ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 1 ไปถึง
ในส่วนลึกของคฤหาสน์โอ่อ่า กิ่งก้านต้นหลิวด้านนอกกำแพงแกว่งไกวไปตามลมอ่อนพัดโชย นกขมิ้นทองสองสามตัวเร้นกายอยู่ภายในต้นหลิว พลางส่งเสียง ร้องนวลนุ่มรื่นหู
ยามหลังเที่ยงในปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูใบไม้ร่วงอันแสนสงบเงียบ ภายในลานบ้านที่เห็นชัดว่าเพิ่งจะทาสีใหม่ อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของต้นมู่มี่ซึ่งสามารถจำกัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ เสาสีแดงเข้มของระเบียบทางเดินมันวาวจนสะท้อนภาพเงาออกมาได้ แม่บ้านสองนางพาสาวใช้ในชุดหลากสีหกนาง มาคอยยืนรอรับคำสั่งอยู่ภายใต้ระเบียงทางเดิน
พวกนางเป็นบ่าวที่บ้านเสิ่นส่งมาโดยเฉพาะ ด้วยเกรงว่าคนของเว่ยฉางอิ๋งทางนี้จะไม่พอให้ใช้สอย… ความจริงแล้วก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติประการหนึ่ง ผู้คนที่ติดตามเว่ยฉางอิ๋งมาแต่งงานนั้นมีอยู่พร้อมสรรพ มีหรือจะขาดเหลือผู้คนคอยปรนนิบัติอยู่ใกล้ตัว?
หลังจากเดินทางมาถึงเรือนหลังหนึ่งของบ้านตระกูลเสิ่นซึ่งอยู่ใกล้เขตตัวเมืองในเวลาก่อนเที่ยงเมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้พบคนเหล่านี้ก็เพียงสนทนาตามมารยาทไปสองสามประโยค และบอกกล่าวว่าต้องการน้ำร้อนสำหรับอาบน้ำ จากนั้นก็บอกไปตามตรงว่านางอยากให้ผู้คนข้างกายที่คุ้นเคยกันอยู่แล้วดูแลมากกว่า หลังจากที่ให้คนเหล่านั้นออกไปแล้วจึงเหลือแต่กลุ่มของบ่าวไพร่ที่ติดตามมาอยู่ด้วยพากันสาละวนทำการต่างๆ
ยามนี้นางเพิ่งออกมาจากห้องอาบน้ำ ผิวพรรณกระจ่างใสราวกับสะท้อนภาพออกมาได้ ทั้งผุดผ่องยองใย ผมที่ยังคงเปียกปอนสยายอยู่บนบ่ายาวลงไปจนถึงเข่า ยามนั่งลงบนตั่ง ผมก็ทอดตัวยาวปกคลุมพื้นที่บนตั่งถึงครึ่งหนึ่ง นางหวงสั่งให้สาวใช้เอาผ้ามาซับผมนางให้แห้ง พลางยิ้มแล้วบอกว่าภาพของนางในยามนี้ ดังภาพจริงของดอกบัวดอกหนึ่งโผล่พ้นน้ำ และยังเป็นดอกบัวแดงอีกด้วย
