ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 150-1 เรื่องราวค่อยๆ กระจ่าง (3)
ตอนที่ 150-1 เรื่องราวค่อยๆ กระจ่าง (3)
Xiaobei
“หลิวรั่วอวี้ คราก่อนพวกเราก็เคยพบมาแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “แม้จะบอกว่านางเป็นบุตรสาวของอดีตภรรยาของหลิวไห้ ทว่านางก็เติบโตมาในกำมือของจางเสากวง และถูกข่มเหงกดขี่จนไม่อาจวาดหวังสิ่งใดได้แล้ว ดูท่าว่าคงพยุงนางขึ้นมาไม่ไหวหรอก”
นางหวงกล่าวว่า “คุณหนูผู้นี้อยู่ในกำมือของนางจางมาแต่เล็ก หลิวไห้ก็มิได้รักนาง นางจางเป็นแม่เลี้ยง ก็มิใช่ว่าจะบีบนางแบนคามือแล้วค่อยปั้นเป็นก้อนกลมได้ตามใจชอบหรือ? แต่ยามนี้นางหมั้นหมายกับองค์รัชทายาท บางทีเมื่อมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทแล้วก็อาจไม่เหมือนเดิมนะเจ้าคะ? เพราะอย่างไรเสีย ความแค้นของนางต่อนางจางแม่ลูกก็ไม่เบาเลย ข้าน้อยคิดว่าหลิวไห้ผู้นั้นรักหลงภรรยาคนที่สองและบุตรสาวจากภรรยาคนที่สอง ไม่ได้สนใจหลิวรั่วอวี้ ความสัมพันธ์พ่อลูกของหลิวรั่วอวี้และหลิวไห้ก็ไม่น่าจะลึกซึ้ง ต่อให้นางถูกกดขี่ข่มเหงจนเคียดแค้นและชินชาแล้ว แต่จะอย่างไรนางก็เติบโตมาภายใต้การดูแลของหลิวไห้และจางเสากวง แม้เรื่องสำคัญต่างๆ นางจะไม่รู้ แต่อย่างไรก็ต้องรู้มากกว่าพวกเราอยู่ดี หากสามารถหว่านล้อมให้นางมาอยู่ฝั่งเราได้ ไม่แน่ว่ายังพอมีเรื่องที่ใช้สอยได้นะเจ้าคะ”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเสียงหนักว่า “ท่านช้าก่อน ข้าพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้”
แล้วว่า “ในวันที่ลูกผู้พี่หญิงใหญ่ออกเรือน ซึ่งก็คือวันที่เว่ยฉางเจวียนมาหาความข้าคราแรก เมื่อพี่สะใภ้สามบ้านซูเห็นว่าไม่เข้าทีก็ส่งคนไปเรียกหลิวรั่วเหยียเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย …ครั้งนั้นหลิวรั่วเหยียบอกว่า ‘สองวันก่อนพี่สิบบอกว่าห้องที่อยู่ตอนนี้คับแคบเกินไป อยากจะเปลี่ยนให้ใหญ่ขึ้นสักหน่อย ท่านแม่จึงให้พวกเราพี่น้องเปลี่ยนห้องใหม่ด้วยกันเสียเลย’ จากนั้นก็อธิบายว่านางไหว้วานให้เว่ยฉางเจวียนมาสอบถามข้าว่าไยจึงจัดแจงเรือนได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย…”
นางหวงได้ยินคำก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ กล่าวว่า “ข้าน้อยเข้าใจความหมายของฮูหยินน้อยแล้วเจ้าค่ะ หากหลิวรั่วอวี้ยังคงขี้ขลาดตาขาวดังก่อนมา แล้วจะกล้าบอกกับนางจางได้อย่างไรว่าห้องคับแคบเกินไปและบอกว่าต้องการจะเปลี่ยนให้ใหญ่กว่านี้สักหน่อย?”
“ก็มิใช่รึ?” เว่ยฉางอิ๋งหรี่ตาลงพลางว่า “ดูท่าแล้วแม้หลิวรั่วอวี้ผู้นี้จะถูกแม่เลี้ยงและน้องสาวข่มเหงรังแกต่างๆ นานา ทว่าก็ยังคงมีความแค้นในอกอยู่ไม่จาง เพียงแต่ยังไม่ถึงขั้นกล้าพูดและไม่กล้าแสดงความโกรธออกมาเท่านั้น ยามนี้ได้โอกาสที่นางได้รับสมรสพระราชทานให้เป็นพระชายาองค์รัชทายาท ก็ปรากฏว่าไม่ยินยอมจะทนถูกรังแกต่อไปอีกแล้ว อย่างไรก็ดี ต่อให้องค์รัชทายาทไม่ได้เป็นคนดิบดีอีกสักเท่าใด แต่ฐานะของเขาก็ยังอยู่ที่เดิม จางเสาหานและหลิวรั่วเหยียมีแผนการใหญ่หลวงนัก คาดว่าพวกนางล้วนต้องรักษาประโยชน์ของคนหมู่มากเอาไว้ก่อน เวลานี้กลับเป็นโอกาสของหลิวรั่วอวี้แล้ว”
นางหวงยิ้มจางๆ กล่าวว่า “อย่างไรเสีย ไม่ว่านางจางจะรังแกคุณหนูสิบผู้นี้อีกเท่าใด ก็ยังมีฮูหยินน้อยใหญ่ของเราทางนี้ที่คอยรับคุณหนูหลิวสิบมาหายใจหายคอที่จวนนะเจ้าคะ!”
