ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 115 ปราณีมากแล้ว
ตอนที่ 115 ปราณีมากแล้ว
Xiaobei
วันนี้เมื่อกลับมาถึงจวนราชครูก็เป็นเวลาจุดโคมแล้ว เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกอ่อนล้ายิ่งนัก แต่ก็ยังต้องไปขอขมากับฮูหยินซูที่เรือนหลักเสียก่อน
ระหว่างทางไปเรือนหลัก นางคิดว่าตนเองให้ความสำคัญกับอาการบาดเจ็บของเจียงเจิงถึงเพียงนี้ …แต่ในสายตาของฮูหยินซูแล้ว เจียงเจิงก็เป็นเพียงองครักษ์คนหนึ่ง ฮูหยินซูต้องไม่พอใจที่สะใภ้ของตนวุ่นหน้าวุ่นหลังเพื่อองครักษ์ผู้นึ่งเป็นแน่ แม้แต่ออกจากบ้านก็ยังไม่ได้มาบอกกล่าวกับตนด้วยตนเอง คาดว่าครานี้ตนเองคงต้องพินอบพิเทาและระมัดระวังเสียอย่างยิ่ง จึงจะสามารถไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ไปได้
ทว่าเมื่อเตรียมตัวมาดังนี้ พอมาถึงหน้าเรือนหลังกลับเห็นว่าบ่าวชราสองสามคนที่ยืนเฝ้าหน้าประตูล้วนยืนประสานมือพลางหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่นั่น …คล้ายว่าวันนี้ที่เรือนหลักก็เกิดเรื่องด้วยเช่นกัน?
เว่ยฉางอิ๋งตื่นตระหนกเล็กน้อย พลันคิดถึงเรื่องที่เสิ่นจั้งเฟิงว่าไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา แต่ภายหลังก็คิดว่าไม่ใช่ เรื่องใหญ่เพียงนี้ เสิ่นจั้งเฟิงสามารถบอกกล่าวกับตนซึ่งเป็นภรรยาเอก แต่จะทำให้ใหญ่โตจนคนรู้กันไปทั่วได้อย่างไร?
นางตั้งสติ ยกมือขึ้นยั้งไม่ให้บ่าวชราเหล่านั้นคารวะตน ยิ้มพลางเอ่ยถามเสียงเบาว่า “ยามนี้ท่านแม่?” ทางหนึ่งเอ่ยถาม อีกทางหนึ่งฉินเกอก็ยัดถุงเงินสองถามถุงให้ไป
บ่าวชราสองสามคนนี้บอกปัดสองสามหนพอเป็นพิธีแล้วรับเอาไว้ จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบาว่า “วันนี้ฮูหยินเสียใจเป็นยิ่งนัก ฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองปลอบอยู่ตลอดบ่าย เมื่อครู่นี้เพิ่งจะกลับไปเจ้าค่ะ ยามนี้แม่นมเถายังอยู่สนทนาด้วยอยู่ข้างในเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้งตกใจ รีบถามว่า “เป็นเรื่องใดที่ทำให้ท่านแม่เสียใจเพียงนี้?” ฮูหยินซูมิใช่คนที่จะเสียใจอันใดได้ง่ายๆ! ยิ่งไม่ต้องบอกว่านางเสียใจจนต้องสะใภ้ที่ดูแลบ้านเรือนมาปลอบ กระทั่งต้องอยู่ปลอบตลอดบ่ายเลย!
มีบ่าวชราคนหนึ่งเหลียวซ้ายแลขวาด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ แล้วขยับเข้ามากระซิบข้างหูเว่ยฉางอิ๋งว่า “เรียนฮูหยินน้อยสาม เกี่ยวกับทางจวนเซียงหนิงปั๋วเจ้าค่ะ …วันนี้ฮูหยินเชิญฮูหยินน้อยสี่ของจวนเซียงหนิงปั๋วมาปรึกษาเรื่องของคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ ปรากฏว่ากลับทำให้ฮูหยินต้องมีน้ำโหขึ้นมาเจ้าค่ะ!”
