ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 108 ยื้อชีวิต
ตอนที่ 108 ยื้อชีวิต
Xiaobei
จูสือรีบแหวกทุกคนออก ร้องเสียงดังว่า “ฮูหยินน้อยมาแล้ว รีบหลีกทางเร็ว ให้ ฮูหยินน้อยเข้าไปดูหน่อย!”
…จูสือและเว่ยฉางอิ๋งล้วนพากันร้อนรนจนไม่ไหวแล้ว เพราะเสิ่นจวี้ไม่ใคร่คุ้นเคยกับเจียงเจิงนัก จึงยังมีสติดีอยู่ ได้ยินคำจึงรีบออกมาขวางเอาไว้ กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยขอรับ เสื้อผ้าของท่านองครักษ์เจียงถูกถอดออกหมดแล้ว เกรงว่ายามนี้จะไม่เหมาะให้ฮูหยินน้อยเข้าไปขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งสูดหายใจลึก กำลังจะเอ่ยคำ ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับเบียดตัวเขาไป พลางถลกแขนเสื้อขึ้นพลางเอ่ยถามว่า “เหตุใดจึงมีเหลือไหลมากเช่นนี้? บาดเจ็บอันใดมา?”
เสิ่นจวี้ไม่รู้จักตวนมู่ซินเหมี่ยว ดูจากเสื้อผ้าของนางก็เป็นคุณหนูผู้ดี ดูจากทรงผมนางก็ยังไม่ได้ออกเรือน เห็นนางถลกแขนเสื้อขึ้นต่อหน้าบ่าวตั้งมากมาย โดยเฉพาะโดยมากแล้วก็เป็นบ่าวผู้ชาย ดูท่าว่าจะเข้าไปทันใด จึงพูดติดอ่างไปว่า “คะ… คุณหนูท่านนี้…”
“หุบปาก! ถามสิ่งใดเจ้าก็ตอบสิ่งนั้น! ไม่ได้ถามเจ้าก็หุบปากซะ!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอากำไลรัดแขนเสื้อที่ม้วนขึ้นไปเอาไว้ให้แน่น เผยให้เห็นแขนงามขาวดังหิมะคู่นั้น ดวงตาเต็มไปด้วยความอดรนทนไม่ไหวถึงสิบสองส่วนในสิบส่วน แล้วเท้าสะเอวตะคอกไปว่า “รีบพูดมา บาดเจ็บอันใดมา? หากข้าไม่ไหว จะได้รีบให้คนไปเชิญท่านอาจารย์มา! ชักช้าร่ำไร ดูซิว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!”
เวลานี้เว่ยฉางอิ๋งไม่มีแก่ไปจะไปถือสาเรื่องที่นางต่อว่าบ่าวคนสนิทของสามีต่อหน้าตนเอง เร่งถามตามไปว่า “ท่านลุงเจียงบาดเจ็บอันใดมา? เจ้ารีบพูดมาสิ! หากทำให้คุณหนูตวนมู่แปดเสียเวลารักษา ข้าก็จะจัดการเจ้า!”
เสิ่นจวี้ไม่ได้เก็บท่าทีข่มขู่ตวนมู่ซินเหมี่ยวมาใส่ใจ เขาเป็นบ่าวที่อยู่สืบทอดมาในตระกูลเสิ่น นับตั้งแต่สมัยปู่ก็ได้บำเหน็จให้ใช้แซ่เสิ่น มิได้เกรงกลัวสตรีสูงศักดิ์บ้านอื่นเท่าใดนัก แต่เมื่อเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นนายหญิงเอ่ยคำ เสิ่นจวี้จึงไม่กล้าชักช้า ยิ่งไปกว่านั้นเว่ยฉางอิ๋งก็เอ่ยถึงฐานะของตวนมู่ซินเหมี่ยวออกมาแล้ว …ผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของหมอเทวดาจี้เป็นผู้ใด ทุกผู้ทุกคนในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดไม่รู้
เสิ่นจวี้เอ่ยอย่างลนลานว่า “ได้ยินว่าบังเอิญไปพบกับองค์รัชทายาทระหว่างทาง เพราะไปเดินชนขบวนขององค์รัชทายาทจึงถูกตีบาดเจ็บขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างตื่นตกใจปนโมโหว่า “พูดจาเลอะเลือนยิ่งนัก! แต่ไรมาท่านลุงเจียงเป็นคนที่รู้จักที่ต่ำที่สูงเป็นที่สุด แล้วจะไปเดินชนขบวนขององค์รัชทายาทได้อย่างไร?”
เจียงเจิงมีประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชนเพียงใด? ไม่มีทางเข้าไปหาเรื่องผู้ใดแน่นอน จะเป็นได้ก็แต่องค์รัชทายาทเป็นฝ่ายมาหาเรื่องเขาต่างหาก… เว่ยฉางอิ๋งพลันนึกถึงเรื่องหญิงเก็บบัวที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิขึ้นมาทันใด หรือว่าโดยส่วนตัวแล้วฮองเฮากู้ทำให้เรื่องนี้สงบลงอย่างเงียบๆ ทว่าองค์รัชทายาทกลับยังคิดแค้น นี่คือการจงใจมาแก้แค้นเช่นนั้นหรือ?
นางขบริมฝีปาก คิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็วเพื่อหาสาเหตุที่องค์รัชทายาทให้คนมาทำร้ายเจียงเจิง แต่นางตวนมู่กลับก้าวเข้าประตูไปอย่างรวดเร็วแล้ว …แม้เสิ่นจวี้รู้ว่านางจะไปตรวจรักษาเจียงเจิง ทว่าก็อดจะตื่นตกใจไม่ได้ โพล่งออกมาว่า “เสื้อผ้าของท่านองครักษ์เจียงถูกถอดออกหมดแล้วขอรับ”
“ถอดแล้วก็ถอดแล้วสิ” แม้เว่ยฉางอิ๋งจะหวังว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวจะสามารถช่วยเจียงเจิงได้ แต่ก็ไม่อาจรับผิดชอบผลจากการที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ไหว นางลังเลสักพักแล้ววิ่งเข้าไปดึงตัวตวนมู่ซินเหมี่ยวเอาไว้ กำลังจะเอ่ยคำ ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับแค่นเสียงหึ แล้วกล่าวอย่างอดรนทนไม่ไหวว่า “เจ้านี่โง่จริง! ก็ไม่ใช่ว่าจะปลดมุ้งที่เตียงลงมา แล้วเอาลากเส้นด้ายออกมา ให้ข้าได้ตรวจชีพจรเขา จะได้รู้ว่าต้องสั่งยาอย่างไร?”
เสิ่นจวี้ปาดเหงื่อบนหน้าผาก ฝืนยิ้มกล่าวว่า “ขอรับ! บ่าวเลอะเลือนแล้ว”
ในเมื่อปลดมุ้งที่เตียงลงมาแล้ว อีกทั้งก็มีคนกลุ่มใหญ่อยู่ทั้งในห้องนอกห้อง เว่ยฉางอิ๋งจึงเดินตามเข้าไปด้วยเสียเลย …และเห็นว่าภายในมีบ่าวผู้หญิงที่อายุมากแล้วสองสามคนล้วนมีสีหน้าเวทนาสงสาร ยืนอยู่ข้างๆ พลางสะอึกสะอื้นกันยกใหญ่ เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งเข้ามาก็กำลังจะคำนับนาง เว่ยฉางอิ๋งร้อนใจนักพลางบอกให้พวกนางไม่ต้องคารวะ… มองเห็นสีหน้าของบ่าวผู้หญิงเหล่านี้แล้ว นางก็อดจะใจหายไมได้ และรู้สึกว่านี่ไม่เป็นเรื่องดีเอาเสียเลย
ตวนมู่ซินเหมี่ยววางเส้นด้ายลง สีหน้าก็ไม่ดีนัก เงยหน้าขึ้นมาบอกกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “เขาถูกคนหลายคนใช้กำลังอย่างแรงจนกระดูกซี่โครงหักจนเกือบหมด ที่กระอักเลือดก็เพราะกระดูกซี่โครงปักเข้าไปในอวัยวะภายใน!”