“ทางรอดเส้นสุดท้ายของนางนี้ นับว่าเป็นพี่สะใภ้ใหญ่มอบให้นางจริงๆ” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเสียหนัก “ในเมื่อเป็นดังนี้ ก็ต้องหาโอกาส ข้าจะไปส่งสัญญาณให้ทาง พี่สะใภ้ใหญ่สักครั้งดีกว่า ดูจากที่พี่สะใภ้ใหญ่รักใคร่และปกป้องลูกผู้น้องคนนี้อย่างจริงใจ คาดว่าต่อให้นางมีแผนการเล็กน้อยอันใดเพื่อตอบโต้จางเสากวงและหลิวรั่วอวี้อยู่ ก็คงไม่ถึงกับจงใจทำให้เสียการใหญ่หรอก”
เมื่อคิดถึงเรื่องที่ประสบมาในวันนี้ เว่ยฉางอิ๋งพลันแย้มยิ้มออกมาอีกหน แล้วบอกว่า “ทั้งที่ท่านอารองรู้เรื่องนี้ดีอยู่แก่ใจ แต่กลับแสร้งทำทีว่าไม่รู้เรื่อยมา ยามนี้เขายอมเอ่ยเรื่องนี้ออกมาเพราะเว่ยฉางเจวียน แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะชี้แจ้งกับท่านปู่และท่านย่าอย่างไร?”
นางหวงได้ยินคำกลับหัวเราะฮ่าๆ ออกมา แล้วเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ฮูหยินน้อยโปรดให้ข้าน้อยเอ่ยคำไม่นอบน้อมสักคำ ท่านยังเด็กเกินไป มองคนตื้นเขินเกินไปหรือไม่ก็พูดไปด้วยความเมตตาเกินไปแล้ว ท่านคิดจริงๆ หรือว่าที่นายท่านรองเอ่ยปากถึงความเป็นมาของเรื่องนี้อย่างสบายอุรา ก็เพราะต้องการช่วยคุณหนูเจ็ด?”
เว่ยฉางอิ๋งตะลึง
“นายท่านรองวางแผนช่วงชิงตำแหน่งประมุขมาหลายปี ข้าน้อยจะเอ่ยคำปาดใจสักคำ เพื่อให้ได้ตำแหน่งนั้นมา เรื่องอกตัญญูใดๆ ก็มิใช่ว่านายท่านรองจะทำไม่ได้!” นางหวงยิ้มหยันพลางว่า “ก็เพียงบุตรสาวคนเดียว แม้ปกติแล้วจะรักหลงเป็นพันเป็นหมื่นเท่า ทว่าเมื่อเรื่องจวนตัวแล้วจะมีค่าอันใดเล่า? การต่อสู้ในราชสำนัก นอกจากแผนการแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือใจคอที่อำมหิต! สาเหตุที่ท่านประมุขวางใจให้นายท่านรองเผชิญหน้ากับราชสำนักเพียงลำพัง และฮูหยินผู้เฒ่าไม่อาจวางใจนายท่านรองได้ ก็เพราะความอำมหิตของนายท่านรองนี่เอง … ฮูหยินน้อยอาจเคยได้ยินเรื่องที่ในสมัยนั้นนายท่านรองเคยเอ่ยเรื่องจะยกคุณชายสามให้เป็นบุตรบุญธรรมของนายท่านใหญ่มาบ้าง แต่ท่านจะต้องไม่รู้ว่าในตอนแรกนั้น ไม่ว่าเป็นตายอย่างไรนายท่านรองก็ไม่ยอมรับ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงกล่อมให้คุณชายรองพูดสิ่งที่เขาได้ยินออกมา …ปรากฏว่าท่านว่านายท่านรองพูดอย่างไร?”
