ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 107 เจียงเจิงเกิดเรื่อง
ตอนที่ 107 เจียงเจิงเกิดเรื่อง
โดย
Xiaobei
สิ่งที่นางตวนมู่ตั้งใจนั้น ความจริงแล้วทุกคนในโถงนี้ล้วนเข้าใจกันเป็นอย่างดี ทว่าโดยมากแล้วเรื่องเช่นนี้ก็จะเป็นที่รู้กันอยู่ในใจแต่ไม่เอ่ยปาก แม้แต่เว่ยฉางอิ๋งที่ต้องไปขอขมาตวนมู่ซินเหมี่ยวตามคำนางตวนมู่ด้วยความไม่พอใจ ก็ยังไม่ได้ไปต่อล้อต่อเถียงอันใดกับนางตวนมู่เลย …แต่ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับเอ่ยถามออกมาตรงๆ เช่นนี้ ทุกคนจึงพากันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียยิ่งนัก
นางตวนมู่ไม่มีทางลง ทั้งยังเห็นว่าสีหน้าของฮูหยินซูพลันหนักอึ้งขึ้นมา เห็นชัดว่าไม่พอใจที่ตนคอยยุให้รำตำให้รั่วหนแล้วก็หนเล่า นางพลันหน้าแดงขึ้นมา ทึ้งผ้าเช็ดหน้า อ้ำอึ้งอยู่เป็นนานจึงฝืนยิ้มออกมาได้ แล้วกล่าวว่า “เหมี่ยวเอ๋อร์เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าล้อเล่นกับน้องสะใภ้สามต่างหากเล่า! ที่ใดจะคิดว่านางจะเห็นไปจริงไปได้?”
แล้วแสร้งหัวเราะ หันไปเอ่ยกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “ข้าก็เพียงพูดไปอย่างนั้นเอง น้องสะใภ้สามไยเจ้าจึงคิดเห็นเป็นจริงเป็นจังเล่า? ดูสิทำเอาเหมี่ยวเอ๋อร์ตกใจหมดแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าสองวันก่อน พี่สะใภ้รองผู้นี้เพิ่งจะรับผลึกหอมของตนไป มาวันนี้ก็มาคอยยุแยงตะแคงรั่วอีกแล้ว หนนี้ยุไม่สำเร็จและทำให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวเสียหน้า เวลานี้ยังกลับมาโทษนางอีก ในใจรู้สึกรำคาญนางยิ่งนัก เดิมทีไม่อยากหาทางให้นางลง ทว่านางหวงที่อยู่ข้างๆ กลับแอบดึงแขนเสื้อนางอยู่ …เมื่อคิดว่าอย่างไรเสียนางหวงก็มีประสบการณ์โชกโชน จึงระงับโทสะเสีย ฝืนยิ้มแล้วว่า “พี่สะใภ้รองพูดเสียจนทำข้าตกใจ เดิมทีเรือนจินถงก็อยู่ไกล และข้าก็ไม่รู้ว่าคุณหนูตวนมู่จะมาวันนี้ จึงคิดว่าอย่าได้มาช้าทำให้แขกต้องรอ ไม่คิดว่ากลับเป็นดังนี้จริงๆ …พอพี่สะใภ้บอกว่าท่านแม่จะให้ข้าขอขมา ข้าก็มิใช่ว่าจะยิ่งเป็นกังวลหรอกหรือเจ้าคะ?”