หลังจากพูดจากระเซ้าเย้าแหย่กันสองสามประโยค นางหวงก็สั่งให้เจวี๋ยเกอและหานเกอเลือกชุดเสื้อกระโปรงออกมา ให้เป็นใส่อยู่บ้านแต่อย่าให้ปล่อยตัวสบายเกินไป แล้วอธิบายว่า “เกรงว่านายท่านรองจักมาถึงเสียตั้งนานแล้ว คาดว่าหลังจากคุณหนูใหญ่ทางนี้จัดเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว นายท่านรองก็จะต้องมาเยี่ยมดูคุณหนูใหญ่”
ด้วยเหตุที่ยามเว่ยฉางอิ๋งถูกพาตัวไปจากเมืองหลวงนั้น นางยังอยู่ในผ้าอ้อมอยู่ จึงมิได้มีความทรงจำใดกับท่านอารองผู้นี้เลยแม้แต่น้อย แต่นับจากปากคำของแม่เฒ่าซ่งและซ่งฮูหยิน รวมทั้งคำเอ่ยเตือนของซ่งไจ้สุ่ย บอกว่าตลอดมานั้น เว่ยเซิ่งอี๋เป็นผู้มีความทะเยอทะยานยิ่งนักต้องการช่วงชิงทุกสิ่งที่เป็นของบ้านใหญ่ โดยเฉพาะเห็นเว่ยฉางเฟิงเป็นปรปักษ์ตัวฉกาจ จนใจที่มีแม่เฒ่าซ่งคอยขวางทางอยู่ จึงทำได้เพียงซุกซ่อนความทะเยอทะยานนี้เอาไว้ชั่วขณะ
แต่ครั้งเว่ยฉางอิ๋งถูกคนทำลายชื่อเสียงในเมืองหลวงก่อนหน้านี้ เว่ยเซิ่งอี๋ก็ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลืออยู่บ้างเช่นกัน และแม่เฒ่าซ่งก็มิได้ปิดบังนางเรื่องนี้ ซึ่งแน่นอนว่าแม่เฒ่าซ่งก็มิได้คิดว่าเว่ยเซิ่งอี๋เป็นท่านอาที่ดีผู้หนึ่งด้วยสาเหตุนี้
ในความเป็นจริงนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าได้สั่งความกับเว่ยฉางอิ๋งมาว่า “ท่านอารองของเจ้าผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว เขารู้ดีว่าเมื่อกระดูกชิ้นโต ซึ่งก็คือข้า ย่าของเจ้ายังอยู่ ทั้งยังมีฉางเฟิง เช่นนั้นแล้วเรื่องตำแหน่งประมุขของตระกูล เขาอย่าหวังแม้แต่จะคิดอาจเอื้อม!หากเขายังคงเอาแต่โง่งมงายต่อไป ก็รังแต่จักทำให้ภรรยาและบุตรต้องลำบาก! ครานี้เขาจึงกลับเปลี่ยนความคิดเสีย คิดจะแสดงท่าทีนอบน้อมไปก่อน เพื่อวางแผนให้ท่านปู่ของเจ้าปกป้องเขา ทำให้ข้าทุรนทุรายปางตาย แล้วจึงซ้อนแผนตลบหลัง! เจ้าอย่าได้ใส่ใจในไมตรีจิตของเขา อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่ลูกข้า จึงมิใช่คนที่จักไว้เนื้อเชื่อใจได้! ทว่า ในเมื่อเขาต้องการจะทำตัวให้มองดูคล้ายว่าเป็นอาที่ดี หากมีเรื่องใดที่ควรจักรบกวนเขา เจ้าก็อย่าได้เกรงใจ! หากเขากล้าไม่สนใจเจ้า เจ้าก็เพียงเขียนจดหมายมาที่เฟิ่งโจว ย่าจะจัดการเขาให้เจ้าเอง!”
เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจคำกำชับกำชานี้ของท่านย่าอย่างแจ่มชัด จึงตัดสินใจเข้าพบท่านอารองผู้นี้อย่างนอบน้อม และถือเป็นการเตรียมการป้องกันตัว ทั้งยังเป็นการปฏิบัติตามธรรมเนียมที่คนรุ่นหลังพึงปฏิบัติอีกด้วย เมื่อได้ยินคำของนางหวงจึงบอกให้สาวใช้เร่งมือเข้า หาไม่แล้วเมื่อเว่ยเซิ่งอี๋มาถึง แล้วตนยังจัดเก็บข้าวของไม่เรียบร้อย และต้องให้ท่านอารออยู่ข้างนอกก็จักเป็นการเสียมารยาทเกินไป
นางหวงเห็นนางร้อนรนขึ้นมาจึงยิ้มออกมาอีกครั้ง แล้วว่า “คุณหนูใหญ่โปรดวางใจ มิใช่ว่าข้างนอกมีคนของบ้านเสิ่นอยู่หรือเจ้าคะ? ยามนี้นายท่านรองคงกำลังดื่มชาอยู่ที่ศาลาทางด้านหน้า โดยมีท่านเขยคอยต้อนรับอยู่ รอจนคุณหนูใหญ่ทางนี้พร้อมแล้ว คนบ้านเสิ่นก็จะไปรายาน แล้วนายท่านรองจึงค่อยมาเจ้าค่ะ มิเช่นนั้น หากคุณหนูใหญ่ทางนี้ยังไม่สะดวกจะพบ นายท่านรองมาแล้วและต้องรออยู่ข้างนอกก็จะทำตัวลำบาก”
ดังนี้แล้วเว่ยฉางอิ๋งจึงได้วางใจ แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ท่านอาก็ไม่พูดให้หมด ทำเอาข้ากังวลว่าข้าทำให้ท่านอาต้องตากแดดตากลมอยู่ข้างนอกเสียอีก”
“เจ้าค่ะๆๆ อาไม่ดีเอง” นางหวงหัวเราะแล้วว่า “คุณหนูใหญ่ลองดูเสื้อส้างหรูคอป้ายสีแดงองุ่นตัวนี้ว่าเป็นเช่นไรเจ้าคะ? ใส่คู่กับกระโปรงจีบผ้าสิบสองชิ้น แล้วคาดด้วยผ้าคาดเอวปักดิ้นทองลายกิ่งก้านดอกมู่ตาน อีกสักพักพอผมแห้งแล้วค่อยให้ฉินเกอม้วนทรงก้อนหอยเดี่ยวให้ เพราะอย่างไรก็เป็นคนกันเองภายในครอบครัว แม้จะบอกว่าเป็นคราแรกที่ได้พบกันหลังจากคุณหนูจำความได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมากพิธีจนเกินไป ให้ดูธรรมดาเหมือนอยู่บ้านสักหน่อยก็ดี ถือเป็นการแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งเอียงหัวมาพิจารณาไม่นาน แล้วว่า “ท่านอาเป็นคนเลือกมาจะต้องไม่เลวอยู่แล้ว ใช้ชุดนี้ก็แล้วกัน”
หลักจากนั้นสักพัก เว่ยฉางอิ๋งแต่งกายเรียบร้อยแล้วและออกไปต้อนรับท่านอารองเว่ยเซิ่งอี๋อยู่ภายในเรือน
เว่ยเซิ่งอี๋อ่อนวัยกว่าเว่ยเจิ้งหงสามปี หน้าตาของเขาไม่เหมือนเว่ยเจิ้งหงหรือเว่ยฮ่วน แต่ก็ได้รูปงดงาม เว่ยฉางอิ๋งเดาว่าคงจักเหมือนมารดาแซ่ลู่ของเขา
ท่าทางของอารองนี้อ่อนโยนเป็นมิตรดังที่เว่ยฉางอิ๋งคิดเอาไว้ เขามีท่าทีปลื้มปิติยินดีอย่างจริงใจยิ่งเมื่อได้พบกับหลานสาวที่ยามนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังทอดถอนใจอีกว่าเพิ่งจะได้พบหลานสาวที่โตแล้ว ทว่าหลานสาวก็กลับจะออกเรือนเสียแล้ว
