ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 138-1 องค์หญิงสามพระองค์
ตอนที่ 138-1 องค์หญิงสามพระองค์
Xiaobei
เดือนต่อมา หลังจากซูอวี๋ลี่ออกเรือนก็เป็นวันที่กู้อี้หรานสมรสกับพระธิดาเฉิงเสียน พระบิดาของพระธิดาเฉิงเสียนคือท่านอ๋องรุ่น
ความสัมพันธ์ของท่านอ๋องรุ่นและฮ่องเต้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง แม้มิใช่พี่น้องร่วมมารดาแต่พระมารดาของท่านอ๋องรุ่นมีชาติกำเนิดต่ำต้อย ไม่อาจเลี้ยงดูพระราชโอรสได้ ไทเฮาเติ้งจึงเป็นผู้เลี้ยงดูท่านอ๋องรุ่นมาจนเติบใหญ่ ครั้งไทเฮาเติ้งยังอยู่ ท่านอ๋องรุ่นก็ปรนนิบัติดูแลไทเฮาประหนึ่งมารดาแท้ๆ ทั้งท่านอ๋องรุ่น พระมารดาของท่านอ๋องรุ่นจึงยกย่องไทเฮาเติ้งว่าเพียบพร้อมดีงามนัก
ด้วยเหตุนี้เอง ฮ่องเต้จึงให้ความสำคัญกับการออกเรือนของหลานสาวแท้ๆ ผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง ในวันพิธีแต่งงานในวันนี้จึงทรงให้ข้าราชบริพาลข้างกายมาถวายพระพรในตำหนักท่านอ๋องเป็นการพิเศษ ทั้งยังมีการมอบของกำนัลเล็กน้อยพอเป็นพิธีด้วย ขนาดองค์ฮ่องเต้ยังทรงทำเช่นนี้ ทางวังหลังย่อมไม่ยอมน้อยหน้า นับตั้งแต่ฮองเฮากู้ไปจนถึงสนมเสี่ยวอี๋แซ่จงต่างพากันส่งคนที่ดูแลข้างกายมาที่ตำหนักของท่านอ๋องเพื่อมาร่วมงานด้วย
ตามหลักแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงและกู้อี้หรานสนิทสนมกันมาก งานแต่งครานี้ เว่ยฉางอิ๋งควรจะไปร่วมงานที่จวนกู้แทนสามี ทว่าเว่ยเยียนเหลียงพระชายาท่านอ๋องรุ่นกลับเป็นบุตรสาวคนโตของเว่ยอวี้เสนาบดีฝ่ายปกครองคนใหม่ ซึ่งนับว่าเป็นคนในสายรองของรุ่ยอวี้ถัง
เว่ยอวี้เป็นคนมีนิสัยตรงไปตรงมา จึงมักคอยท้วงติงฮ่องเต้ว่าอย่าเสียเวลาไปกับการเล่นสนุกจนทำให้เสียราชกิจ ทำให้ฮ่องเต้ไม่โปรดเขามาแต่ไร ดังนั้นแม้จะเป็นที่รู้กันว่าเขาเป็นผู้ที่จัดการงานราชการได้อย่างเก่งกาจเหนือผู้ใด ทั้งยังมีชาติกำเนิดในตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว ทว่ากลับไม่เคยอยู่ในรายชื่อของขุนนางขั้นหนึ่งมาแต่ไร เหตุที่ครานี้สามารถรับตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายปกครอง ก็ด้วยได้เว่ยฮ่วนประมุขตระกูลเว่ยช่วยออกแรงให้อย่างมาก ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นความลับอันใด เว่ยอวี้เป็นคนตรงไปตรงมา เขาจึงเพียงเขียนจดหมายไปขอบคุณเว่ยฮ่วนพอเป็นพิธีสำหรับเรื่องน่ายินดีที่เกินคาดเรื่องนี้ หลานสาวแท้ๆ เพียงคนเดียวจากภรรยาเอกของเว่ยฮ่วนแต่งงานมาอยู่ที่เมืองหลวง เขาก็เพียงแค่ส่งของกำนัลเล็กๆ ธรรมดาๆ มามอบให้ตามธรรมเนียมของคนร่วมตระกูลเท่านั้น
