งยากขีดสุด กล่าวได้ว่าการฝึกฝนอย่างหนักด้วยตัวเองโดยไม่มีบ่อพลังธาตุเชื่องช้าอืดอาดยิ่ง
ถึงแม้ลู่เซิ่งจะเป็นมังกรสีรุ้ง มีพรสวรรค์ร้ายกาจ แค่การยกระดับตัวเองแต่เนิ่นๆ ย่อมดีที่สุด
นอกจากนี้เขายังเริ่มกำหนดแผนการ อาวุธและวัตถุโบราณที่ไม่เลวหลายชิ้นซึ่งเขาขอมาจากพวกอาจารย์ในเวลาหลายปีมานี้ สามารถนำไปขายเป็นทุนเริ่มต้นได้พอดี
พวกสัตว์ป่ามีสติปัญญาค่อยๆ เริ่มสัมผัสกับสังคมมนุษย์ตามเวลาที่ผ่านไป
เนื่องจากทุกอย่างอยู่ครรลองที่ถูกต้องแล้ว ลู่เซิ่งจึงเริ่มผ่อนคลายลง พร้อมกับให้พวกพ่อค้าที่จับตัวมาเป็นลูกน้องทำหน้าที่แลกเปลี่ยนอย่างเต็มที่
เขาได้มอบม้วนเวทมนตร์ส่วนหนึ่งที่ตนเขียนขึ้นตอนอยู่ว่างๆ ให้พ่อค้านำออกไปขาย จากนั้นก็ซื้อวัตถุดิบและกระดาษหนังที่จำเป็นสำหรับม้วนเวทมนตร์มาจากในเมือง
ลู่เซิ่งซึ่งเป็นปรมาจารย์ด้านวงแหวนเวทเขียนม้วนเวทมนตร์ได้อย่างสบายๆ ทุกๆ วันเวลาพักผ่อนหลังจากฝึกฝนอย่างหนัก เขาจะเขียนออกมาได้เป็นกองๆ
การประดิษฐ์ม้วนเวทมนตร์หลักๆ แล้วจำเป็นต้องปล่อยเวทมนตร์อย่างต่อเนื่อง แล้วเก็บมันไว้ในม้วนกระรดาษ หลังจากลู่เซิ่งเปลี่ยนเวทมนตร์ให้กลายเป็นวรยุทธ์ ก็ไม่ต้องพึ่งพาข่ายเวทในการร่ายเวทอีกต่อไป จึงไม่เจอข้อจำกัดมากมายจากช่องใส่เวทมนตร์อีก
สถานการณ์เริ่มต้นอย่างราบรื่น ในสถานการณ์ที่ลู่เซิ่งใช้เวทลวงตาอำพรางร่างมังกรของตัวเอง เขาลงหลักปักฐานที่เขาร้างใกล้ๆ เมืองที่มีชื่อว่าเมืองแสงอรุณอย่างเป็นทางการ
ระดับการร่ายเวทของเขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้รากฐานจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดเช่นกัน
…
ชายฝั่งทะเล
เอลฟ์หูแหลมที่สวมชุดนักเวทสีน้ำเงินสองคนกำลังนั่งตรวจสอบร่องรอยเล็กๆ ที่หลงเหลืออยู่บนชายหาดอย่างละเอียด
จะเห็นได้ว่าตอนแรกร่องรอยนั้นลึกมาก แต่หลังจากเวลาผ่านไปและเจอการชำระล้างจากน้ำทะเล จึงเหลือแต่ร่องรอยเพียงเล็กน้อย หากผ่านไปอีกสักพักเกรงว่าจะเห็นได้ไม่ชัดแล้ว
“เป็นอย่างไร” ผู้หญิงผมเป็นลอนสีทองสายตาเย็นชาที่อยู่อีกด้าน ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ นางสวมเกราะเงินแนบเนื้อ สะพายดาบยักษ์สีแดงเข้มเล่มหนึ่งไว้บนหลัง กลิ่นอายอันน่ากลัวที่ทำให้เผ่ามังกรขยะแขยงกระจายออกมาจากร่างอย่างเลือนราง
เอลฟ์ที่อายุมากในหมู่จอมเวทเอลฟ์สองคนลุกขึ้นและพยักหน้าช้าๆ
“น่าจะเป็นร่องรอยของมังกรสีรุ้ง ดูเหมือนตราประทับที่พวกเราทิ้งไว้บนตัวฝูงมังกรจะถูกข่ายเวทมนตร์ชนิดหนึ่งอำพรางไปบางส่วน แต่ยังพอจะสัมผัสทิศทางคร่าวๆ ได้”
“หลังจากฝูงมังกรถูกซาดีนจู่โจม พวกมันก็บินไปยังอาณาเขตทะลลึก ทำให้จับตัวได้ยาก ยังดีที่สุดท้ายยังจับมังกรสีรุ้งที่พลัดหลงได้ตัวหนึ่ง พอจะทำภารกิจในปีนี้ให้สำเร็จได้”
ผู้หญิงผมทองขมวดคิ้วกล่าว
“เบื้องบนกำหนดมาแล้วว่าปีนี้จะต้องได้ดวงตาของมังกรสีรุ้งคู่หนึ่ง มีคนยิ่งใหญ่ระบุอย่างเจาะจง ถ้าหากจับไม่ได้ ก็อย่าคิดถึงงบวิจัยปีหน้ากับปีถัดๆ ไปเลย” นางกล่าวเสริมหลายประโยค