อาหลานทั้งสองต่างก็พบปะกันด้วยท่าทีแย้มยิ้ม หากพูดถึงเรื่องที่สร้างความประทับใจที่สุดก็คือ เว่ยเซิ่งอี๋ยังได้นำกล่องใส่เครื่องประดับมาด้วยกล่องหนึ่ง บอกว่าเป็นของขวัญแต่งงานที่ตนมอบให้แก่หลานสาวเพิ่มเติมอีก… เพราะเมื่อตอนต้นปี บ้านสองได้ให้ม้าเร็วมาส่งของขวัญแสดงความยินดีและของขวัญแต่งงานถึงที่เฟิ่งโจวเรียบร้อยแล้ว
…รอจนเว่ยเซิ่งอี๋กลับไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงเปิดกล่องดู กลับพบว่าภายในเป็นหยกมันแพะรูปนกเป็ดน้ำคู่หนึ่งซึ่งมีขนาดเท่าฝ่ามือของเด็กทารก หยกสลักออกมาได้สมจริงดังมีชีวิต ที่คอของนกเป็ดน้ำมีรูซึ่งสามารถเอาไว้ร้อยกับเชือกถักสำหรับห้อยประดับหรือร้อยไว้กับสายคาดเอว ใต้ผ้าปักที่รองอยู่ในกล่องนั้นก็มีเชือกถักยาวแปดเส้นวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ มีหลากหลายสีสันและหลายรูปแบบแตกต่างกัน เพื่อมอบให้เว่ยฉางอิ๋งเลือกใช้ได้ตามใจ
ของขวัญชิ้นนี้พูดไม่ได้ว่ามีราคามหาศาล แต่ก็ไม่นับว่าราคาถูก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการแสดงถึงเจตนาอันดี นางหวงที่อยู่ข้างๆ เอ่ยไปประโยคหนึ่งว่า “นี่คล้ายว่าเป็นหยกมันแพะชั้นเลิศที่นายท่านรองซื้อเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน และเก็บเอาไว้ไม่ได้แตะต้องมาโดยตลอด คาดว่าครานี้ตั้งใจนำไปสลักเป็นรูปนกเป็ดน้ำ ดูฝีมือการแกะสลักนี้คล้ายป็นของบ้านเยี่ยเจ้าค่ะ”
สกุลเยี่ยช่างแกะสลักก็เป็นเช่นเดียวกับสกุลจี้ที่เป็นตระกูลแพทย์ ที่ต่างก็สืบทอดงานของตนมานานกว่าร้อยปี แม้จักเป็นงานที่ถือว่าเป็นระดับงานช่างเช่นเดียวกัน ทว่าเพราะรู้จักกับตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ต่างๆ อย่างกว้างขวางมาหลายชั่วอายุคน จึงพอจะมีฐานะทางสังคมอยู่บ้าง คนธรรมดานั้นยากจะเชิญพวกเขามาทำงานให้ได้ เมื่อสามารถเป็นที่ยอมรับของเหล่าตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ ฝีมือของพวกเขาย่อมจะไม่ต่ำต้อย ทว่าเว่ยฉางอิ๋งเคยเห็นความมั่งคั่งมาแต่เล็กเสียจนเคยชิน ออกเรือนครานี้ แม่เฒ่าซ่งยังได้เปิดคลังของตระกูลเว่ยและเลือกทรัพย์สมบัติล้ำค่ามากมายมอบให้แก่นางไว้เป็นขวัญถุง ทั้งยังพานางไปเปิดหูเปิดตาในคลังสมบัติของตระกูลอีกด้วย
เช่นนั้นแล้ว แม้หยกสลักนกเป็ดน้ำคู่นี้จะมิได้เลวร้ายสิ่งใด ทว่านางเพียงมองผ่านๆ คราหนึ่งก็มอบแก่นางหวง ให้นำไปเก็บไว้ในหีบที่ยังมีที่ว่างอยู่
