ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 145-2 กู้โหรวจาง
ตอนที่ 145-2 กู้โหรวจาง
Xiaobei
“น้ำใจจริงที่น้องกู้มีต่อการฝึกวรยุทธนี้ช่างน่าเสื่อมใสนัก” เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเห็นว่านางอยากให้ตนเองถ่ายทอดวรยุทธให้ นางก็รู้สึกว่ามิใช่เป็นไปไม่ได้ เพราะครั้งเจียงเจิงสอนวรยุทธให้นางก็เคยอธิบายให้ฟังว่า วรยุทธที่ถ่ายทอดกันมาในตระกูลเจียงในส่วนที่เป็นเคล็ดสุดยอดของวิชาต้องถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ซึ่งเป็นผู้สืบทอดเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้สนใจว่าจะถ่ายทอดออกไป เมื่อหวนนึกถึงครั้งตนต้องฝึกฝนอย่างยากลำบาก ในท่ามกลางผู้คนที่มีฐานะเช่นเดียวกัน ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้มาพบกับคนที่เหมือนกับตน จึงไม่อาจทำให้นางผิดหวังได้
แต่ในขณะที่กำลังคิดจะตอบรับ กลับนึกสงสัยขึ้นมาว่ากู้โหรวจางผู้นี้มีวรยุทธดี แล้วตระกูลกู้จะไม่หาอาจารย์ดีๆ มาสอนนางหรอกหรือ? ก่อนหน้านี้นางจากยิวโจวมาก็ไม่มีอาจารย์ดีๆ เกรงว่าเป็นเพราะ …ญาติผู้ใหญ่ฝั่งตระกูลกู้ไม่เห็นด้วยกระมัง?
แม้เว่ยฉางอิ๋งจะรู้สึกการได้มาพบคนที่คล้ายกันท่ามกลางคุณหนูผู้ดีนี้มิใช่เรื่องง่ายเลย หากต้องปฏิเสธนางก็ตัดใจไม่ได้จริงๆ …ทว่า เวลานี้ทุกเรื่องรุมเร้าตัวนาง นางไม่ว่างเลยจริงๆ และไม่มีหน้าจะไปก่อเรื่องใดอีกแล้ว จึงคิดว่าอย่างไรก็เอ่ยผัดผ่อนนางไปสักหน่อยก่อน ภายหลังเมื่อจัดการเรื่องของเว่ยฉางเจวียนเสร็จแล้ว ค่อยมาว่ากันเรื่องนี้อีกที
แต่กลับไม่คิดว่านางเพิ่งจะเอ่ยออกไปประโยคหนึ่งอย่างอ้ำอึ้ง กู้โหรวจางก็มาจับแขนนางไว้ด้วยท่าทีตื่นเต้น แล้วพูดอย่างดีใจว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่เว่ยท่านต้องรับข้าเอาไว้แน่!”
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง ยังไม่ทันเข้าใจถึงความหมายของกู้โหรวจาง กู้โหรวจางก็จับแขนนางแล้วคุกเข่าลงอย่างคล่องแคล่ว คล่องแคล่วเอามากๆ ทีเดียว แล้วพูดเสียงดังว่า “ท่านอาจารย์ผู้สูงส่ง โปรดรับการคารวะจากศิษย์ด้วย!”
“….!!!” สายตาจากรอบทิศถูกดึงดูดเข้ามาด้วยเสียงเสียงนี้ พลันได้ยินเพียงความเงียบงันอยู่ภายในโถง!
เว่ยฉางอิ๋งตะลึงค้างอยู่กับที่ …เสิ่นจั้งหนิงน้องสามีก็กลับยังมาเพิ่มเติมความวุ่นวายซ้ำเข้าไปอีก ไม่รู้ไปแย่งถ้วยชามาจากที่ใด หัวเราะฮิๆ แล้วส่งให้กู้โหรวจาง “นี่ๆๆ หลังไหว้อาจารย์แล้วก็มิใช่ว่าต้องยกน้ำยา? น้ำชามาแล้ว!”
