ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 144-2 ขะ…เข้าวังขอพระราชทานอภัยอีกแล้ว??!
ตอนที่ 144-2 ขะ…เข้าวังขอพระราชทานอภัยอีกแล้ว??!
Xiaobei
เสิ่นจวี้รู้ว่าท่านอารองที่เอ่ยถึงนี้ก็คือเว่ยเซิ่งอี๋ ในเวลาที่เขาและคนขับรถม้าทานข้าวก็จะอยู่แยกกับแขกในงาน จึงยังไม่รู้ว่าในงานเลี้ยงเกิดเรื่องใดขึ้น ทว่าก็ไม่ได้ถามให้มากความ เมื่อรับคำสั่งแล้วก็ไปทำในทันใด
เมื่อเกลับมาถึงจวนราชครู กลุ่มของฮูหยินซูมาถึงบ้านก่อนแล้ว กำลังดื่มชาให้ช่วยบรรเทาฤทธิ์สุรา สนทนาหัวร่อต่อกระซิกรอสะใภ้ใหญ่และสะใภ้สาม เห็นชัดว่ากลุ่มที่ไปทางบ้านกู้นั้นราบรื่นเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นนางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งเข้ามาทั้งใบหน้ากลัดกลุ้ม ฮูหยินซูพลันตกตะลึง รีบวางถ้วยชา แล้วถามว่า “เป็นอย่างไร งานแต่งทางจวนท่านอ๋องรุ่นไม่ดีรึ? ไยพวกเจ้าจึงดูไม่ใคร่สดชื่นนัก?”
เว่ยฉางอิ๋งมองนางหลิว นางหลิวยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “เรียนท่านแม่ งานแต่งที่จวนท่านอ๋องรุ่นย่อมต้องดีเจ้าค่ะ พระชายาตั้งใจเชิญพวกเราไปที่จวนเป็นการพิเศษ และดูแลอย่างเอาใจใส่ ทั้งยังมีสะใภ้ท่านอ๋องรุ่นมาต้อนรับทั้งหน้าและหลังเจ้าค่ะ ตอนกลับพระชายายังมามอบของกำนัลให้ด้วยตนเองด้วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูฟังออกว่ามีเรื่องผิดปกติ พลันเอ่ยอย่างสงสัยว่า “พระชายามอบของกำนัลใดให้เด็กรุ่นหลังเช่นพวกเจ้าทั้งสอง? เกิดเรื่องใดขึ้น?”
“เรื่องนี้…” นางหลิวมองไปทาง เว่ยฉางอิ๋งด้วยท่าทีน้ำท่วมปาก
เว่ยฉางอิ๋งพลันตาแดงก่ำขึ้นมา กล่าวว่า “ท่านแม่ พี่สะใภ้ใหญ่ช่วยรักษาหน้าให้ข้าเจ้าค่ะ! แต่วันนี้กลับเกือบไม่มีหน้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินซูตื่นตกใจ กล่าวว่า “เหตุใดคำพูดเช่นนี้ก็ยังพูดออกมาได้?” แล้วบอกให้นางพูดให้ละเอียด
เว่ยฉางอิ๋งเล่าเรื่องทั้งหมดโดยคร่าวๆ บอกว่านางถูกเว่ยฉางเจวียนมาหาเรื่องอีกแล้ว… ฮูหยินซูโมโหเสียจนตบโต๊ะไปดังๆ หนหนึ่ง เอ่ยด้วยโทสะว่า “นางตวนมู่นี่หมายความว่าอย่างไร? สะใภ้บ้านเสิ่นของข้าให้เจ้ารังแกได้ง่ายๆ เช่นนั้นรึ?!”
แล้วดุเว่ยฉางอิ๋งว่า “หากว่ากันเรื่องอายุมากน้อยเจ้าก็เป็นพี่สาว ว่ากันเรื่องแต่งงานหรือไม่ เจ้าก็ออกเรือนแล้ว เหตุใดแค่ลูกผู้น้องเพียงคนเจ้าก็ยังข่มไว้ไม่ได้ ปล่อยให้นางทำให้เสียหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก! เจ้ารู้หรือไม่ว่านางไม่ได้ทำเจ้าขายหน้าเท่านั้น แต่ยังทำให้ตระกูลเว่ยของเจ้าเสียหน้าด้วย?”