ทว่า แม้เว่ยอวี้จะไม่ได้ใส่ใจ แต่พระชายาท่านอ๋องรุ่นกลับรู้สึกซาบซึ่งในน้ำใจของเว่ยฮ่วนยิ่งนัก ทว่าก็ติดที่ตระกูลเสิ่นล้วนเป็นฝ่ายทหาร เสิ่นเซวียนและเสิ่นโจ้วล้วนนับว่าเป็นขุนนางคนสำคัญของแคว้น หากไม่มีเหตุผลที่สมควรแล้วก็ไม่กล้าไปมาหาสู่อย่างใกล้ชิดนัก เพื่อมิให้จวนท่านอ๋องรุ่นถูกระแวงสงสัย
งานแต่งบุตรสาวออกครานี้ พระชายาท่านอ๋องรุ่นคิดว่าสามารถเชิญหลานสาวร่วมตระกูลมาพบปะเจอะเจอกันที่จวนได้อย่างสมเหตุสมผล ดังนั้นจึงส่งแม่นมข้างกายไปส่งเทียบเชิญที่จวนราชครูด้วยตนเอง …และด้วยเหตุที่เว่ยฉางอิ๋งเป็นสะใภ้อันดับที่สามในบ้านเสิ่น พระชายาท่านอ๋องรุ่นจึงได้เชิญคนทั้งบ้านเสิ่นมาร่วมงานด้วยเสียเลย
แต่ตระกูลเสิ่นเองก็ได้รับเทียบเชิญจากทางตระกูลกู้มาด้วยเช่นกัน นั่นเพราะท่านย่าของกู้อี้หรานแซ่เสิ่น …แม้ท่านย่าของเขาจะเสียไปแล้ว ทว่าครั้งยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นท่านอาแท้ที่เกิดจากอนุของบิดาของเสิ่นเซวียนและเสิ่นโจ้ว
ฉะนั้น ฮูหยินซูจึงหารือกับบรรดาสะใภ้และตัดสินใจว่าจะแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม ให้นางหลิวไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนท่านอ๋องรุ่นกับเว่ยฉางอิ๋ง ส่วนตนเองก็จะไปอวยพรที่ตระกูลกู้โดยมีสะใภ้รองตวนมู่เยี่ยนอวี่ติดตามไป
วันนี้ นางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งไปส่งฮูหยินซูและตวนมู่เยี่ยนอวี่ขึ้นรถก่อน แล้วค่อยขึ้นรถม้าของตนไปตามลำดับและออกเดินทาง
เมื่อมาถึงจวน ท่านอ๋องรุ่น แม้ด้วยทั้งฐานะและลำดับรุ่นของพระชายาท่านอ๋องรุ่นจึงไม่ได้ออกมารับด้วยตนเอง ทว่าก็ส่งสะใภ้มาต้อนรับ นางโจวผู้เป็นบุตรสะใภ้เป็นบุตรสาวของตระกูลโจวแห่งซีหลิน นางมีรูปโฉมธรรมดาทว่ากลับมีดวงดาที่มีเมตตานัก เพราะพี่สะใภ้ใหญ่อยู่ด้วย เว่ยฉางอิ๋งเดินช้าๆ ล้าหลังครึ่งก้าว ให้นางหลิวออกหน้าไปทักทายปราศรัยกับนางโจว และตนเองก็เพียงยิ้มจางๆ ตอบรับไปเท่านั้น
เป็นดังนี้ไปจนเข้าไปในเรือนในชั้นหลังและไปคราวะพระมารดาท่านอ๋องรุ่นและพระชายาท่านอ๋องรุ่น เพิ่งจะนำของกำนัลมามอบให้พวกนางก็ถูกเรียกให้ลุกขึ้นแล้ว …ความจริงแล้วครั้งงานวันประสูติของ องค์หญิงหลินชวนคราก่อน เว่ยฉางอิ๋งก็พบกับพระมารดาท่านอ๋องรุ่นแล้ว เพียงแต่ครั้งนั้นพระชายาท่านอ๋องรุ่นกลับไม่ได้ไปด้วย นึกย้อนกลับไปคล้ายว่านางจะขอลาป่วย?