“นางพูดสิ่งใด จึงทำให้ท่านแม่โกรธจนเป็นเช่นนี้?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างสงสัย
ในวันที่เผยเหม่ยเหนียงมายกน้ำชาก็ทำให้เห็นแล้วว่านางไม่ใช่คนที่คบหาง่าย และเป็นเพราะนาง พวกเว่ยฉางอิ๋งสามสะใภ้จึงถูกฮูหยินซูต่อว่าไม่เบาเลย …ไม่คิดว่าวันนี้แม้แต่ฮูหยินซูก็ยังต้องมามีน้ำโหเพราะนางผู้นี้ นางก็ช่างหาเรื่องเก่งเกินไปแล้วกระมัง?
ทว่าเผยเหม่ยเหนียงก็เป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่แท้ๆ แม้จะยากจะคบค้ากับพวกสะใภ้ด้วยกัน แต่อย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องระหว่างคนในรุ่นเดียวกัน เหตุใดแม้แต่ญาติผู้ใหญ่นางก็ยังกล้าอกตัญญูและกระด้างกระเดื่องเล่า?
บ่าวชราอีกคนหนึ่งกระซิบว่า “คล้ายว่าคุณหนูใหญ่อยากจะออกบวช และมาบอกกับฮูหยินเจ้าค่ะ ฮูหยินเอ่ยทัดทานไม่ไหว จึงให้คนไปเชิญฮูหยินน้อยสี่มา คิดว่าจะได้มาช่วยพูดปรามคุณหนูใหญ่ด้วยกัน ปรากฏว่าระหว่างนั้น ฮูหยินบอกให้ฮูหยินน้อยสี่คอยเอาใจใส่ดูและคุณหนูใหญ่ให้มากสักหน่อย ฮูหยินน้อยสี่นึกว่าฮูหยินบอกเป็นนัยว่าเหตุที่คุณหนูใหญ่คิดอยากออกบวชเพราะถูกนางบีบบังคับ จึงพูดคำ…คำไม่ใคร่ดีนักไปสองสามประโยค และทำให้ฮูหยินโกรธจนร้องไห้ออกมาทันใดเจ้าค่ะ!”
“…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้งไปเนิ่นนาน พูดสิ่งใดไม่ออก ด้วยชั้นเชิงของฮูหยินซูแล้ว การที่นางโมโหเสียจนร้องไห้ออกมาในทันใดนี้อาจไม่ใช่ว่าร้องไห้ออกมาจริงๆ บางทีอาจเป็นการจงใจ แต่การบีบคั้นญาติผู้ใหญ่จนถึงขั้นนี้ เผยเหม่ยเหนียงเอ่ยคำบาดใจอันใดกันแน่?
เมื่อได้ยินว่าเผยเหม่ยเหนียงไม่เคารพผู้ใหญ่เช่นนี้ …เว่ยฉางอิ๋งจึงถามว่า “แล้ว น้องสะใภ้สี่ยามนี้เล่า? อยู่ในศาลบรรพชนทางนั้นหรือไม่?” หลานสะใภ้ที่อกตัญญู เพียงนี้ ต่อให้เห็นแก่หน้าเสิ่นโจ้วและเสิ่นจั้งฮุยเพียงใด อย่างน้อยก็ต้องลงโทษให้นางไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชนหนึ่งคืนกระมัง?
พวกบ่าวชราพากันพูดอย่างขัดเขินว่า “เรื่องนี้…กลับไม่มีเจ้าค่ะ เวลานี้ฮูหยินน้อยสี่อยู่ที่จวนเซียงหนิงปั๋วเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว “กักบริเวณรึ? หรือว่าให้คัดหนังสือ? บอกหรือไม่ว่ายามใดจะมาโขกหัวยกน้ำชาขอขมาท่านแม่?” แล้วคิดถึงครั้งวันยกน้ำชาก่อนหน้านี้ ซึ่งมองออกว่าเสิ่นจั้งฮุยรักภรรยาผู้นี้เสียอย่างยิ่ง บางทีเพื่อเห็นแก่หน้าเสิ่นจั้งฮุย จึงปล่อยเผยเหม่ยเหนียงให้กลับไปรับโทษในจวนเซียงหนิงปั๋ว
เพียงแต่ด้วยความรักใคร่ที่เสิ่นจั้งฮุยมีต่อเผยเหม่ยเหนียง และในสภาพการณ์ที่เผยเหม่ยเหนียงไม่มีแม่สามีแล้ว เกรงว่าเมื่อนางกลับไปหลบอยู่ภายในห้อง ความจริงแล้วไปถูกทำโทษหรือไปพักก็ไม่มีใครรู้ได้ เมื่อเป็นดังนี้ก็เป็นการรับโทษโดยนาม แต่ความจริงแล้ว…ผู้ใดจะรู้เล่า?