เว่ยฉางอิ๋งสูดหายใจลึก “มีทางช่วยหรือไม่?” ในขณะที่นางกำลังถามเช่นนี้ ก็เห็นว่ามีชายหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งคล้ายว่ากำลังโซเซ ด้วยท่าทางรับความสะเทือนใจเช่นนี้ไม่ไหว
เพียงแต่เวลานี้จิตใจของเว่ยฉางอิ๋งล้วนอยู่ที่คำตอบของตวนมู่ซินเหมี่ยว จึงไม่ได้ไปสนใจคนผู้นั้นเท่าใดนัก
ตวนมู่ซินเหมี่ยวนิ่งเงียบไปพักใหญ่ๆ จึงบอกว่า “มีทางช่วยน่ะมี เพียงแต่ยังขาดคนผู้หนึ่ง …ข้าไม่ชำนาญการจัดกระดูก ยามนี้ต้องจัดกระดูกเข้าที่เสียก่อน เพื่อมิให้แทงอวัยวะภายในต่อไป นอกจากนี้ยังมียาบางตัวที่ข้าต้องกลับไปเอาที่เรือนท่านอาจารย์ ความจริงแล้วควรพาคนย้ายไปที่นั่นด้วยเป็นดีที่สุด”
“ซี่โครงล้วนแทงเข้าไปในอวัยวะภายในแล้ว จะย้ายคนไปได้เยี่ยงใด?” เว่ยฉางอิ๋งกำผ้าเช็ดหน้าแน่นพลางเอ่ยเสียงหนัก “ยิ่งไปกว่านั้นมาจัดกระดูกเอายามนี้… ข้าได้ยินเสียงท่านลุงเจียงหายใจรวยรินนัก เวลานี้เขาจะทนไหวหรือ?”
“จัดกระดูก แค่เพียงหาคนที่ชำนาญเรื่องนี้กลับไม่เป็นอันใด” ตวนมู่ซินเหมี่ยวล้วงเอาขวดหยกขนาดแค่เพียงนิ้วหัวแม่มือและมีจุกปิดอยู่ขวดหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ กล่าวว่า “ของสิ่งนี้เดิมทีข้าคิดจะเอามาแลกกับเครื่องหยกของเจ้า เป็นยาลูกกลอนรักษาชีวิตที่ท่านอาจารย์ทำเองกับมือ ยังไม่มีชื่อเรียก ใช้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสชนิดชีวิตแขวนบนเส้นด้ายเช่นนี้ ยามนี้สามารถเอาให้เขากินได้เม็ดหนึ่ง”
ชายหนุ่มร่างกำยำที่มีท่าทีสะเทือนใจเป็นหนักหนาเมื่อตอนที่ได้ยินว่าเจียงเจิงได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนหน้านี้พลันสาวเท้าก้าวใหญ่ๆ เข้ามา เอื้อมมือมา กล่าวว่า “ต้องขอให้คุณหนูให้ยาด้วยขอรับ!”