เว่ยเซิ่งอี๋มาเยี่ยมเยือนและมอบหยกนกเป็ดน้ำคู่ให้ พรุ่งนี้มาส่งตัวเจ้าสาว… ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงการแสดงท่าทีเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงมิได้เลือกของล้ำค่าจริงๆ มาให้ หยกมันแพะชั้นดีซึ่งเป็นงานฝีมือของสกุลเย้ ขอเพียงเหมาะควรแก่โอกาสก็ใช้ได้แล้ว
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่า ท่านย่าให้ตนคอยระวังท่านอาผู้นี้เอาไว้สักหน่อย ทว่าเรื่องที่ควรจะไปหาเขาก็อย่าได้รู้สึกเกรงใจ ดูไปแล้วยามนี้เว่ยเซิ่งอี๋ก็คงคิดเช่นนั้นด้วย ฉากหน้านั้นสิ่งที่ผู้เป็นอาควรทำเขาก็เต็มใจยิ่ง และหาได้บ่ายเบี่ยงไม่ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นก็มีแต่เพียงรู้ได้เมื่อภายหลังเท่านั้น
ทว่าเมื่อพูดกลับมา ยามนี้ตนแต่งเข้าตระกูลเสิ่น เช่นนั้นก็นับเป็นคนบ้านเสิ่น หากต้องไปหาญาติข้างฝั่งของตน…เกรงว่าในเมืองหลวงนี้ก็ใช่ว่าจะมีเว่ยเซิ่งอี๋เพียงผู้เดียว ท่านอาหญิงรองที่แต่งเข้าตระกูลซูก็เป็นถึงบุตรสาวแท้ๆ ของท่านย่าของตน
อีกประการ ตลอดทางที่เดินทางมานี้ แม้เสิ่นจั้งเฟิงจะยึดตามธรรมเนียม มิได้มาพบนางด้วยตนเอง ทว่าก็ส่งคนมาคอยสอบถามอยู่ทุกวัน หากแม้นนางแสดงความต้องการใด อย่างเช่นว่าระหว่างทางที่เมืองเมืองหนึ่ง นางเอ่ยชมออกมาประโยคหนึ่งว่าทิวทัศน์งดงามนัก เสิ่นจั้งเฟิงก็จะใช้ข้ออ้างว่าม้าของตนอ่อนล้า แล้วสั่งให้ขบวนหยุดพักสองวัน แต่กลับส่งคนมาอย่างลับๆ และพานางออกไปท่องเที่ยวใกล้ๆ สักพัก…
จนถึงยามนี้ ดูไปแล้วก็นับว่าสามีผู้นี้เอาใจใส่นางอย่างยิ่ง และเมื่อเข้าเรือนมาในวันนี้ บ่าวของบ้านเสิ่นที่นางได้พบก็ล้วนมีมารยาทและนอบน้อมยิ่ง มิได้มีท่าทีดูแคลนหรือเสียมารยาทเลยแม้แต่น้อย ต่อไปหากต้องทำการใดที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ก็ไม่จำเป็นต้องให้บ้านฝั่งแม่ของตนต้องออกโรงเอง
วันนี้เป็นวันที่ห้าเดือนสี่ ส่วนวันเข้าบ้านอย่างเป็นทางการซึ่งได้มีการกำหนดเอาไว้ก่อนหน้านี้นานแล้วนั้น คือวันที่เจ็ดเดือนสี่ เช่นนั้นนางจึงต้องพักอยู่ที่เรือนแห่งนี้สองคืน เมื่อถึงวันที่เจ็ดจึงค่อยเข้าไปในเมือง
เนื่องด้วยเว่ยเซิ่งอี๋ต้องมาส่งตัวเจ้าสาว ทั้งยังต้องมาแสดงท่าทีว่าให้ความสำคัญกับหลานสาวผู้นี้ จึงได้ลาราชการมาเป็นการพิเศษและมาหาในวันนี้ ส่วนท่านอาหญิงรองแท้ๆ เว่ยเซิ่งอินถือเป็นสะใภ้ของบ้านอื่นแล้ว ไม่อาจทำสิ่งใดได้อิสระเช่นเว่ยเซิ่งอี๋ จึงได้ส่งบ่าวคนสนิทมาเยี่ยมเยือนล่าช้าไปหนึ่งวัน