เว่ยฉางอิ๋งสะอื้นตอบว่า “สะใภ้ทราบเจ้าค่ะ ความจริงแล้ววันนี้สะใภ้ก็อบรมนางในจวนท่านอ๋องรุ่นไปแล้ว เพียงแต่คิดว่าพระธิดาเฉิงเสียนออกเรือน จึงไม่ควรทำเรื่องให้ใหญ่โตในเรือนของผู้อื่น เมื่อครู่ตอนกลับมา สะใภ้ก็บอกให้เสิ่นจวี้
ไปส่งเทียบที่จวนท่านอารองแล้ว พอดีว่าวันมะรื่นเป็นวันหยุด สะใภ้จักต้องไปพูดเรื่องนี้กับท่านอารองและอาสะใภ้รองที่เรือนเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินซูแค่นเสียงกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องภายในตระกูลเว่ยของเจ้า ข้าจะไม่พูดให้มากความ เพียงแต่เวลานี้เจ้าเป็นสะใภ้ตระกูลเสิ่นของข้า เว่ยฉางเจวียนคอยหาเรื่องหนแล้วหนเล่า นางทำให้บุตรีตระกูลเว่ยเสียหน้า เจ้าเสียหน้า ตระกูลเสิ่นของพวกเราก็พลอยเสียหน้าไปด้วย! คนบ้านเราไม่เคยต้องมาเสียเปรียบอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่?”
“ท่านแม่โปรดวางใจ ก่อนสะใภ้ออกเรือน ผู้ใหญ่ในบ้านก็เคยอบรมมาว่า อย่าได้ทำให้ผู้ใหญ่ต้องเสียหน้าเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งรับประกันหนแล้วหนล่า แล้วสอบถามไปอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่าครานี้ต้องเข้าวังไปขอพระราชทานอภัยอีกหรือไม่?
ว่าไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งเองก็รู้สึกว่าที่นางเอ่ยไปก่อนนี้ว่า ‘ไม่มีหน้ากลับมา’ ก็พูดมาจากใจจริง ตนเองเพิ่งออกเรือนมาเพิ่งจะกี่เดือนเท่านั้น ลำพังแค่เข้าวังไปขอพระราชทานอภัยก็ไปมาแล้วสองคน เวลานี้ไม่แน่ว่ายังต้องไปอีกเป็นคราที่สาม ยิ่งไปกว่านั้นไปขอพระราชทานอภัยครานี้ก็มิใช่ว่านางไปเพียงลำพังได้ หากมิใช่ฮูหยินซู ก็ต้องเป็นเว่ยเจิ้งอิน อย่างไรก็ต้องมีผู้ใหญ่ไปด้วย
สำหรับสะใภ้ใหม่ที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านแล้ว การรบกวนผู้ใหญ่เช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งไม่อาจไม่รู้สึกผิดได้จริงๆ
เมื่อฮูหยินซูถูกเตือนสติดังนั้นก็พลันมีสีหน้าปวดหัวขึ้นมาทันใด นางใคร่ครวญอยู่เป็นนาน จึงถอนหายใจแล้วว่า “วันพรุ่งอวี๋หลีจะออกเรือน…รออีกสักหน่อยค่อยให้คนไปส่งสารเถิด สารนี้ต้องเขียนยาวสักหน่อย แล้วบอกว่าเพราะต้องคัดเลือกคำที่เหมาะสมจึงล่าช้าสักหน่อย เวลานี้ประตูวังปิดแล้ว ต้องรอวันพรุ่งจึงจะไปส่งได้ แล้วรอให้ในวังอนุญาตลงมา อย่างไรก็ต้องรอจนวันมะรืนจึงจะเข้าวังได้…”
แล้วบอกว่า “หากวันมะรืนยังเข้าวังไม่ได้ เจ้าก็ไปเรือนท่านอารองของเจ้าก่อน แล้วสอบถามเรื่องการกระทำของลูกผู้น้องเจ็ดของเจ้ากับท่านอารองและอาสะใภ้รองมาให้ละเอียด หากท่านอารองอาสะใภ้รองของเจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเด็กไม่ต้องการพูดกับเจ้า ให้เจ้ากลับมาบอกข้า ข้าจะไปพูดกับพวกเขาเอง! ถ้าพวกเขาไม่อยากอยู่กันดีๆ แล้วยังกลับทนดูบ้านเสิ่นของเราอยู่อย่างสงบไม่ได้หรือ? หากวันมะรืนต้องเข้าวังไปขอพระราชทานอภัย ฝั่งบ้านท่านอารองของเจ้าก็รั้งรอไว้ก่อน วันถัดไปจึงค่อยไป”
เว่ยฉางอิ๋งย่อมต้องตอบรับอย่างเชื่อฟัง
เมื่อกลับไปถึงเรือนจินถงก็เรียกนางหวงมาหา ยังไม่ทันเอ่ยเรื่องใด นางก็สั่งความไปว่า “เรียกบ่าวติดตามที่แข็งแรงของออกมาตรวจนับดู เลือกบ่าวชราที่แรงมากๆ ฝีปากกล้าออกมาจำนวนหนึ่ง วันมะรืนให้ติดตามข้าไปที่เรือนท่านอารอง!”