แล้วหันไปยิ้มให้ฮูหยินซู “สะใภ้หาได้บอกว่าท่านแม่ใจร้ายนะเจ้าคะ สะใภ้เพียงคิดว่ากลับมาวันนั้นก็ลืมรายงานเรื่องที่คุณหนูแปดจะมาก็เป็นความผิดแล้ว ครานี้สะใภ้ยังมาสายอีก จึงรู้สึกเสียหน้าเหลือเกินเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูเป็นกังวลอยู่ภายในใจว่าสะใภ้รองไม่รู้จักระงับอารมณ์ ทั้งที่เห็นอยู่ว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวมีท่าทีสนิทสนมกับเว่ยฉางอิ๋งมากกว่า แต่ก็ยังพยายามจะยุยงให้แตกคอกันเสียให้จงได้ ปรากฏว่าน้องสาวร่วมตระกูลของตนกลับมาช่วยคนนอกเสียอีก เสียหน้ายังไม่ว่า สถานการณ์ในยามนี้ก็ไม่น่าดูเอาเสียเลย ทว่านางก็ไม่อาจไม่ไปช่วยประนีประนอมได้ จึงทำหน้าบึ้งและต่อว่าเว่ยฉางอิ๋งว่า “เจ้าก็จริงๆ เชียว ในเมื่อเจ้าก็บอกเองว่าข้าไม่ได้ใจร้ายกับเจ้า พี่สะใภ้รองของเจ้าล้อเล่นเพียงคำ เจ้าก็กลับถือเป็นจริงไปได้ แล้วก็ไม่มาถามข้าสักคำ? ปรากฏว่าทำเอาคุณหนูแปดตกใจและหลงเชื่อว่าเป็นจริง เพื่อเจ้าแล้ว แม้แต่พี่สาวของตนเองนางก็ยังถือโทษเสียแล้ว! ดูเรื่องที่เจ้าก่อสิ”
เว่ยฉางอิ๋งถูกนางหวงหยิกเบาๆ ผ่านแขนเสื้อหนหนึ่ง จึงอดกลั้นเอาไว้ แล้วกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “สะใภ้รู้ผิดแล้วเจ้าค่ะ”
วันนี้คนที่ทำไม่ถูกก็ยังคงเป็นนางตวนมู่ ประเด็นนี้ฮูหยินซูเข้าใจดียิ่ง จึงต่อว่าสะใภ้สามพอเป็นพิธีไปคำหนึ่ง และกู้สถานการณ์กลับมา ทั้งยังไปขอขมากับตวนมู่ซินเหมี่ยวด้วยตนเอง …ตวนมู่ซินเหมี่ยวอดทนมีมารยาทไม่ไหวมาตั้งนานแล้ว ดีชั่วอย่างไรทุกวันนี้นางก็ถูกบรรดาสตรีชั้นสูงตราหน้าว่าเป็นคนที่ ‘ต้องเกรงใจด้วยเพื่อไม่ให้ล่วงเกิน’ ‘มองว่าเป็นเช่นเดียวกับองค์หญิงอันจี๋’ อยู่แล้ว จึงไม่ได้กลัวว่าตนจะล่วงเกินนางตวนมู่ ทั้งยังไม่กลัวจะล่วงเกินฮูหยินซูด้วย จึงเอ่ยไปเองว่า “ฮูหยินท่านก็เกรงใจไปแล้ว ข้าก็บอกไว้ก่อนนี้แล้วว่า วันนี้ข้ามาสนทนากับพี่เว่ย ยามนี้พี่เว่ยก็มาแล้ว หากไม่มีเรื่องอื่น ข้าก็จะตามพี่เว่ยไปที่เรือนนะเจ้าคะ?”