ที่ไหนได้ เมื่อพวกบ่าวชราได้ยินเข้าก็ยิ่งมีท่าทีขัดเขินหนักเข้าไปอีก… เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “มีอันใดหรือ?”
“ฮูหยินน้อยสาม?” มีบ่าวชราสองคนกำลังจะตอบ ห่างออกไปไม่ไกลกลับมีคนเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าโคมใต้ประตูส่องสว่างลงมาเป็นเงาด้านข้างของเว่ยฉางอิ๋ง จึงเรียกเบาๆ ไปหนหนึ่ง
เว่ยฉางอิ๋งฟังออกว่าเป็นเสียงของหม่านโหลว สาวใช้ที่ดูแลอยู่ต่อหน้าฮูหยินซู จึงผละจากพวกบ่าวชรามาสนทนากับนางแทน “หม่านโหลว เจ้าอยู่ที่นี่ด้วยรึ? เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งได้ยินพวกนางบอกว่าวันนี้น้องสะใภ้สี่มาที่นี้และทำให้ท่านแม่โกรธ เป็นเรื่องใดกัน?”
“เฮ่อ!” หม่านโหลวมิได้เอ่ยคำ แต่ถอนหายใจออกมาก่อน แล้วพานางเดินมาข้างๆ สองสามก้าว จึงว่า “ฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองอยู่ปลอบมาตลอดบ่าย เมื่อครู่เพิ่งกลับไป แม่นมเถาก็ยังร้องไห้ไปกับฮูหยินหลายรอบ …ไม่รู้ว่าเป็นเวรเป็นกรรมใด ครอบครัวอยู่กันดีๆ แท้ๆ เหตุใดจึงแต่งสะใภ้เช่นนี้เข้ามา?”
สาวใช้ที่ดูแลใกล้ชิดนายผู้หญิงของบ้านเช่นหม่านโหลวนี้จะต้องเป็นคนที่รู้จักมีขอบเขต ไม่มีทางวิพากษ์วิจารณ์คนสุ่มสี่สุ่มห้า โดยเฉพาะพูดเรื่องของเจ้านาย และโดยเฉพาะนำไปพูดกับนายอีกคน …เวลานี้หม่านโหลวยังว่ามาดังนี้ ด่าทออย่างเปิดเผยว่าเผยเหม่ยเหนียงไม่ดี เห็นชัดว่านางปวดหัวกับเผยเหม่ยเหนียงจนถึงที่สุดแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งไม่คิดมาก่อนว่าน้องสะใภ้ผู้นี้จะล่วงเกินคนได้ถึงปานนี้ แต่งเข้าบ้านมายังไม่ทันหนึ่งเดือน มาที่จวนราชครูแห่งนี้ก็เพียงสองครั้ง ปรากฏว่านางกลับล่วงเกินทุกคนจนถ้วนทั่วหน้าแล้ว! นางรีบถามว่า “พวกบ่าวชราล้วนพูดไม่ละเอียด เจ้าบอกข้าซิว่าเป็นเรื่องใดกัน?”