นางหวงสะดุ้ง กล่าวว่า “ฮูหยินน้อย เกิดเรื่องใดขึ้นเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งหน้าดำคร่ำเครียด เชิดปลายคางขึ้น ฉินเกอจึงบอกว่า “ท่านอาไม่ทราบ คราก่อนที่คุณหนูใหญ่ตระกูลซูออกเรือน คุณหนูเจ็ดตระกูลเรามิใช่ว่าเคยไปหาเรื่องฮูหยินน้อยหรือเจ้าคะ? ครานั้นเห็นแก่ว่าเป็นงานมงคล แต่ละฝ่ายล้วนบอกให้นางค่อยๆ แยกออกไป ปรากฏว่าครานี้พระธิดาเฉิงเสียนออกเรือน นางกลับยังยุยงให้ องค์หญิงชิงซินมาเอาเรื่องกับฮูหยินน้อย บอกว่าจะลงโทษให้ฮูหยินน้อยคุกเข่าอยู่ในจวนท่านอ๋องรุ่นสามวันสามคืนเชียวเจ้าคะ! หากมิใช่ว่าได้องค์หญิงอันจี๋มาช่วยพูดไกล่เกลี่ยให้ เมื่อเป็นคำที่องค์หญิงตรัสด้วยตนเอง แล้วท่านอาว่าฮูหยินน้อยควรจะทำเช่นใดเจ้าคะ?”
ครั้งนางหวงยังคงอยู่ในวัยสาวได้รับคำสั่งจากแม่เฒ่าซ่งให้อยู่ในเมืองหลวง โดยนามนั้นให้คอยเฝ้าดูคฤหาสน์แต่ในความจริงคือให้คอยอยู่ควบคุมนางตวนมู่ แม้ว่าตลอดสิบกว่าปีแม่เฒ่าซ่งจะอยู่ไกลถึงเฟิ่งโจว แต่นางก็ทำงานนี้ได้อย่างดี จึงภาคภูมิใจกับผลงานของตนเป็นอย่างยิ่ง และด้วยสาเหตุนี้เอง แม้นางหวงจะไม่พูดแต่ในใจก็ยากจะไม่รู้สึกดูแคลนทุกคนในบ้านสอง
ปรากฏว่าคนทั้งบ้านที่ตนดูแคลนนี้ ตอนนี้กลับมาทำร้ายเว่ยฉางอิ๋ง ฮูหยินน้อยที่นางตั้งใจปรนนิบัติดูแล นางหวงย่อมรู้สึกว่าเกียรติของตนถูกท้าทายอย่างยิ่งยวด พอได้ยินก็เกือบจะเป็นลมหมดสติลงไป ตอนนั้นก็ไม่ทันจะมาห่วงภาพลักษณ์อ่อนโยนเอาอกเอาใจอีกแล้ว นางหน้าแดงไปทั้งหน้า ออกปากด่าต่อหน้าเว่ยฉางอิ๋งว่า “คนชั่วตัวน้อยที่นางตวนมู่เลี้ยงมา! บังอาจมาลบหลู่ฮูหยินน้อยน้อยของเราเช่นนี้รึ?!”
แล้วเอ่ยออกมาทันใดว่า “ฮูหยินน้อยมองบ้านสองดีเกินไปแล้วเจ้าค่ะ จัดการบ้านสองไยต้องทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่? ก็พวกบ่าวชราสองสามในเรือนเรา แล้วรอให้น้องเฮ่อกลับมาก่อน วันมะรื่นพวกเราไม่กี่คนนี้ไปด้วยกันเป็นพอแล้วเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่านางหวงอยู่ช่วงชิงอำนาจกับบ้านสองมาสิบกว่าปี เข้าใจรายละเอียดเบื้องลึกของบ้านสองเป็นอย่างดี ได้ยินคำพลันพยักหน้า “ตกลงตามนั้น”
_____________________________________