เมื่อสังเกตดูในยามนี้ นางสมกับเป็นบุตรสาวตระกูลเว่ยโดยแท้ เค้าหน้าของพระชายาท่านอ๋องรุ่นคล้ายกับ เว่ยเจิ้งอิน แม้จะพอมีอายุแล้ว แต่ความงามก็ยังคงอยู่ วันนี้นางแต่งกายหรูหราเต็มยศ ยิ่งทำให้ดูงดงามและสูงส่งนัก
เมื่อพบปะกันเสร็จแล้ว นางหลิวจึงไปขอขมาแทนฮูหยินซู บอกว่าเพราะทางตระกูลกู้ก็ส่งเทียบมาเชิญเช่นกัน ฮูหยินซูจึงต้องพาสะใภ้รองไปที่จวนกู้ ส่วนทางนี้จึงมีแต่ตนมากับน้องสะใภ้สาม เป้าหมายหลักที่พระชายาท่านอ๋องรุ่นส่งเทียบไปก็คือ เว่ยฉางอิ๋ง ยามนี้คนที่นางต้องการพบจริงๆ ก็มาแล้ว ย่อมมิได้ไปไล่เรียงเอาความอันใด จึงบอกว่านางเข้าใจด้วยท่าทีเกรงใจยิ่ง
จากนั้นก็หันไปสนทนากับ เว่ยฉางอิ๋งด้วยท่าทีกระตือรือร้นนัก “พอจากกัน ก็จากกันหลายปี ไม่คิดว่าเมื่อพวกเราอาหลานได้มาพบกันอีกหน เจ้าก็ออกเรือนเป็นฮูหยินแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งเดาเอาจากคำพูดนี้ว่าพวกนางคงเคยได้พบกันตั้งแต่ตนเองยังอยู่ในผ้าอ้อม กำลังจะตอบคำ ข้างนอกกลับมีคนเข้ามารายงานว่า องค์หญิงหลินชวน องค์หญิงอันจี๋และ องค์หญิงชิงซินสามพระองค์มาร่วมอวยพรพร้อมกัน
กิ่งทองใบหยกทั้งสามพระองค์มาร่วมอวยพรด้วยกัน แม้จะเป็นตำหนักอ๋อง แต่ก็ไม่กล้าจะชักช้า …พระชายาท่านอ๋องรุ่นย่อมไม่มีเวลามาคุยกับเว่ยฉางอิ๋งอีก นอกจากพระมารดาท่านอ๋องรุ่นแล้ว ทุกคนล้วนรีบออกไปต้อนรับองค์หญิงทั้งสามพระองค์
ส่วนทางองค์หญิงหลินชวนทั้งสามพระองค์ก็หาได้มีท่าทีว่าจะรออยู่ที่หน้าประตูจวนให้คนออกมารับเสียก่อนจึงค่อยเข้าไป ทั้งสองฝ่ายจึงได้มาพบกันระหว่างทาง ทักทายกันและนำเข้าสู่โถงในเรือนชั้นหลัง วันนี้องค์หญิงทั้งสามพระองค์ล้วนสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสและเครื่องประดับหยกงดงาม ท่ามกลาง งค์หญิงทั้งสามเห็นชัดว่าเครื่องประดับขององค์หญิงอันจี๋นั้นน้อยกว่าองค์หญิงหลินชวนและองค์หญิงชิงซิน แต่เว่ยฉางอิ๋งเคยพบองค์หญิงพระองค์นี้มาสามครั้ง ก็มีเพียงครั้งนี้ที่นางสาวสวมเสื้อผ้าที่เป็นของใหม่
เว่ยฉางอิ๋งอดคิดไม่ได้ว่า แม้แต่พวกของจูหลานและจูสือสาวใช้ตัวน้อยของตนโดยทั่วไปแล้วก็จะไม่สวมเสื้อผ้าเก่าๆ เพราะตนเองจะตัดเสื้อผ้าใหม่จำนวนมากทุกๆ ปี เสื้อผ้าที่นางสวมมาแล้วฤดูกาลหนึ่งและไม่ต้องการแล้ว… ล้วนกำนัลให้แก่พวกนาง องค์หญิงอันจี๋เป็นถึงองค์หญิง แต่กลับมีโอกาสได้ตัดเย็บเสื้อผ้าใหม่ทั้งตัวในวันที่ออกนอกวังมาอวยพรแก่ลูกผู้พี่ ก็เป็นเรื่องที่น่าสงสารนัก