“นี่ก็มิใช่ว่าอีกไม่วันคุณชายสี่กับนางก็จะแต่งงานกันครบเดือนแล้วหรือเจ้าคะ?” หม่านโหลวเอ่ยเสียงเบา “จู่ๆ วันนี้คุณหนูใหญ่ก็มาบอกกับฮูหยินว่าอยากจะออกบวช และยังบอกว่านับแต่ท่านเขยใหญ่ล้มป่วยและเสียไปครานั้น คุณหนูใหญ่ก็มีความคิดเช่นนี้แล้ว เพียงแต่ครานั้นกลัวว่าท่านเซียงหนิงปั๋วจะเสียใจ ยิ่งไปกว่านั้นทางจวนเซียงหนิงปั๋วก็ไม่มีคนคอยดูแลหุงหาอาหาร และกลัวว่าต้องคอยรบกวนพวกเราทางนี้มากเกินไป จึงอยู่ดูแลเรื่องต่างๆ ในจวนมาสองปี เวลานี้คุณชายสี่ก็แต่งภรรยาแล้ว หลังฮูหยินน้อยสี่แต่งงานครบเดือนแล้ว ก็จะสามารถดูแลเรื่องต่างๆ ในจวนในฐานะสะใภ้ใหญ่แห่งจวนเซียงหนิงปั๋วได้แล้ว คุณหนูใหญ่คิดว่าวันหน้าจวนเซียงหนิงปั๋วก็ไม่มีเรื่องที่ตนต้องทำแล้ว จึงคิดจะออกบวช …ฮูหยินของเราย่อมไม่อาจตัดใจให้คุณหนูใหญ่ไปได้เจ้าค่ะ”
แม้จะบอกว่า ต่อให้เสิ่นจั้งจูอยู่ในบ้านฝั่งมารดาจนชั่วชีวิตโดยไม่คิดจะแต่งงานใหม่ แต่เมื่ออยู่บ้านตน ดีชั่วเช่นใดก็ยังมีคนในครอบครัวให้ได้พบปะเสมอๆ ยามเสียอกเสียใจอันใดขึ้นมาก็ยังมีคนคอยปลอบใจ หากออกบวชแล้วก็จะต้องอยู่เพียงลำพังตัวคนเดียว โดดเดี่ยวเดียวดาย ฮูหยินซูย่อมไม่อาจตกปากรับคำได้ …ไม่ว่าตัวฮูหยินซูเองจะสนใจอนาคตภายภาคหน้าของเสิ่นจั้งจูหรือไม่ เมื่อเป็นท่านป้าใหญ่ผู้ใจดีมีเมตตาแล้ว หากหลานสาวคิดออกบวช นางย่อมต้องทัดทาน
“จากนั้นเล่า?”
“จากนั้นฮูหยินเอ่ยทัดทานคุณหนูใหญ่อยู่หนึ่งชั่วยามก็ไม่อาจรั้งคุณหนูใหญ่เอาไว้ได้ และคิดว่าฮูหยินน้อยสี่เพิ่งแต่งเข้ามาได้ไม่นาน บางทีคุณหนูใหญ่อาจเห็นแก่หน้าฮูหยินน้อยสี่ซึ่งเป็นน้องสะใภ้ใหม่บ้างสักน้อย จึงให้คนไปเชิญฮูหยินน้อยสี่มาทัดทานคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ” หม่านโหลวทึ้งผ้าเช็ดหน้า ยิ้มเยาะพลางว่า “ปรากฏว่าระหว่างที่ฮูหยินกล่าวทัดทานคุณหนูใหญ่อยู่นั้น ก็พูดไปประโยคหนึ่งว่า ‘หากเจ้ายังอยู่ในบ้าน ยามมีเรื่องเล็กน้อยอันใด คนในบ้านก็ยังช่วยดูแลให้ได้สักหน่อย หากเจ้ากลัวจะรบกวนข้า ยามนี้ก็มิใช่ว่ามีน้องสะใภ้แท้ๆ แล้วหรือ? แล้วเหม่ยเหนียงจะไม่ดูแลเจ้าเป็นอย่างดีได้อย่างไร’ แล้วถามฮูหยินน้อยสี่ว่าเป็นดังนั้นหรือไม่ …ฮูหยินน้อยสามท่านว่านี่มิใช่คำพูดปกติธรรมดาหรอกหรือ? ปรากฏว่าฮูหยินน้อยสี่กลับว่ามาคำหนึ่งว่า ‘คำพูดของท่านป้าใหญ่นี้ คล้ายกำลังตำหนิว่าข้าทำผิดหรือกำลังจะทำผิดต่อพี่หญิงใหญ่เช่นนั้น ข้ากลับไม่กล้ารับ’ พลันทำให้ฮูหยินโกรธจนสำลักทีเดียว!”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้งไป กล่าวว่า “เหตุใดนางจึงคิดเช่นนี้ พูดเช่นนี้? หรือนางนึกว่าที่พี่หญิงใหญ่จะออกบวช ด้วยกลัวว่าวันหน้าจะถูกนางทำไม่ดีด้วย จึงได้ลากท่านแม่มารับบทลูกคู่เพื่อบีบให้นางแสดงท่าทีออกมาหรือ?”