จู่ๆ นางก็เปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้าน แม้แต่เรียกตนเองกว่า ‘ซินเหมี่ยว’ ก็ยังไม่ใช้แล้ว แม้การเลือกใช้คำจะยังนับว่าเกรงอกเกรงใจอยู่ ทว่าน้ำเสียงกลับแสดงออกว่าในสิบส่วนนางอดทนไม่ไหวแล้วสิบสองส่วน …นางเปลี่ยนสีหน้าว่องไวปานนี้ ฮูหยินซูถึงกับนิ่งอึ้งไปเป็นนาน จึงฝืนยิ้มออกมาแล้วบอกว่า “สาวๆ เช่นพวกเจ้านี่…”
“ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวตอบไปทันใด แล้วเข้าไปดึงแขนเสื้อของเว่ยฉางอิ๋ง ใบหน้าอดรนทนไม่ไหวพลันเปลี่ยนรอยยิ้มฉอเลาะในชั่วพริบตา “พี่สาวแสนดี ข้ามีเรื่องมากมายจะพูดกับท่าน พวกเราไปกันเลยเถิดดีหรือไม่” คราก่อนท่านยังบอกว่าแม่สามีท่านเป็นคนดีนักหนา ข้ามาเห็นวันนี้ปรากฏว่าเป็นดังว่า ท่านดูสิแม่สามีท่านก็อนุญาตแล้ว ยังมีเรื่องใดต้องกังวลอีกเล่า?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวพึมพำอยู่ในใจว่า ‘ข้าก็พูดถึงขนาดนี้แล้ว ไม่เชื่อว่าฮูหยินซูจะกล้าบอกว่าไม่… อื่ม อุบายที่ท่านอาจารย์สอนเวยเวยน้อย ยืมเอามาใช้บ้างก็ไม่เลวเลย… ’
ฮูหยินซูย่อมไม่กล้าบอกว่าไม่ …พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มแข็งทื่อว่า “พวกเจ้ารีบไปเถิด!” เมื่อถูกเด็กรุ่นหลังขัดคำขึ้นมาต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ …หากเป็นคนรุ่นหลังในบ้านตน ฮูหยินซูก็ต้องชักสีหน้าอบรมสั่งสอนไปนานแล้ว จนใจเหลือที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่เพียงไม่ใช่เด็กรุ่นหลังของตระกูลซูหรือตระกูลเสิ่น กระทั่งยังเคยช่วยชีวิตแม่เฒ่าเติ้งซึ่งเป็นมารดาของฮูหยินซูด้วย แล้วก็ยังมาที่เรือนเป็นครั้งแรก …สภาพจิตใจของฮูหยินซูยามนี้ ก็เหมือนกับตอนที่เว่ยฉางอิ๋งถูกจี้ชวี่ปิ้งปฏิบัติต่อตนอย่างไร้มารยาทเมื่อครั้งก่อน นางอัดอั้นตันใจอยู่เต็มอกแต่กลับอาละวาดออกมาไม่ได้!
ดังนั้นฮูหยินซูจึงรวบรัดตัดความ ด้วยกลัวว่าจะถูกตวนมู่ซินเหมี่ยวขัดคำขึ้นมาอีก แล้วตนจะเสียหน้าอีกหน..
เว่ยฉางอิ๋งพาตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับเรือนจินถงด้วยความรู้สึกสับสน …ยามนี้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็กลับมาวางท่าเหมือนคุณหนูผู้ดีดังเดิม กริยาท่าทีมีมารยาท วาจาอ่อนน้อม อย่างไรก็มองไม่ออกว่าเมื่อครู่นี่นางเพิ่งจะเสียมารยาทไป
ฉินเกอและเยี่ยนเกอยกน้ำชามาให้ เว่ยฉางอิ๋งกุมขมับ ครุ่นคิดอยู่เป็นนาน รู้สึกว่าตนเองไม่มีสิ่งใดต้องมากความกับคนเช่นตวนมู่ซินเหมี่ยว …คุณหนูท่านนี้พร่ำพูดแต่ว่ามีคำพูดมากมายจะพูดกับตน ทว่านับแต่เข้าประตูมากลับเอาแต่สังเกตนั่นนี่รอบตัวไม่พูดไม่จา เมื่อมองไปเห็นของสีเขียวๆ หน่อยก็กวาดตาไปจับจ้องดู เพียงดูก็รู้ว่านางคิดแต่จะหาเครื่องหยกจนเป็นประสาทไปแล้ว!
เพียงแต่หนก่อนเว่ยฉางอิ๋งพลาดท่า หนนี้ไม่ว่าจะพูดอย่างไรนางก็ไม่ยอมตกหลุมพรางอีก จึงสั่งทุกคนเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า วันนี้ห้ามสวมเครื่องประดับที่ดีสักหน่อยออกมาเด็ดขาด!
ดังนั้นตวนมู่ซินเหมี่ยวมองไปรอบทิศรอบหนึ่งไม่มีสิ่งใดเข้าตา จึงเก็บสายตากลับมา ยิ้มหวานพลางเอ่ยถามว่า “พี่เว่ย เรื่องที่รับปากข้าไว้คราก่อนเล่า?”