ผู้ที่เว่ยเซิ่งอินส่งมานั้นเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของนางหวง นางแซ่ชวี่ ซึ่งอยู่ในวัยของพวกแม่นมแล้ว ทว่าดูไปก็ยังคงมีเรี่ยวมีแรงดีอยู่ นางคำนับเว่ยฉางอิ๋งอย่างเคารพนอบน้อมยิ่ง รอจนเว่ยฉางอิ๋งบอกว่าไม่ต้องมากพิธี นางใช้น้ำเสียงแสนถ่อมตนบอกถึงสาเหตุที่เว่ยเจิ้งอินไม่อาจมาเยี่ยมด้วยตนเองได้ว่า “เดิมทีฮูหยินอยากจะมาด้วยตัวเองเจ้าค่ะ แต่จนใจที่สองวันมานี้ร่างกายของฮูหยินไม่ใคร่สบาย ไม่อาจไม่ประคบยาร้อนอยู่หน้าตั่งนอนได้เจ้าค่ะ”
“เดิมทีก็ควรเป็นข้าที่ไปคารวะท่านอาหญิงหลังจากมาถึงเมืองหลวง แล้วจักให้ท่านอาหญิงลำบากได้อย่างไร?”เว่ยฉางอิ๋งแสดงท่าทีว่าเข้าใจดี “แต่กลับยังต้องให้แม่นมลำบากเดินทางมาครั้งหนึ่ง”
แม่นมชวี่มีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า พลางว่า “หาได้ลำบากเช่นคุณหนูใหญ่ว่าเจ้าค่ะ งานหนนี้เป็นข้าน้อยเองที่หน้าด้านไปขอกับฮูหยินมาเจ้าค่ะ ไม่ปิดบังคุณหนูใหญ่ บ่าวไพร่ที่อยู่ต่อหน้าฮูหยินและต้องการมาแสดงความยินดีกับคุณหนูใหญ่นั้นมีไม่น้อย เห็นแก่ที่ข้าน้อยปรนนิบัติฮูหยินมาหลายปี จึงสามารถขอโอกาสนี้มาอยู่ในมือได้เชียวนะเจ้าคะ!”
เว่ยฉางอิ๋งเอามือปิดปากหัวเราะ กล่าวว่า “แม่นมช่างเจรจาจริงๆ” แล้วเชิญให้นางรับประทานของว่างและผลไม้เล็กน้อย
แม่นมชวี่อยู่สนทนาด้วยอีกไม่กี่ประโยค จากนั้นก็อยู่ต่อสักพักและถามไถ่ตามมารยาทก็ขอลากลับเข้าเมืองเพื่อไปรายงานต่อเว่ยเจิ้งอิน
ยามนางกลับไป นางหวงก็อาสาออกไปส่งด้วยตัวเอง รอจนเมื่อนางกลับมาก็มิได้มีท่าทีใด จนกระทั่งถึงกลางคืน รอจนเว่ยฉางอิ๋งเข้านอนแล้ว จึงได้กล่าวเสียงเบาว่า “ยามแม่นมชวี่กลับไปนั้นได้บอกกับข้าน้อยประโยคหนึ่งว่า นับแต่สองวันก่อน มีคุณหนูตระกูลหลิวผู้หนึ่ง มาพักอยู่ที่บ้านตระกูลเสิ่นเป็นเวลาสั้นๆ เจ้าค่ะ”
“หือ?” ครานี้นางหวงไม่มีทางพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตน เว่ยฉางอิ๋งจึงขมวดคิ้ว
ปรากฏว่านางหวงกล่าวว่า “คุณหนูหลิวผู้นี้เป็นน้องสาวร่วมตระกูลของฮูหยินน้อยใหญ่ซึ่งเป็นภรรยาของบุตรชายคนโตของตระกูลเสิ่น บอกกับภายนอกว่าฮูหยินน้อยใหญ่คิดถึงน้องสาวจึงได้เชิญนางมาอยู่สักพักเป็นการพิเศษ แต่แม่นมชวี่บอกว่า…คุณหนูหลิวผู้นี้ ก่อนหน้านี้สนใจท่านเขยของพวกเรายิ่ง”
“แล้วจะอย่างไร?” เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วขบคิดอยู่เป็นนาน แล้วกลับยิ้มเย้ยขึ้นมาพลางว่า “ข้าเป็นภรรยาที่ออกหน้าออกตาของเสิ่นจั้งเฟิง ไม่ว่านางจะสนใจปานใดก็เพียงแอบมองสักหน่อยก็เท่านั้น ทั้งยังต้องคอยระวังมิให้ผู้ใดพบเห็นอีกด้วย…มาอยู่บ้านเสิ่นสักพักจะมีความหมายใด? หรือนางจะอยู่นานแล้วจะเป็นอย่างไร?”