เสิ่นจั้งจูเป็นบุตรสาวคนโตของเสิ่นโจ้ว เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเสิ่นจั้งฮุย นับแต่นางเป็นม่ายก็เป็นเสิ่นโจ้วที่บุกไปที่บ้านใหญ่ตระกูลซูเพื่อรับนางกลับมาอยู่ที่บ้าน คนเช่นนางหากจะอยู่บ้านฝั่งมารดาไปชั่วชีวิตก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลยิ่ง …บ้านตระกูลเสิ่นก็มิใช่บ้านหลังเล็กๆ อันใด มีหรือจะเลี้ยงดูบุตรสาวที่เป็นม่ายคนหนึ่งไม่ไหว? ยิ่งไปกว่านั้นเสิ่นจั้งจูซึ่งเป็นม่ายแต่ยังสาวเช่นนี้ วันหน้าจะต้องถูกจารึกอยู่ในบันทึกของตระกูล ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ทำให้ตระกูลเสิ่นมีหน้ามีตายิ่งขึ้นไปอีก!
…อีกประการหนึ่งแม้เสิ่นจั้งจูจะกลับมาอยู่ที่บ้านฝั่งมารดา ก็หาใช่ว่านางจะมากินใช้กับน้องชายกับน้องสะใภ้ไม่ นางก็มีสินติดตัวซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของนางเอง และหาได้เป็นเพียงเงินทองจำนวนน้อยๆ ก้อนหนึ่งไม่ ต่อให้คิดว่าเป็นเพียงแค่เจ็ดแปดส่วนของสินติดตัวของเว่ยฉางอิ๋งก็ตามที เสิ่นจั้งจูเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะฟุ่มเฟือยเพียงใด อีกหลายชาติก็ยังใช้ไม่หมดเลย ยิ่งไม่ต้องบอกว่าเสิ่นจั้งจูเป็นหญิงม่ายคนหนึ่งที่จะไม่สวมใส่ของที่มีสีสัน ไม่เหมาะมาสวมใส่เครื่องทองเครื่องเงิน ไม่กินของกลิ่นแรงรสจัด แล้วจะฟุ่มเฟือยได้ที่ใด?
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำใจไมตรี หรือเรื่องธรรมเนียม หรือว่ากันตามความจริงแล้ว เสิ่นจั้งจูไม่มีความจำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่โดยต้องคำนึงว่าน้องชายและน้องสะใภ้จะคิดเห็นเช่นใด! อีกประการ เผยเหม่ยเหนียงเพิ่งแต่งเข้ามาไม่กี่วัน เวลานี้ยังไม่ทันได้ดูแลบ้านเรือนเสียด้วยซ้ำ แม้ว่าเสิ่นจั้งจูจะเป็นม่ายทั้งยังสาวจนดูว่าน่าสงสารยิ่งนัก ทว่าครั้งนั้นนางก็เป็นสะใภ้ใหญ่ที่ตระกูลซูแห่งชิงโจวตีฆ้องลั่นกลองรับเข้าบ้าน และเดิมทีก็มีอนาคตเป็นถึงว่าที่นายหญิงใหญ่ของตระกูลซูอีกด้วย!
คุณหนูใหญ่ที่เป็นดังที่ว่ามานี้ จะต้องไปกลัวน้องสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านมาและถือกำเนิดแค่เพียงในชั้นตระกูลใหญ่หรือ?
