ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 125 ซูอวี๋ลี่
ตอนที่ 125 ซูอวี๋ลี่
Xiaobei
เว่ยเจิ้งอินโยนผ้าไปไว้ในอ่างทองคำที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เพราะนางกำลังมีอารมณ์ชิงชัง จึงออกแรงมากไปหน่อย จนทำให้น้ำกระเด็นสูงขึ้นมาถูกเสื้อผ้าของทั้งนางสือและตนเองเปียกไปหมด
นางสือรีบเปิดหีบหาเสื้อผ้าใหม่จะผลัดเปลี่ยนให้นาง เว่ยเจิ้งอินเอ่ยอย่างอดรนทนไม่ไหวว่า “ดีชั่วนี่ก็เป็นฤดูร้อน แค่รอยน้ำเล็กๆ ประเดี๋ยวก็แห้งแล้ว” แล้วบอกให้นางไม่ต้องวุ่นวาย แต่ไปเตรียมน้ำชามาให้หลานสาวก่อน
เว่ยฉางอิ๋งจะมีแก่ใจไปสนเรื่องน้ำชาอันใดได้ รีบเอ่ยว่า “ท่านอาอย่าเพิ่งให้แม่นมสือต้องยุ่งยากเลยเจ้าค่ะ นี่ท่านเกิดเรื่องใดเจ้าคะ? ดีๆ อยู่ เหตุใดจึง…?”
“ก็มิใช่เพราะนางเฉียน นังหญิงชั่วนั่น!” เห็นชัดว่า เว่ยเจิ้งอินโกรธเคืองไม่เบา และไม่สนใจว่าบุตรสาวและหลานสาวล้วนอยู่ตรงหน้า พออ้าปากก็ด่าพี่สะใภ้ใหญ่ในทันใด “เพื่อไม่ให้บุตรสาวของนางออกเรือนล่าช้า กลับผลักไสอวี๋ลี่ให้ไปตายในความโสมม! นึกว่าแอบอ้างชื่อข้าไปตกลงกับตระกูลกู้เสียดิบดีแล้ว ข้าจะไม่มีปัญญารึ? ดีชั่วอย่างไรกู้หน่ายเจิ้งก็ไม่ต้องรีบไปชายแดน!”
แล้วหันไปพูดกับหลานสาวว่า “เจ้ามาได้จังหวะพอดี ได้ยินว่าเจ้ากับตวนมู่ซินเหมี่ยวสนิทสนมกันไม่เลว? ช่วยไปขอยาจำพวกผงไร้เยียวยามหาให้อาได้หรือไม่ ครานี้ถ้าอาไม่ล้มป่วยสักเดือนสองเดือนก็ต้อง…”
“ท่านแม่!” ซูอวี๋ลี่อดทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงกล่าวไปอย่างอ้อมค้อมว่า “เวลานี้กำหนดงานก็เปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว ท่านทำเช่นนี้…”
“เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล” เว่ยเจิ้งอินยิ้มหยันพลางว่า “เปลี่ยนกำหนดการแล้ว แต่หากว่าข้าป่วยหนัก หากเจ้าอยากออกเรือนให้ช้าหน่อยเพื่อจะได้อยู่คอยปรนนิบัติข้าด้วยความกตัญญู แล้วผู้ใดจะบอกว่า ‘ไม่’ ได้? นางเฉียนนังหญิงชั่ว ดูซิว่านางมีจะปัญญาให้อวี๋หลีเร่งออกเรือนก่อนหน้าเจ้าหรือไม่! ตัวเองอดรนทนไม่ไหวจะส่งลูกสาวแต่งออกไป ถึงกลับกล้าใช้บุตรสาวข้าเป็นหินรองเท้าให้นาง!”
…เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังถึงตรงนี้ ที่สุดก็เข้าใจแล้ว ก่อนหน้านี้ ฮูหยินซูแม่สามีของนางบอกว่าเป็นเพราะกู้อี้หรานและเฉียนเลี่ยนซึ่งต้องไปประจำการที่ชายแดนล้วนมีกำหนดแต่งงานในปีนี้ ดังนั้นบรรดาญาติผู้ใหญ่จึงเข้าไปทูลขอร้องฮ่องเต้ และสามารถอยู่แต่งงานให้เสร็จแล้วจึงค่อยไปได้ แต่กู้อี้หรานนั้นยังดีที่มีกำหนดแต่งงานในอีกเพียงสองเดือน แต่เฉียนเลี่ยนกลับเป็นสิ้นปีนี้ ราชโองการของฮ่องเต้ย่อมไม่ยอมให้เขารั้งรอจนถึงเวลานั้น จึงต้องเลื่อนกำหนดแต่งงานเข้ามา
แต่ซูอวี๋หลีซึ่งเป็นคู่หมั้นของเฉียนเลี่ยนก็เป็นคุณหนูรองของตระกูลซู ซูอวี๋ลี่ซึ่งเป็นคุณหนูใหญ่ยังไม่ทันออกเรือน ว่ากันตามหลักแล้วเวลานี้คุณหนูรองจึงไม่เหมาะจะแต่งงาน ดังนั้นเมื่อเฉียนเลี่ยนต้องการแต่งภรรยาเข้าบ้านให้เร็วๆ เพียงจะได้ทำตามราชโองการ ก็ต้องให้ซูอวี๋ลี่แต่งงานไปก่อนจึงจะได้ ขากลับมาจากส่งเสิ่นจั้งเฟิงออกเดินทาง ฮูหยินซูบอกนางอย่างคราวๆ ว่ามีการเปลี่ยนกำหนดแต่งงานแล้ว เว่ยฉางอิ๋งยังนึกว่าสองสามตระกูลล้วนหารือกันดีแล้ว แต่เมื่อได้ยินเว่ยเจิ้งอินพูดในเวลานี้ กลับเป็นนางเฉียนกลัวว่าจะทำให้กำหนดแต่งงานของบุตรสาวนางล่าช้า จึงอ้างชื่อของเว่ยเจิ้งอินไปหารือกับตระกูลกู้เพื่อให้ซูอวี๋ลี่แต่งงานเร็วขึ้น!
เมื่อเป็นฝ่ายหญิงแล้วไปขอฝ่ายชายให้รับนางเข้าบ้านเร็วขึ้น …แล้วเช่นนี้หลังเข้าบ้านไปจะให้ซูอวี๋ลี่เอาหน้าไปไว้ที่ใด?
ก็มิน่าเล่า เว่ยเจิ้งอินจึงได้โมโหจนเป็นเช่นนี้!
เว่ยฉางอิ๋งฟังแล้วก็รู้สึกไม่พอใจเช่นกัน กล่าวว่า “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ เหตุใดจึงทำเช่นนี้ได้? คิดถึงแต่ลูกผู้หญิงพี่รอง แต่กลับไม่คิดถึงลูกผู้พี่หญิงใหญ่บ้างหรือ?”
