ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 157-2 เผยความในใจ
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 157-2 เผยความในใจ
นางอวิ๋นเองก็รู้สึกสงสัยในประเด็นนี้เช่นกัน ทว่า ในเมื่อฮองเฮากู้ไม่บอกความคิดของตนกับนาง นางอวิ๋นก็รู้ว่าตนเองไม่ควรไปถามให้มากความ จึงตอบไปว่า “เป็นบุตรสาวบ้านใหญ่คนโตของซ่งถง ผู้ตรวจการหร่วนโจว นามว่าซีเยวี่ยเพคะ”
“หร่วนโจวเป็นมณทลขนาดกลาง ส่วนผู้ตรวจการก็เป็นขุนนางขั้นสี่เต็มขั้นระดับสูง” ฮองเฮากู้เอ่ยเสียงหนักว่า “หากไม่มีนางเติ้งซึ่งเป็นคนในระดับนี้แล้ว เมื่อมาคู่กับเติ้งจงฉี เช่นนั้นเขาก็ได้กำไรโขเชียว!เพราะอย่างไรเสีย ครั้งบิดาของเขาก็เสียนั้นก็เป็นเพียงแค่ขุนนางรับใช้ทั่วไปขั้นสี่ครึ่งขั้นเท่านั้น”
นางอวิ๋น “หม่อมฉันก็คิดว่าการที่นางเติ้งสนใจซ่งซีเยวี่ยผู้นี้ เป็นไปได้อย่างมากว่าทำเพื่อเติ้งจงฉี เพียงแต่เวลานี้เติ้งจงฉีอยู่ที่ซีเหลียง ตามหลักแล้วต้องรอสามปีให้หลัง สร้างความชอบกลับมาเสียก่อนจึงสามารถอาศัยโอกาสที่ดีนี้ไปขอบุตรสาวในตระกูลสูงๆ ได้ และยิ่งเป็นการเสริมบารมีด้วย แต่เวลานี้นางเติ้งกลับมาสรรหาคนให้เขา ก็ดูประหลาดๆ อยู่ หรือไม่ก็ การที่นางเลือกซ่งซีเยวี่ยผู้นี้ มิได้ต้องการสรรหาคนให้เติ้งจงฉี?”
ฮองเฮากู้หรี่ตาลง พลันถามว่า “ก่อนหน้านี้เซินปั๋วมาขอให้รับเว่ยลิ่งเยวี่ยเป็นพระชายาเอก …ระยะนี้เขาเปลี่ยนใจไปแล้วหรือยัง?”
“ยังเลยเพคะ!” นางอวิ๋นรีบตอบ “ฮองเฮาทรงหมายถึงว่านางเติ้งต้องการให้ซ่งซีเยวี่ยผู้นี้…?”
“ความจริงแล้ว เวลานี้ข้ากำลังคิดว่าหากให้เซินปั๋วแต่งกับเว่ยลิ่งเยวี่ยก็ไม่มีเรื่องขัดข้องอันใด” ฮองเฮากู้เอ่ยเสียงหนัก “หลังจากเว่ยฉีพ่ายแก่เว่ยฮ่วน ทั้งสองคนก็เกษียณตัวไปอยู่ที่เฟิ่งโจวด้วยกัน ดูไปแล้วจือเปิ่นถังมีทายาทมากมาย ทว่าในนั้นไม่มีผู้ใดโดดเด่น ในระยะสองปีนี้จึงไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ หากผ่านไปอีกสักปีสองปีแล้วเว่ยฉียังไม่สามารถฟื้นคืนอำนาจได้ นับวันเขาจะยิ่งเสื่อมถอยลงเป็นแน่ กลับเป็นรุ่ยอวี่ถังเสียอีกที่ในเสียงร่ำลือบอกว่าเว่ยฉางเฟิงผู้นั้นเก่งกาจโดดเด่นนัก เว่ยฉางอิ๋งพี่สาวร่วมท้องของเขาก็เป็นภรรยาของเสิ่นจั้งเฟิง! หลายปีมานี้เสิ่นเซวียนคอยดูแลเอาใจใส่รุ่ยอวี่ถังเป็นอย่างมาก เวลานี้ตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายปกครองก็กลับไปอยู่ในมือของรุ่ยอวี่ถังด้วย …ต่อให้วันหน้าเว่ยฉางเฟิงไม่อาจรับช่วงรุ่ยอวี่ถังได้ แต่เว่ยเซิ่งอี๋ที่ต่อสู้เพียงลำพังมาหลายปี เล่ห์เหลี่ยมและชั้นเชิงของเขาก็นับว่าไม่เลวเลย”
นางอวิ๋นจึงว่า “เช่นนั้นฮองเฮาทรงคิดจะเกลี่ยกล่อมฮ่องเต้ให้ทรงรับปากเขาหรือเพคะ?”