“ข้าจำได้!” เว่ยฉางอิ๋งลอบถอนหายใจหนหนึ่ง เพียงเห็นท่าทีที่ฮูหยินซูอดทนต่อตวนมู่ซินเหมี่ยวในวันนี้ ก็รู้แล้วว่าอย่างไรก็อย่าได้ไปล่วงเกินคุณหนูแปดผู้นี้เสียจะดีกว่า ก็ผู้ใดใช่ให้ฐานะของนางไม่ต่ำต้อยไปกว่าตน ทั้งยังมีฝีมือแพทย์เหนือคนเล่า? ต่อให้ตนเองจะไม่ขอไปพบนาง ทว่าก็ต้องคิดถึงเหล่าเครือญาติของตนด้วย จี้ชวี่ปิ้งศิษย์อาจารย์ล้วนไม่ยอมให้ตระกูลเติ้งทั้งตระกูลเข้าพบ นี่ก็มิใช่ตัวอย่างที่มีให้เห็นอยู่แล้วหรอกหรือ? นางจึงฝืนทำตัวสดชื่นกลบเกลื่อนไป แล้วว่า “เพียงแต่เจ้าไม่รู้ ตัวข้าเองไม่ใคร่ชื่นชอบเครื่องหยกนัก ด้วยเหตุนี้ครั้งออกเรือน ที่บ้านจึงไม่ได้ตระเตรียมเครื่องหยกดีๆ อันใดให้ข้า สองวันมานี้ข้าหาไปหามา…”
พูดถึงตรงนี้นางก็พยักหน้าให้ฉินเกอ ส่งสัญญาณให้นางไปหยิบของมา …ปรากฏว่าเมื่อตวนมู่ซินเหมี่ยวเห็นหยกบนแหวนก็มีสีหน้าผิดหวัง บอกว่า “เหตุใดจึงเล็กเพียงเท่านี้เอง?”
“เรื่องนี้จนปัญญาจริงๆ” เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่านี่มอบให้เจ้าไปทำลายทิ้งเปล่าๆ ปลี้ๆ ต่อให้เล็กแค่เพียงเมล็ดงาข้าก็ปวดใจพอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าอย่างไรหยกที่ฝังอยู่บนแหวนนี้ก็ใหญ่เท่าเมล็ดถั่วลันเตาเชียวนะ! คิดเป็นเงินเป็นทอง เกรงว่าเมื่อชาวบ้านทั่วไปได้ยินเข้า แม้จะรับไว้ก็ยังไม่กล้ารับเลย แต่เจ้ากลับดีนัก ไม่เพียงจะเอาไปอย่างไม่รู้สึกรู้สาแล้ว ยังเกี่ยงว่าเล็กเสียอีก… ทว่าตนเองก็ยังต้องมาอดทนนั่งอธิบายกับนาง “เครื่องหยกในสินติดตัวของข้ามีน้อยจริงๆ เพราะแหวนนี้เป็นของดีจึงได้ค้นออกมา”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวหยิบแหวนขึ้นมาจากผ้าปักลาย เอากำไว้ในมือแน่น จับจ้องไปที่หัวแหวน แต่กลับอดทอดถอนใจไม่ได้ กล่าวว่า “นี่ก็เล็กเกินไปจริงๆ จะดูดซับยาเข้าไปได้กี่มากน้อยกัน? เกรงว่านำไปใช้แค่หนสองหนก็จะต้องเริ่มต้นใหม่ …หากพังแล้วก็ต้องเสียไปเปล่าๆ ยิ่งไปกว่านั้นของที่เล็กเพียงนี้ ก็เกรงว่าจะต้องปรับยาใหม่… แล้วนี่จะทำอย่างไรดีเล่า?”