เว่ยเจิ้งอินยิ้มหยัน กล่าวว่า “คนบ้านกู้มาหา เมื่อข้ารู้แล้วจึงไปสอบถามเอากับนาง นางกลับยังทำเป็นมีเหตุผลยิ่งนัก บอกว่ารู้ว่าข้าเป็นคนเพียบพร้อมดีงาม ย่อมทนไม่ได้ที่จะให้กำหนดออกเรือนของอวี๋หลีต้องล่าช้า แล้วคิดว่าข้าเป็นมารดาของอวี๋ลี่ หากส่งคนไปบ้านกู้ขอให้พวกเขาเลื่อนกำหนดแต่งงานเข้ามาก็จะไม่เหมาะ ดังนั้นนางจึงไปพูดแทนข้าเสียเลย …ทำประหนึ่งว่านางทำร้ายบุตรสาวข้า แล้วข้ายังต้องขอบคุณนาง? นังเสือแก่หน้าไม่อายคนนี้! ชาติก่อนตนเองทำเวรทำกรรมไว้จนทำให้บุตรชายแท้ๆ ต้องมาตายจาก ทั้งเกือบทำร้ายลูกสะใภ้ดีๆ จนตายไปอีก! ยามนี้ถึงขั้นมาจัดการกับบุตรสาวข้ารึ? จะให้ข้ายอมให้บุตรสาวของนางได้ออกเรือนตามกำหนด ก็เว้นเสียแต่ว่าข้า…”
ซูอวี๋ลี่รีบขัดคำก่อนนางจะเอ่ยคำสาบานและสาปแช่ง แล้วปรามไปว่า “ท่านแม่ ลูกรู้ว่าท่านแม่รู้สึกกล้ำกลืนเพราะลูก เพียงแต่ในเวลานี้เรื่องก็เป็นดังนี้แล้ว หรือยังสามารถส่งคนไปบอกบ้านกู้ว่าให้เลื่อนกำหนดวันออกไปได้อีก? ยิ่งไปกว่านั้นที่แท้แล้วเรื่องนี้มีความเป็นมาเช่นไร ไม่เพียงแค่ทุกคนในบ้านเราที่ล้วนมองเห็นอยู่ในสายตา ตระกูลกู้เองก็มิใช่ว่าไม่รู้! ท่านป้าใหญ่นางก็เป็นคนเยี่ยงนี้ ก่อนหน้านี้ ครั้งลูกผู้พี่ชายรองเสียไป แล้วพี่สะใภ้รองบ้านท่านลุงก็ถูกนางบีบคั้นจนเกือบต้องเอาหัวโขกโลงศพฆ่าตัวตาย คนทั่วเมืองหลวงก็ล้วนรู้นิสัยของนางแล้ว ตระกูลกู้จะนึกว่าท่านแม่ขอให้นางมาได้อย่างไร?”
เว่ยเจิ้งอินเอ่ยอย่างโมโหว่า “เจ้าไม่ต้องมาช่วยพูดให้พวกบ้านใหญ่เลย! ข้ารู้ว่าเจ้ารักใคร่กับอวี๋หลีนัก กลัวว่านางจะลำบากเมื่อต้องอยู่ตรงกลางระหว่างเรื่องนี้! และข้าก็รู้ดีว่ารู้ว่าอวี๋หลีไม่เหมือนนางเฉียน! แต่ถือดีอันใดที่มารดาของนางจะมาทำร้ายบุตรสาวของข้า ทั้งที่ข้ารู้อยู่เต็มอก แต่ก็ยังต้องยอมให้นางทำร้ายเจ้ารึ? นางเฉียนกล้าทำให้บุตรสาวข้าดูไม่งาม บุตรสาวของนางก็อย่างหวังว่าจะดีงามไปได้! เรื่องใหญ่ชั่วชีวิตเช่นนี้ หากมิใช่ว่าท่านปู่และท่านย่าเจ้ายังอยู่ คราวก่อนข้าก็จะไปสู้ตายกับนางที่บ้านใหญ่แล้ว!”
“ท่านอา ท่านโปรดระงับโทสะก่อน” เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าเว่ยเจิ้งอินร้อนใจหนักจนหน้าแดงไปหมด เส้นเลือดสีเขียวที่หน้าผากก็บูดออกมาแล้ว รู้ว่าเวลานี้เว่ยเจิ้งอินร้อนใจดังไฟยากดับได้ จึงรีบเข้าไปปราม “เรื่องที่ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ทำนี้ไร้คุณธรรมจริงดังว่า ทว่ายามนี้นางก็ทำลงไปแล้ว พวกเรามาหารือกันว่าจะช่วยกู้หน้าตาของลูกผู้พี่หญิงกลับมาได้อย่างไรดีกว่าหรือไม่เจ้าค่ะ?”