“จะว่าไปแล้วล้วนเป็นเพราะเรื่องของซ่งไจ้สุ่ยที่ถ่วงเวลาให้เรื่องล่าช้า” ฮองเฮากู้ขมวดคิ้ว กล่าวว่า “เดิมทีสวินเอ๋อร์ควรจะอภิเษกตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว เดือนสิบปีนี้เซินปั๋วก็จะอายุครบสิบหก แล้วให้เขาอภิเษกพระชายาเอกไปส่งเดชสักคน จากนั้นก็ส่งเข้าไปอยู่ในแคว้นศักดินาก็สิ้นเรื่องแล้ว ปรากฏว่าสวินเอ๋อร์เพิ่งจะได้อภิเษกเมื่อวานนี้ เซินปั๋วก็เอาแต่บอกว่าไม่กล้าล้ำหน้าพระเชษฐา จึงขืนรอจนบัดนี้ไม่ยอมไปเสียที! ดูท่าแล้วต่อจากนี้เขาก็ยังจะอ้างเอาเรื่องแต่งงานมายื้อเวลาต่อไป …และจริงๆ แล้วก็หาใช่ว่าเขาจะต้องแต่งกับเว่ยลิ่งเยวี่ยนั่นเสียให้จงได้”
ฮองเฮากล่าวเสียงหนัก “เพียงแต่ หากนางเติ้งสนใจซ่งซีเยวี่ยผู้นี้เพื่อเซินปั๋ว นางคิดทำสิ่งใดอยู่กันแน่? หรือว่าให้เซินปั๋วหันมาขอซ่งซีเยวี่ยมาเป็นชายาเอกแทน? ไม่ว่าจะเป็นเว่ยลิ่งเยวี่ยหรือซ่งซีเยวี่ยล้วนสามารถมาเป็นพระชายาท่านอ๋องได้ เพราะอย่างไรตำแหน่งขุนนางของบิดาพวกนางก็ไม่นับว่าต่ำนัก ทั้งยังเป็นบุตรสาวบ้านใหญ่ของตระกูลสูงศักดิ์ทั้งคู่! หากเปลี่ยนตัวเลือกแล้ว จะสามารถประวิงเวลาไปอีกได้อย่างไร?
แล้วถามว่า “เซินปั๋วเคยพบซ่งซีเยวี่ยมาก่อนหรือไม่? เขาสนใจนางหรือไม่?”
นางอวิ๋นบอกว่า “จะว่าไปก็ประหลาดนะเพคะ อีอ๋องไม่น่าจะเคยพบซ่งซีเยวี่ยมาก่อนเพคะ”
“ซ่งซีเยวี่ยผู้นี้ก็มิได้มีความเกี่ยวพันใดกับนางเติ้งนี่ …ต่อให้คิดจะใช้วิธีแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เพื่อผูกมิตรกับเซินปั๋ว ก็ควรจะเป็นเติ้งวานวานต่างหาก เหตุใดจึงเป็น ซ่งซีเยวี่ยเล่า?” ฮองเฮากู้ไตร่ตรองเป็นร้อยหนก็ยังไม่ได้คำตอบ จึงถามว่า “วานนี้มีสตรีสูงศักด์มามากมายเกินไป ข้ากลับจำไมได้ว่าซ่งซีเยวี่ยเป็นผู้ใด …นางอายุเท่าใด หน้าตาเป็นเช่นใด เจ้าลองพูดมาสักน้อยซิ!”