….ดีที่เมื่อฮูหยินซูรู้เรื่องก็รีบขอขมาคนในโต๊ะแล้ววิ่งมาหา นางเข้าไปดึงหูเสิ่นจั้งหนิงแล้วลากนางไปข้างหลัง จึงทำให้เรื่องวุ่นวายคราวนี้จบลงได้
ด้วยเหตุที่แม่เฒ่าเติ้งสูงวัยแล้ว อีกทั้งแขกที่มาอวยพรล้วนเป็นคนรุ่นลูกหลานของแต่ละตระกูล จึงไม่จำเป็นต้องให้แม่เฒ่าเติ้งออกไปต้อนรับ ฉะนั้นเมื่อแม่เฒ่าเติ้งมาเปิดงานแล้ว พอผ่านไปไม่นานนางก็อ้างว่าอ่อนเพลียและขอออกไปพักที่ด้านหลัง นางกำลังดื่มน้ำชา เห็นว่าบุตรสาวดึงหูหลานยายวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว และหลานพวกหลานสะใภ้ก็พากันตามเข้ามาช่วยปรามด้วยท่าทีอึดอัดในและแสนทุลักทุเล ไม่ถามถึงสาเหตุ นางก็ต่อว่าบุตรสาวไปก่อนว่า “จั้งหนิงก็โตเพียงนี้แล้ว แล้ววันนี้ก็มีคนมากมาย ทั้งยังเป็นวันมงคลอีก มีเรื่องใด ไยจึงไม่พูดกับนางดีๆ ต้องมาลงไม้ลงมือเช่นนี้? ก่อนนี้เจ้าก็มิใช่ว่าไม่เคยทำเรื่องผิดพลาดมาก่อน ข้าเคยทำเช่นนี้กับเจ้ารึ? ลูกก็โตแล้ว อย่างไรก็ควรไว้หน้าพวกเขาบ้าง!”
ฮูหยินซูเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ท่านแม่ ท่านไม่ทราบเรื่องที่เจ้าตัวดีนี่ไปก่อไว้!”
เสิ่นจั้งหนิงถูกนางลาก ทั้งกลิ้งทั้งคลานเดินตามมา ครานี้ได้มาเห็นท่านยาย และท่านยายก็ช่วยพูดเข้าข้างตน แล้วจะยอมนิ่งอยู่ได้ที่ใด? รีบบอกไปว่า “ท่านแม่ยังบอกให้ข้าเชื่อฟังท่านทุกเรื่องเลย ที่แท้ท่านแม่ก็ไม่เชื่อฟังท่านยาย!”
คำพูดนี้ทำเอาฮูหยินซูไม่มีทางจะลง พลันเงื้อมมือขึ้นจะตีนาง …แม่เฒ่าเติ้งเป็นคนใจดี แม้แต่บรรดาสะใภ้นางก็ยังข่มไว้ไม่ค่อยได้ แล้วยังทั้งรักทั้งปกป้องหลานๆ มาโดยตลอด และนางเองก็ชอบเสิ่นจั้งหนิงหลานยายผู้นี้เป็นพิเศษ แล้วจะยอมให้บุตรสาวตีนางต่อหน้าตนเองได้อย่างไร? จึงร้องตำหนิขึ้นมาว่า “จั้งหนิงพูดผิดแล้วหรืออย่างไร? หากเจ้าจะตีนางที่อื่นก็แล้วไป พานางมาตรงหน้าข้า แล้วข้าก็บอกให้เจ้าไว้หน้านางสักหน่อยแล้ว เจ้าก็ยังจะลงมือ เจ้าไม่เชื่อฟังมารดาให้นางเห็น แล้วจะโทษที่นางเอาอย่างเจ้าได้อย่างไร?”
“ยามนี้ที่อื่นล้วนมีคน มีแต่เพียงที่เรือนท่านแม่ที่สงบสักหน่อย อีกประการที่ข้าตีนางก็มีสาเหตุ” ฮูหยินซูเอ่ยอย่างร้อนใจเป็นที่สุด “คราก่อนที่อวี๋ลี่ออกเรือน เว่ยฉางเจวียนแห่งตระกูลเว่ยก็ก่อเรื่องมาคราวหนึ่งแล้ว วันนี้เว่ยฉางเจวียนไม่ได้ออกมาก่อเรื่อง แต่นางกลับวิ่งออกมาก่อเรื่องเสียเอง! ท่านแม่ ท่านว่าข้าจะไม่จัดการนางได้หรือ?” ด้วยเหตุที่นอกจากแม่เฒ่าเติ้งและบ่าวคนสนิทของแม่เฒ่าเติ้งแล้ว ในโถงนี้ก็มีเพียงคนทางฝั่งของฮูหยินซู ดังนั้นฮูหยินซูจึงพูดออกมาตรงๆ ว่า “เดิมที พี่สะใภ้ใหญ่ก็ขุ่นเคืองอยู่ในใจด้วยเรื่องของจั้งจู เจ้าตัวดีนี่ยังมาก่อเรื่องในวันออกเรือนของลูกผู้พี่ หากให้พี่สะใภ้ใหญ่รู้เรื่องเข้าในภายหลัง นางจะไม่แค้นเคืองได้หรือเจ้าคะ?”