เว่ยเจิ้งอินเอ่ยด้วยความโกรธแค้นว่า “หากสามารถกู้หน้ากลับคืนมาได้ แล้วข้าจะต้องมาโมโหอยู่เช่นนี้อีกรึ?” เพราะตอนนี้ในห้องก็ไม่มีคนอื่นอยู่ นางจึงเล่าว่า “นางเฉียนเข้าไปบอกว่าเป็นเพราะข้าไม่อยากทำให้อวี๋หลีออกเรือนล่าช้า จึงอยากให้บ้านกู้เลื่อนวันแต่งอวี๋ลี่เข้าบ้านให้เร็วขึ้น หากครานี้ข้าไปบอกว่าข้าไม่ได้พูดเรื่องเช่นนี้ ประการแรก ยามนี้ตระกุลกู้ก็เริ่มเตรียมงานแล้ว หากเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาก็จะทำให้พวกเขาลำบาก เมื่ออวี๋ลี่แต่งเข้าบ้านไปแล้ว ก็มิใช่ว่าจะต้องถูกกล่าวโทษเช่นเดิม? ประการที่สอง ท่านปู่ท่านย่าของอวี๋ลี่ก็จะต้องมาโทษว่าข้าจงใจทำให้อวี๋หลีตกที่นั่งลำบาก …นังหญิงชั่วเฉียนนี่ มิน่าเล่าอวี๋เซี่ยนดีๆ อยู่แท้ๆ ก็ต้องมาป่วยตาย ถ้ามีมารดาที่ชอบก่อเวรกรรมเช่นนี้ ต่อให้มีชีวิตที่ร่ำรวยสูงส่งปานใดก็ยังไม่พอจะมาชดใช้เลย!”
ซูอวี๋ลี่ยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “แต่ท่านแม่ ท่านเคยคิดหรือไม่? ท่านมาแกล้งป่วยเช่นนี้ บางทีท่านย่าอาจไม่รู้ แต่ท่านปู่นั้น… ต่อให้ท่านปู่ยุ่งกับเรื่องในราชสำนักจนไม่ว่างมาสนใจท่านที่นี่ แล้วท่านป้าใหญ่จะไม่ไปบอกหรือ? เมื่อถึงยามนั้น ท่านปู่ต้องไม่ชอบใจเป็นแน่”
แล้วเสียงพลันต่ำลง “หากพลอยทำให้น้องชายห้าต้องลำบาก…”
เว่ยเจิ้งอินสะดุ้ง …แต่เมื่อคิดสักพักก็กลับส่ายหน้า กล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นนางเฉียนโกงเราก่อน หาใช่เรื่องที่พวกเราบ้านสามเป็นคนก่อ! พวกเราไม่ได้ไปหาเรื่องบ้านใหญ่ แต่บ้านใหญ่กลับคิดทำลายเจ้าจนตาย แล้วยังจะไม่ยอมให้ข้าเอาคืน? ท่านปู่ของพวกเจ้าหาใช่คนลำเอียงเพียงนั้น!”
แล้วว่า “ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ไปสร้างความชอบที่ชายแดนก็มีอวี๋อู่อยู่ในนั้นด้วย แต่กลับไม่มีอวี๋เหลียง พวกบ้านใหญ่พ่ายให้เราแล้วหนึ่งยก แต่ก็ยังคิดมาทำลายเจ้า ข้าแก้แคนกลับไปก็สมควรแล้ว!”