แม้ตวนมู่ซินเหมี่ยวจะเป็นคนเปิดเผย แต่ก็ยังเหมือนกับคุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วไปที่ไม่ชอบให้ชายหนุ่มแปลกหน้าเข้าใกล้ โดยเฉพาะยามนี้เป็นชายหนุ่มร่างกำยำ สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ หน้าตาหยาบกระด้าง เหมือนชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปเช่นนี้ นางอดขมวดคิ้วไม่ได้ แล้วยังโยนขวดยาไปให้ฉินเกอ เอ่ยเรียบๆ ว่า “เอายาเม็ดหนึ่งไปละลายน้ำและกรอกให้คนเจ็บกิน เพียงแต่หนึ่งเม็ดสามารถยื้อชีวิตไว้ได้มากที่สุดเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ต้องเร่งหาคนที่จัดกระดูกไปมาให้เร็วที่สุดจึงจะได้”
ชายร่างกำยำกลับมารับเอาขวดยาไปกลางอากาศ ปล่อยให้ฉินเกอรับได้แต่ความว่างเปล่า และเขาก็ไม่สนใจว่าทุกคนจะมองเขาด้วยสีหน้าเช่นใด ยังคงหันไปประสานมือแสดงความเคารพตวนมู่ซินเหมี่ยว กล่าวว่า “ข้าน้อยจัดกระดูกเป็น ยามนี้ขอขอบคุณคุณหนูยิ่งนัก!” ดีชั่วก็ยังรู้จักคนเป็นนาย จึงหันไปคารวะเว่ยฉางอิ๋ง “ขอบคุณฮูหยินเว่ยขอรับ!”
จากนั้นก็ไล่คนออกไป “ยามนี้ข้าน้อยจะป้อนยาให้อาจารย์ดื่มและจัดกระดูกให้อาจารย์ อาจารย์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องเชิญฮูหยินเว่ยและคุณหนูออกไปก่อนขอรับ!”
เว่ยฉางอิ๋งและตวนมู่ซินเหมี่ยวต่างพากันรู้สึกอึ้งเล็กน้อย… ดีชั่วเว่ยฉางอิ๋งก็พอจะเข้าใจขึ้นมาว่าคนผู้นี้ควรจะเป็นจูเหล่ยศิษย์ที่เจียงเจิงมองเขาเป็นเช่นบุตรชายแท้ๆ ด้วยความเป็นห่วงเจียงเจิง แม้เว่ยฉางอิ๋งจะถูกเขากลับบ่าวเป็นนายและไล่ออกมาจากห้อง แต่ในใจกลับไม่ได้เคืองโกรธมากนัก เพียงแต่คิดว่า ‘ได้ยินว่าเจียงเจิงมองเขาเป็นลูกแท้ๆ ยามนี้เห็นเขาร้อนใจกับอาการบาดเจ็บของท่านลุงเจียงเช่นนี้ ชาวบ้านธรรมดาสามัญคนหนึ่ง แม้ต้องล่วงเกินสตรีชั้นสูงแห่งตระกูลสูงศักดิ์ก็หาได้หวั่นกลัวไม่ นับว่าเขายังมีใจกตัญญูอยู่หลายส่วน’
แต่ก็กลัวว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวจะไม่พอใจเพราะสาเหตุนี้ หลังจากที่จัดกระดูกของเจียงเจิงให้เข้าที่แล้วก็ยังต้องขอร้องนางให้รักษาเขาต่อ จึงออกปากปะเหลาะนาง
ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับหัวเราะฮิๆ กล่าวว่า “ได้แหวนของพี่เว่ยมาแล้วก็ควรต้องทำเรื่องเล็กน้อยให้พี่เว่ยบ้าง”
นางว่ามาดังนี้ เว่ยฉางอิ๋งกลับรู้สึกขัดเขินเสียยิ่งนัก เดิมทีนึกว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวต้องการเครื่องหยกเนื้อดีและจะเอาไปเปล่าๆ จึงตั้งใจเลือกของที่เล็กที่สุดให้ ได้ยินนางเกี่ยงนั่นนี่ก็ไม่พอใจยิ่งนัก แต่ไม่เคยคิดเลยว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับเตรียมยาลูกกลอนที่ในเวลาเป็นตายเช่นนี้สามารถยื้อชีวิตเอาไว้ได้มาแลก เมื่อมองจากฝั่งของเว่ยฉางอิ๋ง …นางเองก็มิได้ขาดแคลนเครื่องหยกอันใด กลับเป็นยาชนิดนี้ต่างหากที่หาได้ยากยิ่ง
ต่อให้ตัวนางเองซึ่งอยู่แต่ในเรือนหลังจะมีโอกาสใช้น้อยนัก ทว่าในเมื่อตัวเลือกพระสวามีขององค์หญิงหลินชวนก็กำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว คิดว่าอีกไม่กี่วัน การโยกย้ายราชองครักษ์ที่ได้จัดสรรเอาไว้เรียบร้อยแล้วเมื่อวันชูอิกปีก่อนก็จะเริ่มแล้ว ถึงยามนั้น เสิ่นจั้งเฟิงซึ่งเป็นคนที่ได้ที่หนึ่งก็ต้องไปสร้างผลงานที่ซีเหลียงอย่างขาดเสียมิได้ …เมื่อเรียกว่าเป็นการสร้างผลงาน ทว่าคนที่เป็นประมุขคนต่อไปของตระกูลเสิ่น จะเอาแต่หดหัวอยู่ข้างหลังไม่เข้าสนามรบได้หรือ?