แม่เฒ่าเติ้งขมวดคิ้ว กล่าวว่า “เช่นนั้น จั้งหนิงทำเรื่องใดหรือ?”
ฮูหยินซูเองก็ฟังมาเพียงเล็กน้อย คราวนี้จึงไปถามเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางอิ๋งอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา กล่าวว่า “จะว่าไปก็เกี่ยวกับสะใภ้ด้วยเจ้าค่ะ…” เมื่อเล่าให้ฟังโดยคร่าวๆ แล้ว แม่เฒ่าเติ้งก็ไม่พอใจขึ้นมาและต่อว่าฮูหยินซูว่า “ก็มิใช่ว่าเด็กสาวบ้านกู้อยากไหว้หลานสะใภ้เป็นอาจารย์? แล้วคุณหนูกู้ผู้นั้นก็คุกเข่าลงไปเอง มิใช่ลูกสาวเจ้ากดคุณหนูกู้ให้โขกหัวให้สะใภ้เจ้าสักหน่อยนี่ …มันจะเป็นเรื่องใหญ่โตเท่าใดกัน?”
“…” ฮูหยินซูได้ยินสะใภ้เล่าจบก็รู้สึกเกินคาดเล็กน้อย ความจริงแล้วนางก็ถูกเสิ่นจั้งหนิงทำจนกลัว บุตรสาวคนเล็กผู้นี้ คราก่อนที่เข้าวังก็ยังไปก่อเรื่องเอาไว้ได้ กอปรกับนับแต่ เว่ยฉางอิ๋งแต่งเข้าบ้านมา แม้จะบอกว่าต้นเหตุของเรื่องไม่ได้มาจากนาง แต่ก็ต้องเกี่ยวพันกับสะใภ้ผู้นี้ของนางทุกครั้งไป ดังนั้นพอฮูหยินซูได้ยินคำว่า เว่ยฉางอิ๋ง เสิ่นจั้งหนิง คุณหนูบ้านกู้ คุกเข่า ทุกคนพากันไปมุงดู นางก็คิดเอาไว้ก่อนว่าต้องเป็นเสิ่นจั้งหนิงก่อเรื่องอีกแน่ๆ…
หรือจะบอกว่าเว่ยฉางอิ๋งและเสิ่นจั้งหนิงก่อเรื่องอีกแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งเป็นสะใภ้ ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งที่สะใภ้ผู้นี้มีเรื่อง โดยมากแล้วก็จะถูกให้ร้าย ฮูหยินซูจึงได้จับบุตรสาวมาและวิ่งมาทางเรือนแม่เฒ่าเติ้งซึ่งเป็นที่เงียบสงบเพื่อสั่งสอนบุตรสาวอบรมสะใภ้เสีย ไม่คิดว่าครานี้…เอ่อ แม้จะทำให้คนมามุงดูมากมาย แต่ว่ากันจากใจจริงก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตอันใด
และยิ่งไม่อาจบอกได้ว่าเป็นเรื่องร้ายอันใดด้วย
เห็นชัดว่าเป็นตนเองเข้าใจบุตรสาวผิดไป ทว่าฮูหยินซูก็มิใช่คนที่จะมาปลอบบุตรสาวคนเล็ก จึงดุเสิ่นจั้งหนิงไปว่า “กู้โหรวจางเป็นคุณหนูมีตระกูลที่คิดอยากจะเรียนวรยุทธ แล้วได้สอบถามความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ในตระกูลแล้วหรือไม่? พานางมาหาพี่สะใภ้เจ้า นางก้มหัวไหว้ครู…. ภายหลังคนบ้านกู้มาตำหนิพี่สะใภ้เจ้า จนพาลไปโกรธลูกผู้พี่ใหญ่ของเจ้า แล้วเจ้าจะทำเช่นใด?”
เสิ่นจั้งหนิงพูดอย่างน้อยใจว่า “เข้าจะไปรู้ได้ที่ใด ว่าพี่กู้จะมาไหว้ครูเอาในทันใด?”