นางเกี่ยงโน่นเกี่ยงนี้ เว่ยฉางอิ๋งมีโทสะอยู่ในใจ คิดอยู่สักพักจึงว่า “เจ้า…”
ไม่คิดว่าเพิ่งจะพูดไปเพียงคำ จูสือที่อยู่ข้างนอกก็พลันยกชายกระโปรงวิ่งเข้ามาอย่างลนลาน …นางวิ่งเข้ามาแล้วก็ไม่ทันห่วงจะมาขอขมาเว่ยฉางอิ๋ง กลับรีบรายงานไปอย่างรีบร้อนว่า “ฮูหยินน้อย ท่านครูฝึกเจียงถูกคนทำร้ายเจ้าค่ะ ได้ยินว่ากระอักเลือดไม่ยอมหยุด เวลานี้กำลังอยู่ในอันตรายเจ้าค่ะ!”
“อะไรนะ?!” เว่ยฉางอิ๋งเกือบจะกระโดดขึ้นมา!
เพราะเจียงเจิงมีวรยุทธเหนือคนทั้งยังมีประสบการณ์โชกโชนในยุทธภพ แม่เฒ่าซ่งคิดว่าดีชั่วอย่างไรก็ไม่มีทางจะไม่ได้ใช้สอยคนเช่นนี้ จึงคิดหาหนทางต่างๆ ให้เขาได้ติดตามเว่ยฉางอิ๋งไปที่เมืองหลวงด้วย ทว่าเพราะเว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะแต่งเข้าบ้านได้ไม่นาน เวลานี้เป็นฮูหยินน้อยแล้ว จึงไม่เหมาะจะเชิญครูฝึกมาสอนวรยุทธในเรือนอยู่บ่อยครั้ง เจียงเจิงจึงอยู่ว่างๆ ข้างนอกมาโดยตลอด …ตระกูลเสิ่นมีองครักษ์ของตระกูลเสิ่นเองจึงไม่ได้ใช้สอยเขา เขาจึงก็ถูกส่งให้ไปพักอยู่ในกิจการแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสินติดตัวหลังแต่งงานของเว่ยฉางอิ๋ง
ทุกคนล้วนรู้ว่าเขาเป็นครูฝึกที่สอนวรยุทธให้แก่เว่ยฉางอิ๋ง ด้วยเหตุนี้พ่อบ้านที่ดูแลร้านรวงต่างๆ ของเว่ยฉางอิ๋งล้วนเกรงใจเขาเป็นพิเศษ ก่อนหน้านี้ได้ยินมาเล็กน้อยว่าเจียงเจิงอาศัยจังหวะที่ช่วงนี้กำลังว่างอยู่ คอยฝึกสอนจูเหล่ยซึ่งเป็นผู้สืบทอดวิชาของเขาผู้นั้นอยู่ทุกวี่วัน ทั้งยังคล้ายได้ยินว่าแม้จูเหล่ยจะมีรูปร่างกำยำ ไม่ใช่ชายรูปงามอย่างคนในตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ ทว่าก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธจริงๆ จึงทำให้เจียงเจิงชื่นชอบเขาเป็นที่ยิ่ง และอบรมบ่มเพาะเขาประหนึ่งลูกชายแท้ๆ แม้แต่เงินจะซื้อโลงศพเขาก็ยังไม่สนใจแล้ว มุ่งหน้าแต่ไปซื้อหายามาบำรุงร่างกายเขาท่าเดียว ดูท่าแล้วเขาคงอดรนทนไม่ไหวที่จะบ่มเพาะยอดฝีมือหนึ่งในยุทธภพที่มีชื่อจารึกในประวัติศาสตร์ … คำพูดนี้เป็นนางเฮ่อพูด และแน่นอนว่ายังมีประโยคต่อท้ายอีกว่า “ลำพังไอ้เจ้าแซ่เจียงนี่ รับเจ้าคนกระจอกงอกง่อยนั่นมาน่ะรึ? เชอะ!”