นางหวงยิ้มแล้วว่า “คุณหนูใหญ่กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ เพียงแต่ตามคำของแม่นมชวี่ฮูหยินซูก็ชื่นชอบคุณหนูหลิวผู้นี้เช่นกัน ดังนั้นหลังจากคุณหนูใหญ่เข้าบ้านแล้วหากได้พบนางก็จักต้องระวังเอาไว้สักหน่อย เพื่อมิให้นางสบโอกาสแล้วไปเสกสรรปั้นแต่งต่อหน้าฮูหยินซูเจ้าค่ะ”
“ท่านย่าและท่านแม่ต่างก็บอกแล้วว่าว่าที่แม่สามีข้าผู้นี้เป็นคนเคร่งในกฎเกณฑ์นัก ในเมื่อเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ แล้วจักชื่นชอบคนชอบเสกสรรปั้นแต่งได้อย่างไร?” เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปากแล้วว่า “อีกประการหนึ่งต่อให้นางหาเรื่องไปฟ้องอย่างเหนือชั้นเพียงใด อย่างไรเสียคนห่างไกลก็ไม่เทียบคนใกล้ชิด พวกเราเองก็ใช่ว่าจะเสกสรรปั้นแต่งไม่เป็น ไม่ว่าอย่างไรข้าก็มีฐานะชัดเจน นางเป็นสิ่งใด?”
นิ่งคิดอยู่สักพักเว่ยฉางอิ๋งก็เอ่ยไปอีกว่า “เรื่องที่คุณหนูหลิวผู้นี้หลงใหลได้ปลื้มเสิ่นจั้งเฟิง แม้แต่ท่านอาหญิงรองก็ยังรู้แล้ว ข้าคิดว่าว่าที่แม่สามีข้าผู้นี้ก็มิใช่ว่าไม่รู้ เช่นนี้แล้วกลับยังยินยอมให้ว่าที่พี่สะใภ้ใหญ่ของข้ารับนางเข้ามาอยู่ในบ้านเสิ่น…ทำให้ข้ากลับคิดไปถึงเรื่องปิ่นหยกคู่สีเลือดก่อนหน้านี้”
นางหวงเพียงแต่ยิ้มไม่พูดจา
เว่ยฉางอิ๋งมองนางหนหนึ่ง อยากจะพูดบางสิ่งแต่ก็กลับสงบปากเอาไว้ แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “เอาล่ะ ท่านอาหวง ข้าเข้าใจความหมายของท่านแล้ว ข้ายังมิทันเข้าบ้าน ก็มีบททดสอบของบ้านสามีเตรียมไว้ให้ก่อนหน้าแล้ว ไหนจะเรื่องปิ่นหยกคู่สีเลือด ไหนจะเรื่องคุณหนูสกุลหลิว… ทว่าสิ่งใดที่ต้องมาหา อย่างไรก็จักต้องมา ข้าไม่คิดว่ามีสิ่งใดต้องกลัว เพราะตำแหน่งประมุขนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว เสิ่นจั้งเฟิงเก่งกาจทั้งบู๊บุ๋น ทั้งหล่อเหลาเหนือผู้ใด จะริษยาก็ดี หรือหลงใหลได้ปลื้มก็ช่าง นอกเสียจากข้าจะไม่ได้แต่งกับเขา