เมื่อเข้าสนามรบแล้ว หลิวจี้เจ้าซึ่งเป็นสามีของลูกผู้พี่ก็คือตัวอย่าง
หากรู้แต่แรกว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวมียาลูกกลอนเช่นนี้ทั้งยังยอมนำเอามาแลก จะให้นางเอาเครื่องหยกที่ดีที่สุดกี่ชิ้นมาให้ก็ได้ทั้งนั้น!
ทว่าเพราะก่อนหน้านี้บอกกับนางไปแล้วว่าตนเองไม่มีหยกดีๆ อันใด ยามนี้หากคิดจะเปลี่ยนคำ นางก็พลันนึกไม่ออกว่าจะเปลี่ยนคำอย่างไร
ยิ่งยามนี้มาได้ยินว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวพูดคำเกรงอกเกรงใจ เว่ยฉางอิ๋งยิ่งรู้สึกกระดากอาย เอ่ยทั้งหน้าแดงว่า “ยาลูกกลอนชนิดนี้ของเจ้าล้ำค่านัก พี่ต้องขอรับเอาไว้แล้ว! และวันนี้ยังต้องรบกวนเจ้าให้เข้าไปรักษาด้วยตนเองด้วย”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “พี่เว่ยท่านอย่าได้เกรงใจ ความจริงแล้วที่ว่ายาลูกกลอนนี้สามารถยื้อชีวิตได้เป็นท่านอาจารย์พูด แต่ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยใช้มาก่อน …วันนี้ลองให้คนผู้นี้ใช้สักหน่อย พอดีว่าข้าเองก็จักได้ดูฤทธิ์ของยาสักหน่อยด้วย เมื่อกลับไปบอกกับอาจารย์ ท่านอาจารย์จะได้รู้ว่าคราหน้าต้องปรับยาอีกหรือไม่”
“…” เว่ยฉางอิ๋งที่เดิมทีรู้สึกซาบซึ้งอยู่เต็มหัวใจพลันแทบกระอักเลือดออกมา!
ยังหลงนึกว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นคนใจกว้างถึงเพียงนี้ เมื่อเห็นว่าเจียงเจิงบาดเจ็บ นางก็ไม่แม้แต่จะถามถึงฐานะของเขา บอกว่าจะนำยาที่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ออกมาก็นำออกมาให้ในทันใด ทั้งยังบอกต่อหน้าธารกำนัลว่านางคิดจะนำมาแลกกับเครื่องหยกของเว่ยฉางอิ๋ง …เว่ยฉางอิ๋งก็คิดไปในทางดีว่านางมีบุญมีคุณกับตนเสียอีก!
ไม่คิดว่าที่แท้แล้วนางจะอาศัยโอกาสนี้ใช้เจียงเจิงลองยา! ถึงได้ประจบประแจงดังนี้!