เว่ยฉางอิ๋งไม่อาจจินตนาการถึงสีหน้าของฮูหยินซูและเสิ่นจั้งจูในเวลานั้นเลยจริงๆ…
หมั้นโหลวยิ้มเยาะพลางว่า “ฮูหยินน้อยสามเอ่ยเช่นนี้ ข้าน้องจึงเพิ่งเข้าใจว่าที่แท้แล้วฮูหยินน้อยสี่ก็คิดเช่นนี้มาแต่ไร? เรื่องเลอะเลือนเช่นนี้ …ข้าน้อยคิดจนหัวแตกก็ยังคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเหตุใดนางจึงตอบไปเช่นนั้น?” แล้วว่า “เวลานั้นฮูหยินโกรธอย่างมาก คุณหนูใหญ่จึงตำหนิฮูหยินน้อยสี่ว่าพูดจาไร้มารยาท และสั่งให้นางขอขมาฮูหยิน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ปรากฏว่าฮูหยินน้อยสี่กลับดีนัก พูดออกมาได้ว่า ‘ข้าพูดไปตามความจริง เหตุใดท่านป้าใหญ่ถึงโกรธเล่า?’ แล้วว่า ‘หากมิใช่เพราะเคลือบแคลงใจว่าข้าจะทำไม่ดีต่อพี่หญิงใหญ่ นี่ยังไม่ทันแต่งงานครบเดือนเลย แล้วกลับต้องเรียกข้ามาเสียให้ได้ ทั้งเรื่องออกบวช ทั้งเรื่องให้ดูแลสักหน่อย เรื่องบ้าบอเหล่านี้มันเรื่องใดกัน!’ ทำเอาคุณหนูใหญ่โมโหจนเกือบจะร้องไห้ออกมาทีเดียวเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้งอยู่เป็นนาน จึงถามว่า “แล้วจากนั้นเล่า?”
“จากนั้นฮูหยินเห็นว่าคุณหนูใหญ่ตาแดงไปหมดแล้ว …เดิมทีคุณหนูใหญ่ก็น่าสงสารมากอยู่แล้ว ฮูหยินก็เอ็นดูคุณหนูใหญ่มาแต่เดิม ย่อมไม่ยอมให้ฮูหยินน้อยสี่ทำให้คุณหนูใหญ่โกรธมากไปกว่านี้” หม่านโหลวสูดหายใจลึกๆ หนหนึ่ง กล่าวว่า “ผู้ใดจักคิดว่าเมื่อฮูหยินน้อยสี่ถูกฮูหยินต่อว่าไปสองสามคำ …ซึ่งข้าน้อยก็ฟังอยู่ข้างๆ ด้วย เมื่อเทียบกับกริยาของฮูหยินน้อยสี่แล้วคำเหล่านั้นไม่นับว่าหนักหนาเลยจริงๆ! ทว่าฮูหยินน้อยสี่กลับเหมือนกับถูกไฟเผาเช่นนั้น แทบจะกระโดดโหยงขึ้นมา แล้วร้องตะโกนไปว่า ‘ข้ารู้ว่าพวกเจ้าล้วนเป็นบุตรสาวตระกูลสูงศักดิ์ สูงส่งยิ่งนัก! ข้าเป็นแค่บุตรสาวตระกูลใหญ่ที่แต่งเข้ามา อย่างไรพวกเจ้าก็ล้วนดูแคลนข้า นี่ยังไม่ทันครบเดือนเลย ก็หาวิธีมารังแกข้าต่างๆ นานาเสียแล้ว’ จากนั้นก็ร้องไห้เสียงดัง…แล้วบอกว่าจะกลับไปเก็บของที่จวนเซียงหนิงปั๋วแล้วกลับบ้านฝั่งมารดาไป ไม่อยู่ให้ฮูหยินของเราและคุณหนูใหญ่ขัดหูขัดตา!”
“…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเหม่อไปพักใหญ่ กุมขมับบอกว่า “น้องสะใภ้สี่ผู้นี้…” สักพักเมื่อนางเข้าไปแล้วควรพูดสิ่งใดบ้างถึงจะดี?
หากบอกว่าเผยเหม่ยเหนียงเพียงเลอะเลือนไปชั่วขณะ แต่วันนี้น้องสะใภ้ผู้นี้ทำเอาฮูหยินซูโกรธจนถึงเพียงนี้ ฮูหยินซูย่อมไม่อยากฟังแน่! ทว่าหากจะบอกว่า น้องสะใภ้ผู้นี้ไม่ดีงาม …น้องสะใภ้ที่ไม่ดีงามเช่นนี้ ก็มิใช่เป็นฮูหยินซูเองที่เลือกมาให้หลานชาย! หากพูดไปดังนี้ก็มิใช่เท่ากับเป็นการบอกว่าฮูหยินซูจงใจเลือกภรรยาไม่ดีให้หลานชายหรอกหรือ?