ซูอวี๋ลี่เอ่ยเสียงเบาว่า “ที่ครานี้ท่านป้าใหญ่ทำเช่นนี้ อาจเป็นเพราะเมื่อปีที่แล้วน้องชายสี่ไม่อาจช่วงชิงตำแหน่งมาได้ จึงเกิดความคับแค้นในใจ และมาลงมือเช่นนี้ แต่เรื่องที่นางคิดนี้จะปิดบังท่านปู่ได้ที่ใดเจ้าคะ? ท่านแม่ ท่านลองคิดดู หากท่านเป็นท่านปู่ ครานี้ท่านเอาคืนน้องหญิงรอง ท่านปู่พอจะเข้าใจได้ แต่หากท่านใจกว้างให้อภัย ไม่ไปโกรธเคืองน้องหญิงรองด้วยเรื่องของท่านป้าใหญ่ ท่านปู่จะ…”
“ตัดสินใจได้ในทันใด?”
คำพูดนี้ทำให้แม้แต่ตัวเว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังตื่นตะลึง และอดชื่นชมซูอวี๋ลี่ไม่ได้ … เพราะหากเอ่ยถึงเรื่องที่นางเฉียนทำการลับหลังบ้านสาม อ้างว่าได้รับการไหว้วานจากเว่ยเจิ้งอินให้ไปที่บ้านตระกูลกู้เพื่อขอให้แต่งซูอวี๋ลี่ให้เร็วขึ้น คนที่ต้องเสียหน้าเป็นที่สุดก็คือ ซูอวี๋ลี่แล้ว!
เป็นดังที่เว่ยเจิ้งอินเป็นกังวล ว่าเมื่อฝ่ายหญิงไปเร่งให้ฝ่ายชายแต่งบุตรสาวของตนเข้าบ้าน แล้วภายหลังบ้านสามีจะไม่ดูแคลนซูอวี๋ลี่เอาหรือ? เว่ยฉางอิ๋งเองออกเรือนมาแล้ว รู้ดีว่าการเป็นสะใภ้ยากกว่าการเป็นบุตรสาวเพียงใด ครั้งเป็นคุณหนูในบ้านตนเอง บิดามารดาและญาติผู้ใหญ่ที่อยู่เหนือขึ้นไปล้วนคอยปกป้องเอาใจ พวกพี่สะใภ้ล้วนไม่กล้ามาล่วงเกิน ต่อให้พลั้งเผลอทำเรื่องผิดพลาดที่ใด ทุกคนล้วนคอยช่วยเจ้าพูดเป็นเสียงเดียวกัน
ทว่าเมื่อมาเป็นสะใภ้แล้วก็ไม่เหมือนกัน การบ่อนทำลายกันระหว่างสะใภ้ นิสัยเล็กๆ น้อยๆ ของเหล่าพี่น้องของสามี การต่อสู้ทั้งในทางแจ้งและทางลับของพวกอนุ รวมทั้งทัศนะคติของผู้ใหญ่ …เรียกได้ว่าหากทำผิดเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่แน่ว่าอาจทำให้เกิดวิกฤตใหญ่ครั้งหนึ่งได้เลย
ด้วยเหตุนี้เอง ไม่ว่าอย่างไรเว่ยเจิ้งอินจึงรู้สึกกล้ำกลืนแทนบุตรสาวเป็นนักหนา!