หาไม่แล้ว สภาพการณ์เช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ช้าเร็วต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว อีกประการหนึ่ง ให้คนได้รู้ว่าข้าก็มิได้ให้คนมาหยามได้ง่ายๆ เสียแต่เนิ่นๆ ต่อไปก็จักได้อยู่อย่างสงบสักหน่อย”
นางหวงเห็นว่านางมิได้สะทกสะท้านกับเรื่องที่ฮูหยินซูผ่อนผันให้คุณหนูตระกูลหลิวซึ่งหลงใหลเสิ่นจั้งเฟิงมาอยู่ที่บ้านเสิ่นสักพัก นางจึงรู้สึกปลื้มปิติเป็นที่ยิ่ง ทว่าก็ยังกล่าวเตือนไปว่า “คุณหนูใหญ่วางตัวอยู่เหนือปัญหาเช่นนี้ก็เป็นเรื่องดีแล้ว ทว่าเรื่องที่ต้องคิดระวังเอาไว้ก็ไม่อาจขาดได้ เท่าที่ข้าน้อยทราบมา คุณหนูตระกูลใหญ่ที่หลงใหลในท่านเขยมีอยู่ไม่น้อย แต่ฮูหยินซูเพียงยินยอมให้คุณหนูตระกูลหลิวมาพักอยู่ในบ้าน เห็นได้ว่าคุณหนูตระกูลหลิวผู้นี้เก่งกาจไม่เบาเจ้าค่ะ”
“นางจะเก่งกาจได้สักเท่าใดกัน?” เว่ยฉางอิ๋งแค่นเสียงออกมาแล้วว่า “หญิงสาวดีๆ ที่ใดจะมาอยู่ในบ้านชายที่ตนหมายปอง ทั้งที่ตนเองมิได้มีฐานะใดๆ? ต่อให้อาศัยข้ออ้างว่ามาเยี่ยมเยือนลูกผู้พี่ แต่บ้านเสิ่นจะไม่รู้ความคิดของนางเลยจริงๆ หรือ? ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงว่าข้าก็จวนจะเข้าบ้านอยู่แล้ว นางมาพักอยู่ในบ้านเสิ่นนี่มันเป็นเรื่องใดกัน? แล้วยังจะมาหาเรื่องข้าอีก… น่าอายหรือไม่! ข้ากลับรู้สึกว่านางไร้สมอง ถูกคนหลอกใช้เป็นเครื่องมือ!”
นางกรอกตาแล้วหัวเราะฮิๆ ออกมา “หรือต่อให้เก่งกาจจริงๆ… ข้าก็มิใช่ว่ายังมีท่านอาหวงอยู่ด้วย?”
“ท่านนี่!” นางหวงไม่รู้จักหัวเราะหรือร้องไห้ดี ยื่นนิ้วไปแต่ที่หน้าผากนาง เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ข้าน้อยย่อมต้องคอยช่วยคุณหนูอย่างสุดกำลัง เพียงแต่ยามนี้ฟ้ามืดแล้ว วันพรุ่งยังต้องตื่นแต่เช้ามาแต่งเนื้อแต่งตัว เพื่อเตรียมเข้าบ้าน คุณหนูใหญ่โปรดรีบพักผ่อน หากไม่สดชื่นในวันสำคัญจักไม่ดีเอาเจ้าค่ะ!”
_________________________________