นับแต่เว่ยฉางอิ๋งแต่งเข้ามาก็ต้องยุ่งจนหัวหมุน ทั้งต้องคอยต่อกรกับพวกพี่สะใภ้ ทั้งต้องคอยรับมือน้องสาวของสามี ทั้งต้องคอยปรนนิบัติแม่สามี แล้วยังต้องไปคารวะญาติๆ หลายที่ ดังนั้นในระหว่างที่นางสาละวนกับเรื่องต่างๆ อยู่นั้นเคยถามได้ความว่าครูฝึกอยู่ดีมีสุขไม่เลวเลย จึงไม่ได้ไปสนใจอีก เพราะระยะนี้ล้วนไม่ได้ใช้สอยเจียงเจิง เดิมทีคิดว่าอย่าให้ครูฝึกอยู่ว่างๆ จนเกิดความคิดเรื่อยเปื่อย พอผ่านอีกสักระยะก็น่าจะเชิญมาบำรุงขวัญสักหน่อยเป็นดี ไม่คิดว่าเจียงเจิงกลับมาเกินเรื่องเสียแล้ว!
ครูฝึกผู้นี้สอนวรยุทธให้เว่ยฉางอิ๋งมาตั้งแต่นางอายุได้ห้าขวบ ทุกหมัดทุกลูกเตะล้วนเป็นเขาแก้ไขท่วงท่าและอบรมสอนสั่งครั้งแล้วครั้งเล่าจนนางฝึกสำเร็จ แม้ด้วยฐานะที่แตกต่างกันจึงไม่ได้ไหว้ครูฝากตัวเป็นศิษย์ ทว่าความผูกพันกลับไม่ได้ตื้นเขิน เมื่อมาได้ยินว่าเขาถูกทำร้ายจนเหลือเพียงลมหายใจรวยริน เว่ยฉางอิ๋งหรือจะนั่งนิ่งอยู่ได้? พลันลุกพรวดพราดขึ้นมา จะเดินออกไปข้างนอก กระทั่งตวนมู่ซินเหมี่ยวนางก็ยังไม่สนใจแล้ว!
ตวนมู่ซินเหมี่ยวนิ่งเหม่อไปทันใด รีบยกชายกระโปรงวิ่งตามไป แล้วร้องเรียกว่า “พี่เว่ยรอข้าด้วย หากบาดเจ็บแล้ว แน่นอนว่าข้าย่อมเชื่อถือได้ยิ่งว่าหมอสวะเหล่านั้น!”
คำพูดนี้เตือนสติเว่ยฉางอิ๋งขึ้นมาทันใด …ต่อให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวทั้งศิษย์อาจารย์จะนิสัยย่ำแย่เพียงใด เรียกค่ารักษาเลยเถิดเพียงใด ทว่าในเรื่องฝีมือแพทย์แล้วกลับไม่เป็นที่กังขาใดๆ ยามนี้จี้ชวี่ปิ้งอยู่ไกลถึงเฉิงตง ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังไม่รู้ว่ายามใดจะกลับมาได้ ดังนั้นตวนมู่ซินเหมี่ยวจึงเป็นหมอที่เชื่อถือได้ที่สุดในยามนี้แล้ว!
ทันใดนั้นนางพลันหันหลังมาดึงข้อมือตวนมู่ซินเหมี่ยว แล้วเอ่ยอย่างหนักแน่นจริงจังว่า “เร็วหน่อย!”
นางวิ่งตามจูสือไปเช่นนี้ตลอดทางจนถึงเรือนชั้นหน้า… เพลานี้เจียงเจิงถูกยกเข้ามาแล้ว เสิ่นจวี้สั่งให้คนเอาเขาไปไว้ที่ห้องทางด้านข้าง สั่งบ่าวที่ดูแลข้างหน้าอย่างเร่งร้อนว่าให้ตักน้ำเข้ามา แล้วเร่งให้คนไปเชิญหมอมา …ท่ามกลางความว้าวุ่นสับสนเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งเร่งตามมาถึงและมองเห็นว่ามีรอยเลือดอยู่ตั้งแต่นอกเรือนจนเข้ามาข้างใน ทั้งมีกองเลือดนองอยู่ภายในเรือน และหยดเรื่อยไปจนถึงในห้องทางด้านข้าง เมื่อเห็นภาพดังนี้ เว่ยฉางอิ๋งพลันใจหายวาบ!
__________________________________