ว่ากันตามหลักแล้ว แม้ซูอวี๋ลี่ซึ่งเป็นคนที่ถูกทำร้ายสาหัสที่สุดจะไม่ได้โมโหหนักจนหลุดปากด่าทอนางเฉียนเหมือนที่เว่ยเจิ้งอินเป็น แต่อย่างไรนางก็น่าจะชิงชังท่านป้าใหญ่ผู้นี้อยู่ในใจ ไม่คิดว่าซูอวี๋ลี่จะมีจิตใจกว้างขวางมองการณ์ไกลเช่นนี้ ทั้งยังกลับเป็นฝ่ายไปเตือนสติเว่ยเจิ้งอินเสียอีก
นางไม่ได้เอ่ยเตือนสติด้วยตัวเองเท่านั้น ซูอวี๋ลี่ยังหันไปบอกเว่ยฉางอิ๋งด้วยว่า “ลูกผู้น้องเจ้าก็มาช่วยข้าพูดกับท่านแม่ด้วยสิ ยามนี้ต้องเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่? น้องชายห้าก็ชนะน้องชายสี่มาแล้วยกหนึ่ง ต่อไปข้าต้องทนยอมกล้ำกลืนบ้าง ยิ่งทำให้เห็นว่าบ้านเรามีใจคอกว้างขวาง สามารถทนรับท่านป้าใหญ่ได้ เช่นนี้แล้วจะท่านย่าก็จะได้วางใจ …จะว่าไปแล้วท่านลุงเขยใหญ่กำหนดฐานะในตระกูลให้ลูกผู้พี่ชายสามบ้านเสิ่นไว้แต่เนิ่นๆ ก็เพื่อให้เขาได้เตรียมพร้อม ดังเช่นเรื่องที่ราชองครักษ์หน้าพระพักตร์ไปประจำชายแดน และท่านลุงเขยใหญ่ก็เป็นต้นคิดให้เข้าไปทูลเตือนฮ่องเต้ เมื่อเทียบกันแล้วน้องชายห้ายังห่างไกลกับลูกผู้พี่ชายสามบ้านเสิ่นหลายปี เวลานี้เรามีโอกาสพร้อมสรรพที่สามารถช่วยให้ท่านปู่ตัดสินใจได้ แล้วเหตุใดยังต้องถ่วงเวลาเอาไว้อีกเล่า?”
ผ่านไปเป็นนานเว่ยฉางอิ๋งก็ยังไม่ส่งเสียงใด อีกนานจากนั้นจึงเอ่ยว่า “ท่านอาหญิงรอง ท่านมีบุตรสาวแสนเฉลียวฉลาดและจิตใจกว้างขวางเช่นลูกผู้พี่ แล้วท่านยังมีสิ่งใดที่ต้องเป็นกังวลกับนางอีกเล่า? หากจะว่ากันเรื่องที่ยังไม่ทันแต่งเข้าบ้านก็ไม่เหลือหน้าตาใดๆ ผู้ใดจะเสียหน้าได้มากเท่าข้าเมื่อที่แล้วอีก? ท่านป้าในตระกูลอีกสายหนึ่งของข้าส่งผ้าขาวผืนยาวมาตรงหน้าข้า ด้วยไม่ต้องการให้ข้าทำให้ขนบธรรมเนียมของตระกูลเว่ยขุ่นมัว แต่ท่านเห็นหรือไม่ว่าทุกวันนี้ข้าก็ยังอยู่ดี? ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องฝั่งทางลูกผู้พี่หญิงนี้ ท่านป้าสะใภ้เฉียนก็เคยบีบคั้นสะใภ้ใหญ่จนเกือบตายมาก่อน ขอเพียงตระกูลกู้มีสักคนที่มีสติดี ก็จะไม่ถูกนางปิดหูปิดตาเอาได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ของลูกผู้พี่หญิงเลย หากเทียบกับข้าในเวลานั้นแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใดเลยจริงๆ เจ้าค่ะ”
เมื่อนางสือเห็นคุณหนูใหญ่และคุณหนูผู้น้องล้วนสนับสนุนให้ปล่อยนางเฉียนและซูอวี๋หลีไปเสีย นางเองก็เริ่มเสียงอ่อนลง “ฮูหยินเจ้าคะ ที่คุณหนูพูดก็มีเหตุผลนะเจ้าคะ ผู้ใดล้วนมองออกว่าเรื่องนี้เป็นฮูหยินใหญ่ทำไม่ถูกและคุณหนูใหญ่ของเราถูกท่านป้าวางแผนเล่นงาน ส่วนที่ฮูหยินท่านไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปความจริงก็มีเหตุผลอยู่ ทว่าแม้จะมีเหตุผลแต่ก็ยังยอมอดทนถอยให้ได้ ข้าน้อยคิดว่าด้วยนิสัยของท่านประมุขและฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ต้องไม่ให้บ้านสามของเราทนถูกรังแกในครั้งนี้ไปเปล่าๆ แน่นอนเจ้าค่ะ”
เว่ยเจิ้งอินหน้าตาเคร่งเครียดอยู่เป็นนาน จากนั้นจึงบอกว่า “ว่ามาดังนี้ พวกเจ้าล้วนสนับสนุนให้ปล่อยไปเช่นนี้รึ?”