“พวกเรารู้อยู่แล้ว เพียงแค่มังกรชั่วพวกนี้เจ้าเล่ห์เพห์ทุบาย ซ่อนเร้นร่องรอย…”
“มีแต่ข้ออ้าง ระดับสูงของสถาบันเพียงมองแค่ผลลัพธ์ ทางสภาหอคอยสูงก็เหมือนกัน” นางตัดบทพวกเขา
“พอแล้ว แค่มังกรน้อยตัวเดียว พวกเราลงมือจับก่อน ถ้าหากเกิดปัญหา ค่อยขอการสนับสนุนจากฝ่าบาทพูเกอร์ก็แล้วกัน” หญิงสาวผมทองวางแผน
“น่าจะไม่มีปัญหาหรอกขอรับ ดูจากขนาดรอยเท้า อายุของมังกรน้อยตัวนี้ไม่น่าเกินยี่สิบปี ถือว่ายังเด็กมาก” จอมเวทเอลฟ์อายุมากอธิบาย
“อย่างนั้นก็ไปกันเถอะ ตามเบาะแสออร่าไป พยายามจับให้ได้เพื่อป้องกันเหตุแทรกซ้อน”
“ขอรับหัวหน้า” จอมเวทเอลฟ์สองคนพยักหน้าอย่างนอบน้อม
มังกรน้อยแค่ตัวเดียว เมื่อมีหัวหน้าฉยงหลินผู้เป็นอัศวินเวทมนตร์ขั้นสิบห้าอยู่ด้วย ต่อให้เป็นมังกรสีรุ้งโตเต็มวัยก็ไม่ใช่คู่มือของนาง
นอกเสียจากจะเป็นตำนานระดับมังกรโบราณ ถึงพอจะสะกดอัศวินมนตราที่มีมนตราและทักษะการต่อสู้ซึ่งไร้ผู้ต่อกรในระดับเดียวกันได้
บวกกับมีจอมเวทขั้นสิบเอ็ดอย่างพวกเขาสองคนคอยช่วยเหลือ การจับมังกรน้อยสักตัวย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไร
…
ใกล้ๆ กับเมืองแสงอรุณ ด้านในถ้ำมังกรใต้ดิน
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในส่วนลึกของถ้ำ ธารน้ำใต้ดินขนาดเล็กๆ ที่กระจ่างใสสายหนึ่งไหลเวียนรอบๆ บริเวณที่เขานั่งอยู่
ธารน้ำที่ส่งเสียงจ๊อกๆ มอบความคึกครื้นและความมีชีวิตชีวาอันเล็กน้อยให้แก่ถ้ำที่เปล่าเปลี่ยวแห่งนี้
ชายสวมเสื้อเหลืองสองคนนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าลู่เซิ่งอย่างยำเกรง กำลังรายงานสถานการณ์การแลกเปลี่ยนในเดือนล่าสุดเบาๆ
ในสายตาของพวกเขา ผู้ที่นั่งอยู่ด้านหน้าไม่ใช่มังกรสีรุ้ง หากเป็นจอมเวทวัยกลางคนที่กำลังตั้งใจอ่านคัมภีร์คนหนึ่ง
การได้รับใช้จอมเวทสักคนถือเป็นหน้าที่อันทรงเกียรติสำหรับมนุษย์ทุกคน แม้ว่าจอมเวทผู้นี้จะรักสันโดษ ชอบอยู่ใต้ดินก็ตาม แต่สมัยนี้ ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีความสามารถล้วนเป็นพวกที่ประหลาดอยู่บ้างทั้งนั้น
“…ม้วนเวทมนตร์ลูกบอลอัคคีกับม้วนเวทมนตร์ปีกร่วงหล่นขายดีที่สุดขอรับ เป็นเพราะราคาไม่แพง แถมใช้ได้ค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับม้วนเวทมนตร์ชนิดอื่น ดังนั้นทุกครั้งที่เอาไปด้วยจะขายหมดเป็นอันดับแรกเสมอ…แถมยังมีอัตรากำไรมากที่สุดด้วย เนื่องจากวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับสร้างเวทมนตร์สองชนิดนี้ไม่แพงนัก…”
พ่อค้ารายงานสถานการณ์ไปเรื่อยๆ อยู่ด้านล่าง
ลู่เซิ่งกลับค่อยๆ พ่นหมอกควันพลังเวทกลั่นบริสุทธิ์สีม่วงออกจากปากและจมูก
เขามาถึงที่แห่งนี้ได้หลายปีแล้วและได้เลื่อนสู่ระดับจอมเวทขั้นเจ็ดสำเร็จแล้วเช่นกัน
ทว่าต่อจากนี้เขาไม่ได้เร่งยกระดับต่ออีก
หากแต่อาศัยเวทมนตร์ที่ครอบครองในตอนนี้ในการเริ่มขุดค้นแบบจำลอง ขณะเดียวกันก็ใช้ดีปบลูเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับเขาแล้ว การร่ายเวทในระดับที่สูงกว่าเดิมเป็นแค่ส่วนขยายของเวทมนตร์ทั้งหมดในขั้นสามเท่านั้น