เว่ยฉางอิ๋งสับสนวุ่นวายในใจไปหมด คิดว่าน้องสะใภ้ผู้นี้…ดันเป็นเพราะวันนี้ตนเองไปส่งท่านลุงเจียงไปรักษาตัวที่คฤหาสน์ของจี้ชวี่ปิ้ง จึงกลับมาไม่ทันช่วงที่ พี่สะใภ้ทั้งสองอยู่ด้วย เมื่อปลอบไปพร้อมกับพวกพี่สะใภ้ก็จะสามารถดำน้ำไปด้วยได้ ยามนี้มีเพียงตนเองคนเดียวแล้วจะพูดเรื่องนี้เยี่ยงใดดี?
แต่ตอนนี้ตนก็มาแล้วและไม่อาจไม่เข้าไปได้ อย่างไรเสียวันนี้ฮูหยินซูก็ถูกหลานสะใภ้ทำให้โกรธเพียงนี้แล้ว เมื่อตนเป็นสะใภ้แล้วจะไม่เข้าไปปลุกปลอบสักหน่อยได้หรือ?
นางเค้นสมองขบคิดคำพูดที่ควรจะไปพูดต่อหน้าแม่สามีเสียจนปวดหัวไปหมด แล้วได้ยินหม่านโหลวพูดต่ออีกว่า “หลังฮูหยินน้อยสี่กลับไปไม่นาน ก็พาคุณชายสี่ที่หยุดพักวันนี้มาด้วยเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋ง “…”
“คุณชายสี่มาพบฮูหยิน ก็บอกว่าขอให้ฮูหยินให้อภัยฮูหยินน้อยสี่ด้วยเจ้าค่ะ” หม่านโหลวหายใจหอบขึ้นมา เห็นชัดว่าจนถึงเวลานี้ก็ยังคงโกรธอยู่ไม่น้อย “เดิมทีฮูหยินและคุณหนูใหญ่ก็กำลังปลอบซึ่งกันและกัน เมื่อเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ยังนึกว่าระหว่างทางกลับไป ฮูหยินน้อยสี่ก็คิดจนเข้าใจแล้ว ทั้งยังกลัวว่าภายหลังจะบอกกล่าวกับผู้อื่นได้ลำบาก จึงได้เชิญคุณชายมาขอขมาด้วยกันเสีย”
“ผู้จักคิดว่า คำที่คุณชายสี่พูดในเวลาต่อมาจึงทำให้ฮูหยินและคุณหนูใหญ่ได้เข้าใจว่า ที่แท้แล้ว เมื่อฮูหยินน้อยสี่กลับไปก็บอกกับคุณชายสี่ว่า …ฮูหยินและคุณหนูใหญ่ทะนงตนว่ามีชาติกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ ดูแคลนว่านางเป็นเพียงบุตรสาวตระกูลใหญ่ ดังนั้นยังแต่งงานไม่ทันครบเดือนก็เรียกนางมาต่อว่าแล้ว …สรุปแล้วก็คือบอกว่าฮูหยินและคุณหนูใหญ่รุมรังแกนางเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งหันไปมองนางหวงอย่างสิ้นหวัง …ในเวลาเช่นนี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ในแนวโน้มเช่นนี้ จึงทำได้เพียงแต่หวังว่านางหวงจะช่วงนางออกความคิด ว่าวันนี้จะปลอบแม่สามีผู้น่าสงสารของตนอย่างไร…
ในพริบตานั้นเอง เว่ยฉางอิ๋งพลันเข้าใจขึ้นมาว่า สิ่งที่ฮูหยินและเสิ่นจั้งจูได้ประสบมาในวันนี้ เมื่อเทียบกับสิ่งที่เผยเหม่ยเหนียงทำกับพวกตนสะใภ้ทั้งสามคนในวันยกน้ำชานั้นแล้ว ด้วยใจจริงของนาง คงเพราะเห็นแก่ที่เป็นการพบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก ครั้งนั้นนางจึงปราณีพวกตนมากแล้ว…
______________________________