ฟังน้ำเสียงออกว่านางยังคงรู้สึกไม่ยินยอมอยู่ ซูอวี๋ลี่ปรี่เข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าเข่านาง กล่าวว่า “ลูกทราบว่ายามนี้ไม่ว่าท่านแม่จะทำอย่างไรก็ล้วนทำเพื่อลูกทั้งนั้น เพียงแต่ท่านแม่โปรดคิดว่าต่อให้ลูกเป็นสตรีชั้นเลิศ มีฝีมือปักผ้าและความสามารถอื่นๆ ดีอีกสักเท่าใด แล้วจะอย่างไรเล่า? อย่างไรเสีย อนาคตของลูกผู้หญิงล้วนต้องขึ้นอยู่กับบิดาและพี่น้องผู้ชาย เมื่อบิดาและพี่ชายดีแล้ว บุตรสาวจึงจะดีได้ หากบิดาและพี่น้องผู้ชายถูกถ่วงให้เสียการแล้ว บุตรสาวจะดีไปที่ใดได้เล่า? อีกประการ ตระกูลกู้แห่งเมืองหลวงก็เป็นเพียงตระกูลใหญ่เท่านั้น แต่ลูกเป็นถึงบุตรสาวบ้านใหญ่แห่งตระกูลสูงศักดิ์ หลังแต่งเข้าบ้านแล้ว เมื่อยังมีตระกูลซูแห่งชิงโจวอยู่ ผู้ใดในตระกูลกู้จะกล้าไม่ต้อนรับลูก? หากน้องชายห้ามีอนาคตที่ดียิ่งขึ้นไปอีก เมื่อบรรดาญาติพี่น้องของสามีได้มาพบลูกย่อมต้องเกรงอกเกรงใจลูก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างสะใภ้ด้วยกันเลย ดังนั้นขอเพียงแค่ดูแลน้องชายห้าให้ดีๆ ท่านแม่ยังต้องกลัวว่าลูกจะถูกรังแกหรือเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจ กล่าวว่า “ข้าหลงนึกมาตลอดว่าลูกผู้พี่หญิงเป็นเพียงกุลสตรีที่เรียบร้อยอ่อนโยนผู้หนึ่ง วันนี้ได้รู้ว่าลูกผู้พี่หญิงมีจิตใจกว้างขวางดังขุนเขา มีความคิดอ่านลึกล้ำยาวไกล ไม่แพ้ใบหน้าที่งดงามเลย”
หลักการลึกซึ้งที่ซูอวี๋ลี่พูดออกมานั้น หากเป็นผู้อื่นเป็นคนพูดก็กลับไม่ได้แปลกอันใด แต่ยามนี้ คำพูดเหล่านี้เป็นนางซึ่งเป็นผู้ที่ถูกกระทำเป็นคนพูด ทำให้เห็นถึงจิตใจที่กว้างขวางและความคิดอ่านของนาง …เรื่องใหญ่ชั่วชีวิตไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย สำหรับเรื่องเช่นนี้แล้ว สตรีผู้ใดจะไม่คอยระวังแล้วระวังเล่า ระวังแล้วระวังอีก?