“แล้วเจ้ายังส่งน้ำชาให้นาง!” ฮูหยินซูรู้สึกว่าได้เหตุผลแล้ว เสียงที่ดุนางก็ยิ่งสูงขึ้นอีก
เสิ่นจั้งหนิงอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก หางตากลับมองไปยังท่านยายที่มีสีหน้าไม่พอใจ ว่าแล้วจึงร้องไห้โฮเสียงดังลั่นขึ้นมาเสียเลย “ข้าก็คิดว่าไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อันใด จึงเข้าไปร่วมสนุกด้วยนี่นา! ท่านยายก็บอกแล้วว่าไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตอันใด ท่านแม่ท่านก็ยังจะมาดุข้าเช่นนี้อีก!”
พอแม่เฒ่าเติ้งเป็นหลานยายร้องไห้ พลันปวดใจจนทนไม่ไหว รีบเรียกให้เสิ่นจั้งหนิงเข้ามาหา… ฮูหยินซูจึงทำได้เพียงปล่อยมือออก เสิ่นจั้งหนิงรีบปรี่เข้าไปในอกของแม่เฒ่าเติ้งพลางสะอื้นไห้ใหญ่โต …ทางหนึ่งแม่เฒ่าเติ้งกอดปลอบนาง อีกทางก็ขมวดคิ้วต่อว่าฮูหยินซู “เจ้าเอาแต่กลัวว่าจะล่วงเกินพี่สะใภ้บ้านแม่! แล้วไยไม่คิดบ้างว่าข้าและท่านพ่อของเจ้าล้วนยังมีชีวิตอยู่ หรือว่ายามนี้เจ้าเป็นน้องสามีที่ยังไม่ออกเรือน คอยใช้ชีวิตเดินตามที่พี่ชายพี่สะใภ้สั่ง ทำสิ่งใดล้วนต้องคอยดูว่าพี่สะใภ้จะพอใจหรือไม่เช่นนั้นหรือ? เพื่อไม่ให้ล่วงเกินพี่สะใภ้ในบ้านแม่ เจ้าก็ต้องมาดุมาตีเลือดเนื้อเชื้อไขของตนอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้! ก่อนนี้ข้าเคยทำเช่นนี้กับเจ้ารึ?”
ฮูหยินซูคิดอยากโต้แย้ง แต่แม่เฒ่าเติ้งกลับไม่ฟัง เพียงแต่บอกว่า “ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้พระสนมเอกเติ้งยังส่งคนมาอวยพรที่อวี๋หลีออกเรือนด้วย คราก่อนที่อวี๋ลี่ออกเรือนพระสนมเอกลับไม่ได้ส่งคนมา ยามนี้ พี่สะใภ้ของเจ้าอารมณ์ดีเป็นนักหนา อาจไม่ได้มาถือสาเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ แต่เจ้ากลับดีนัก ไม่ถามให้แน่ชัดก็จับคนมาตีเสียแล้ว แม้แต่กับบุตรและหลานของอนุเจ้าก็ยังไม่เข้มงวดปานนี้ แต่นี่เป็นลูกของเจ้าเอง แต่กลับต้อยต่ำกว่าผู้อื่นชั้นหนึ่งรึ?!”
แล้วสั่งฮูหยินซูว่า “เห็นแก่ที่มีพวกสะใภ้ของเจ้าอยู่ด้วย ข้าจะไม่พูดคำแรงๆ เจ้ากลับไปที่งานเลี้ยงเดี๋ยวนี้! แล้วให้จั้งหนิงอยู่กับข้าที่นี่สองวัน รอจนเจ้าเข้าใจว่าจะเลี้ยงบุตรสาวเจ้าเช่นใดแล้วค่อยมารับไป! หากเจ้ายังไม่เข้าใจ แล้วทำกับบุตรสาวประหนึ่งศัตรูคู่อาฆาต เช่นนั้นก็ให้นางอยู่กับข้าที่นี่จนกว่านางจะออกเรือนไปเสียเลย ข้าก็จะคิดว่ามีหลานสาวมาอยู่เพิ่มคนหนึ่ง! จนถึงวันออกเรือนข้าก็จะเตรียมสินแต่งงานและหมั้นหมายให้ …แม้จะยากจนข้นแค้นสักหน่อย แต่อย่างไรก็ยังดีกว่าให้อยู่ในมือเจ้า แล้วต้องถูกตีถูกด่าว่าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!”
________________________________