“นายท่านรองบอกว่า นั่นก็เพราะว่าสองวันก่อนคุณชายรองไม่เชื่อฟัง นายท่านรองจึงอบรมเขา คุณชายรองเคืองแค้นอยู่ในใจจึงจงใจใส่ความเขา” นางหวงยิ้มหยันพลางว่า “เสือร้ายยังไม่กินลูกของมันเลย! ด้วยนายท่านรองกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไล่เรียงเอาความ จึงได้ตัดใจทิ้งบุตรชายคนโตผู้นี้ไปเสีย! ทว่าเขาเองก็เร่งร้อนหลบเลี่ยงความผิดจนหน้ามืดตามัว เมื่อเอ่ยไปเช่นนี้กลับทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าของเราจับพิรุธได้ จึงบอกกับท่านประมุขของเราว่า เมื่อนายท่านใหญ่ยังทำเช่นนี้กับบุตรชายแท้ๆ ได้ หากมอบรุ่ยอวี่ถังให้เขาสืบทอด แล้ววันหน้าบุตรหลานของผู้อื่นจะยังมีทางรอดอีกหรือ?”
แล้วเอ่ยเสียงต่ำไปอีกว่า “เรื่องนี้ทำให้ท่านประมุขเคืองโกรธเป็นนักหนา ทั้งยังช่วยคิดหาทางช่วยคุณชายรอง และไม่ให้ทุกคนพูดเรื่องนี้อีก …เมื่อคุณชายรองเติบโตก็รู้สึกผิดกับเรื่องนี้ยิ่ง ข้าน้อยเดาว่าครานั้นเขาจะต้องอายุน้อยเกินไป แล้วถูกขู่เข็ญอย่างหนักหนาหนหนึ่ง จึงได้ลืมเลือนเรื่องครานั้นไป หาไม่แล้วเหตุใดจึงไม่มีรอยร้าวในใจ? สมัยนั้นนายท่านรองสามารถสละบุตรชายคนโตให้รับผิดนี้ได้ แล้วเวลานี้ บุตรสาวคนเล็กจะนับว่าเป็นสิ่งใดได้อีกเล่าเจ้าคะ? ท่านอย่าได้มองแต่ว่าวันนี้นายท่านรองมีท่าทีร้อนรนจะช่วยบุตรสาว จนไม่ว่ามีของแลกเปลี่ยนใดก็ยอมผลักออกมาจนหมด ข้าน้อยคิดว่า ไม่แน่ในใจเขาอาจกำลังยินดีอยู่ก็เป็นได้ …นับว่าตนได้มีโอกาสชดเชยความเป็นคนเลือดเย็นไร้ความเมตตาต่อเลือดเนื้อเชื้อไขของตนในสายตาท่านประมุขในครานั้นแล้ว!”
“ไม่แน่ว่าที่เว่ยฉางเจวียนมาหาความฮูหยินน้อยในครานี้ เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นนายท่านรองคอยชักใยอยู่เบื้องหลังนะเจ้าคะ ก็เพื่อละครตบตาในวันนี้ ว่าแม้จะอบรมบุตรสาวได้ไม่ดี และแม้จะมีแผนการที่ยิ่งใหญ่และยาวไกล ทว่าเขาก็ยังรักบุตรสาวเป็นที่สุด!” นางหวงเอ่ยเรียบๆ “หลายปีมานี้ แม้ท่านประมุขจะไม่ออกปาก แต่ก็มีคำสั่งเด็ดขาดว่าห้ามผู้ใดเอ่ยเรื่องนายท่านรองยอมเสียสละบุตรชาย แต่ในใจกลับคิดมาตลอดว่านายท่านรองเป็นคนที่เย็นชาเหี้ยมโหดเกินไป มิใช่คนที่สามารถปกครองตระกูลได้เจ้าคะ! หาไม่แล้ว ตำแหน่งประมุขของตระกูลที่สำคัญออกเพียงนี้ ทั้งฮูหยินผู้เฒ่าก็มีอิทธิพลกับท่านประมุขตั้งมากมาย ทว่าคุณชายห้าของเราก็ยังเยาว์วัยเพียงนั้น นายท่านรองกลับกำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ที่เหมาะสมมีอำนาจแข็งแกร่ง หลายปีมานี้รุ่ยอวี่ถังก็ค่อยๆ ถดถอยลง แล้วท่านประมุขมองเห็นอยู่ในสายตาจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร? ข้าน้อยขอเอ่ยคำแสลงใจสักคำ ท่านประมุขเองก็เป็นบุตรจากอนุเช่นกัน! การที่ท่านประมุขยังคงรอจนคุณชายห้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ก็ด้วยไม่อาจวางใจคนใจหินที่ไม่นับญาติมิตรทั้งหกเช่นนายท่านรองนั่นเองเจ้าค่ะ! ทว่านายท่านรองปราดเปรื่องปานนั้น แม้ว่าปีนั้นนายท่านรองจะทำพลาดเรื่องบุตรชายด้วยความเกรงกลัวฮูหยินผู้เฒ่าขึ้นมาชั่วขณะ แต่ก็ไม่เคยถอดใจจากตำแหน่งประมุขที่เขาหมายปอง แล้วจะไม่คิดเรื่องหาทางชดเชยได้อย่างไรเจ้าคะ?”
___________________________