แล้วยังบอกว่ายานี้เดิมทีนำมาให้เว่ยฉางอิ๋งเสียด้วย นี่เรียกว่ามีบุญมีคุณกับ เว่ยฉางอิ๋งที่ใดเล่า? มิใช่ว่าหากเจียงเจิงเกิดเรื่องขึ้นมา เว่ยฉางอิ๋งก็ต้องเข้าไปเกี่ยวด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หรือ?
เห็นเว่ยฉางอิ๋งมองตนเองด้วยสายตาเกรี้ยวกราดจนแทบจะพ่นไฟออกมา ตวนมู่ซินเหมี่ยวจึงรู้สึกกระดากอายนัก “ท่านอาจารย์บอกว่าตัวยาที่ใช้ทำยานี้ซับซ้อนนัก เดิมทีคิดว่าเมื่อไปซีเหลียงแล้วจึงค่อยใช้ ภายหลังเพราะไปไม่ได้แล้ว จึงไม่ได้ไปค้นคว้าอีก หาไม่แล้วก็จักต้องรู้ผลของยาแน่นอน รอจนท่านอาจารย์กำหนดตัวยาได้ชัดเจนแล้ว ข้าค่อยมอบให้กับพี่เว่ยอีกสักหน่อย”
“ไม่ต้องแล้ว!” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าไม่รับยาเหล่านี้” คิดจะให้พวกเราเป็นตัวทดลองยาให้พวกเจ้าศิษย์อาจารย์รึ? เชอะ!
ในพริบตานี้เว่ยฉางอิ๋งตัดสินใจว่ากลับไปจะต้องให้นางหวงเอาชาดอกกุหลาบที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวมอบให้ไปบดแล้วก็บดอีก… ด้วยหัวจิตหัวใจของคนเช่นตวนมู่ซินเหมี่ยวที่เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา เอาคนไปทดลองยาแล้วยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเช่นนี้ ผู้ใดจักรู้ว่า ชาดอกกุหลาบที่นางมอบให้ตนจริงๆ นั้นใส่สิ่งใดไว้กันแน่!
นางขบริมฝีปากเอ่ยเตือนไปว่า “แม้ท่านลุงเจียงจะเป็นเพียงครูฝึกของข้า ทว่าในใจข้าแล้ว ท่านลุงเจียงของข้าก็เหมือนจี้ชวี่ปิ้งของเจ้า …เจ้ากลับกล้าเอาเขาไปทดลองยา! นอกเสียจากเขาจะหาย หากเขาเกิดเรื่องใดขึ้นมาด้วยเหตุนี้ ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไว้แน่นอน!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งเอาจริง ก็ยิ่งมีท่าทีสำนึกผิด มองฟ้ามองดินพึมพำว่า “เรื่องนี้… เรื่องนี้จะมาโทษข้าคนเดียวได้อย่างไร? เดิมทีองครักษ์ผู้นี้ก็บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว แม้ยามนี้จะเป็นหมอคนอื่นมา ต่อให้เป็นพวกคนในหอแพทย์หลวงก็ตามที ก็ต้องให้พวกเจ้าเตรียมจัดงานเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว ข้าสามารถยื้อชีวิตเขาไว้ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว…”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มหยันพลางว่า “ข้าไม่ได้พูดกับเจ้าเรื่องนี้ หากเจ้าไม่ได้เอายาที่ยังปรุงไม่สำเร็จมาให้ท่านลุงเจียงใช้ และรักษาแบบนี้ แล้วท่านลุงเจียงไม่หาย ข้าก็จะไม่ถือโทษเจ้า! แต่ยามนี้เจ้าเห็นชีวิตท่านลุงเจียงเป็นผักปลา ยาที่ยังไม่ได้ทดลองให้ดีๆ ก็นำมาให้เขาใช้แล้ว หากเกิดเรื่องขึ้นมา ข้าไม่ไปเอาเรื่องกับเจ้าแล้วจะไปเอาเรื่องกับผู้ใด?!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเบะมุมปาก กล่าวว่า “ย่อมต้องไปเอาเรื่องคนที่ตีเขาน่ะสิ!”
_________________________________________