หากเป็นสตรีทั่วไป เกรงว่ายามนี้คงอยู่แต่ในห้องของตนเอง นอนซมอยู่บนตั่งร้องห่มร้องไห้เป็นเผาเต่า แอบด่าป้าใหญ่ พาลไปโกรธลูกผู้น้อง เฝ้ารอให้ผู้ใหญ่ไปทวงถามหาความยุติธรรมให้ตนแล้ว แม้จะบอกว่าเวลานี้เว่ยเจิ้งอินผู้เป็นมารดาเพียงแค่แกล้งป่วย แต่ตามความเห็นของเว่ยฉางอิ๋งแล้ว หากความเคืองโกรธในใจท่านอายังไม่สลายไป ก็คงจะต้องล้มป่วยจริงๆ แล้ว
แต่นอกจากซูอวี๋ลี่จะไม่หลบไปร้องไห้อยู่ภายในห้องและอาละวาดระบายความกล้ำกลืนแล้ว กลับกัน นางกลับเป็นฝ่ายเตือนสติมารดาให้มองส่วนรวมเป็นหลัก ส่วนตนเองก็ทนกล้ำกลืนรับเรื่องนี้เอาไว้เอง
ก่อนนี้ เว่ยฉางอิ๋งเป็นกังวลเสมอมาว่า ลูกผู้พี่ที่มองดูเป็นคนเงียบๆ เรียบร้อยผู้นี้แต่กลับต้องไปแต่งงานกับคนประหลาดที่แฝงอยู่ท่ามกลางบุตรหลานของตระกูลใหญ่เช่นกู้หน่ายเจิง หลังจากแต่งเข้าบ้านไปแล้ว ชีวิตนางจะเป็นเช่นใด ยามนี้เพิ่งได้รู้ว่าซูอวี๋ลี่เป็นคนที่ไม่อาจมองแต่เพียงภายนอก มิใช่คนที่สตรีมีตระกูลทั่วไปจะเทียบเทียมได้ ลำพังแค่จิตใจที่กว้างขวางเช่นนี้ ลำพังการยึดเอาส่วนรวมเป็นหลัก เว่ยฉางอิ๋งเชื่อว่าหลังจากลูกผู้พี่ผู้นี้ออกเรือนไปแล้ว จะต้องมีชีวิตที่ไม่เลวเลยเป็นแน่แท้
ฟังหลานสาวทอดถอนใจ แล้วไปมองดูบุตรสาวที่คุกเข่าเตือนสติตนอยู่ตรงหน้า เว่ยเจิ้งอินขมวดคิ้วแน่น ยังคงไม่อาจสงบใจลงได้
เวลานั้นเอง กลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ทั้งสี่คนภายในห้องพลันตกใจขึ้นมาพร้อมกัน ซูอวี๋ลี่รีบลุกขึ้น เว่ยเจิ้งอินรีบกลับลงไปนอนบนตั่ง หันหน้าเข้าข้างใน เว่ยฉางอิ๋งรีบพุ่งตัวไปที่ข้างอ่างน้ำ บิดผ้าแล้วส่งไปให้นางสือ นางสือรีบมาและนำไปวางไว้ที่หน้าผากของเว่ยเจิ้งอินอย่างรีบรน …แม้ทุกคนล้วนกำลังช่วยพูดปรามเว่ยเจิ้งอิน แต่ก็ไม่อาจให้คนภายนอกรู้ว่าเว่ยเจิ้งอินกำลังแกล้งป่วยอยู่ หาไม่แล้วหากถูกนางเฉียนจับได้ ด้วยนิสัยของคนเช่นนางก็ยังไม่รู้ว่าจะทำให้เกิดเรื่องราวใดขึ้นมาอีก!
เมื่อจัดแจงทุกอย่างด้วยความร้อนรนจนเรียบร้อยแล้ว ซูอวี๋ลี่ก็ตั้งสติ แล้วจึงร้องถามไปว่า “ผู้ใด? มีเรื่องใด!”
______________________________________