ซึ่งแน่นอนว่าความสงสารนี้จะต้องไม่ให้องค์หญิงพบเห็นได้ ความจริงแล้ว ต่อให้ไม่ใช่มีเพียงเว่ยฉางอิ๋งคนเดียวที่สังเกตเห็นว่าวันนี้องค์หญิงอันจี๋ได้สวมเสื้อผ้าที่เป็นของใหม่ แต่องค์หญิงอันจี๋เองกลับไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือไม่เสียใจอันใด นางเดินตามพี่น้องเข้ามาคารวะพระมารดาท่านอ๋องรุ่นและพระชายาท่านอ๋องรุ่นด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย และพอดีมารับการคำนับจากสะใภ้ท่านอ๋องรุ่น นางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งที่ออกมาต้อนรับพร้อมกันด้วย ท่ามกลางกริยาที่สงบนั้นมีรอยยิ้มอยู่น้อยๆ มองไม่ออกแม้แต่น้อยว่านางจะมีท่าทีอัปยศอดสูหรือไม่ยอมใจที่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากกว่าพี่น้องคนอื่นทั้งที่ก็เป็นองค์หญิงและมีชะตาเช่นเดียวกัน หากแต่มีท่าทีใจกว้างเรียบเฉยและเป็นธรรมชาติยิ่ง
ด้วยฐานะพี่ใหญ่ในบรรดาองค์หญิงทั้งสามพระองค์ ครานี้องค์หญิงหลินชวนจึงเป็นตัวแทนทุกพระองค์กล่าวทักทายกับคนในจวนท่านอ๋องรุ่น แต่คงเป็นเพราะยามอยู่ในวังองค์หญิงหลินชวนถูกองค์หญิงอันจี๋ซึ่งเป็นน้องรังแกจนกลัวเสียแล้ว ยามมีองค์หญิงอันจี๋อยู่ข้างๆ นางจึงมีท่าทีไม่เป็นธรรมชาตินัก อีกทั้งสภาพน่าอนาถของนางเมื่อคราก่อนก็ยังถูกเว่ยฉางอิ๋งพบเห็นด้วย จึงทำให้เวลานี้นางดูไม่สง่าราศีเหมือนครั้งอยู่ในงานวันประสูติ กระทั่งออกจะล่องลอยเสียด้วยซ้ำ
ยังไม่ทันพูดถึงสองประโยค องค์หญิงหลินชวนก็บอกว่า “พวกเราไปดูลูกผู้พี่หญิงกันเถิด”
พระมารดาท่านอ๋องรุ่นและพระชายาท่านอ๋องรุ่นต่างก็รู้เรื่องความขัดแย้งระหว่างองค์หญิงหลินชวนและองค์หญิงอันจี๋ เมื่อเห็นว่าพวกนางทั้งสามคนมาพร้อมกันก็ออกจะปวดหัวเสียจริงๆ หวั่นใจว่าหากองค์หญิงหลินชวนและองค์หญิงอันจี๋เดินไปด้วยกัน แล้วเกิดวิวาทกันขึ้นมาในวันมงคลของพระธิดาเฉิงเสียน ทว่าหากจะบอกให้พวกนางแยกกันเดินก็เป็นการไม่สมควร พวกนางจึงตอบรับไปด้วยรอยยิ้มแสนแข็งขืน และให้สะใภ้พาพวกนางไป
เพราะอย่างไรเสียนางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งก็มาเป็นแขก จึงคอยถวายคำนับตามไปด้วยและไม่ได้เอ่ยคำใด ถึงตรงนี้นึกว่าบรรดาองค์หญิงจะไปแล้ว จึงได้มาสนทนากับพระมารดาท่านอ๋องรุ่นและพระชายาท่านอ๋องรุ่นต่อ
ไม่คิดว่าขณะที่องค์หญิงทั้งสามกำลังจะก้าวไป องค์หญิงชิงซินพลันใช้คางชี้ไปทางเว่ยฉางอิ๋งแล้วกล่าวว่า “เจ้าตามข้ามา อีกประเดี๋ยวข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”
———————————————-