นางอวิ๋นจึงว่า “คุณหนูผู้นี้คล้ายวาอายุราวสิบหกปี? หน้าตางดงามนัก นางเป็น…” กำลังจะพรรณนาให้ละเอียด นางอวิ๋นพลันนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้ แล้วตบมือเบาๆ ไปหนหนึ่ง กล่าวว่า “กลับไม่ต้องอธิบายให้ยากแล้วเพคะ มีตัวอย่างให้ใช้เปรียบเทียบอยู่แล้ว ฮองเฮายังทรงจำฮูหยินเว่ย….เว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นภรรยาของเสิ่นจั้งเฟิงได้หรือไม่เพคะ?”
ฮองเฮากู้พยักหน้าบอกว่า “ว่าที่นายผู้หญิงของตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง ข้าย่อมจำนางได้”
“ซ่งซีเยวี่ยผู้นั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งอาหญิงของเว่ยฉางอิ๋งเพคะ ทั้งสองคนมีหน้าตาคล้ายกันมาก ประหนึ่งเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกันทีเดียว” นางอวิ๋นกล่าว “ทว่า ซ่งซีเยวี่ยเป็นคนสำรวมเรียบร้อย แต่ไม่งดงามเท่าฮูหยินเว่ยเพคะ”
“เหมือนเว่ยฉางอิ๋งรึ?” ฮองเฮากู้แย้มยิ้ม กล่าวว่า “กลับเป็นคนงามคนหนึ่ง เพียงแต่เซินปั๋วก็มิใช่ว่าไม่เคยพบเห็นหญิงงาม แต่กลับไปหมายตาเพียงเว่ยลิ่งเยวี่ยคนเดียว…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฮองเฮาพลันมีสีหน้าคล้ายว่ามีความคิดบางอย่าง ผ่านไปพักใหญ่จึงว่า “ข้าจำได้ว่า ในงานมงคลหลายงานในเมืองหลวงช่วงครึ่งปีหลังมานี้ ดูเหมือนนางเติ้งจะส่งเหยาเถาไปร่วมงานสองงานใช่หรือไม่?”
นางอวิ๋นไม่เข้าใจความหมายของนาง จึงเอ่ยไปตามตรงว่า “สองงานเพคะ พระธิดาเฉิงเสียนแห่งจวนรุ่นอ๋องออกเรือน และยังไปงานเลี้ยงวันออกเรือนของคุณหนูรองตระกูลซู เพี่อให้เกียรติแม่เฒ่าเติ้งแห่งตระกูลซูเพคะ”
“แล้วคุณหนูใหญ่ ตระกูลซูเล่า?” ฮองเฮากู้ย้อนถาม “คุณหนูสองคนแห่ง ตระกูลซูออกเรือนกันก่อนหลังตามลำดับ คุณหนูใหญ่ออกเรือนแต่นางเติ้งก็ไม่ได้ให้เหยาเถาไป กลับกันพอคุณหนูรองออกเรือน นางกลับให้เหยาเถาไป? เจ้าไม่คิดว่าน่าสงสัยรึ?”
นางอวิ๋นตกใจ กล่าวว่า “ได้ยินมาว่าบ้านใหญ่และบ้านสามของตระกูลซูขัดแย้งกันยิ่งนักเพคะ…”
“ก่อนนี้ก็ไม่เห็นว่านางเติ้งจะสนิทสนมอันใดกับตระกูลซู” ฮองเฮากู้ยิ้มเยาะพลางว่า “แม้ฮ่องเต้ไม่โปรดออกว่าราชการ ทว่าความเป็นไปส่วนใหญ่ทั้งในวังนอกวังก็ทรงเข้าพระทัยดี! นางเติ้งเป็นลูกผู้น้องแท้ๆ ของฮ่องเต้ แล้วนางจะไม่เข้าใจฮ่องเต้เป็นอย่างดีอีกหรือ? แม้ฮ่องเต้ทรงเอื้อประโยชน์ให้ตระกูลสูงศักดิ์ แต่ความจริงแล้วกลับทรงคอยป้องกันพวกเขาเสมอมา! หากนางเติ้งจะคบค้ากับตระกูลสูงศักดิ์อย่างสนิทสนม ฮ่องเต้จะยังเชื่อใจนางได้อีกที่ใด? ประสาอะไรที่ในเมื่อตระกูลซูกำลังมีการต่อสู้กันภายในและยังไม่ปรากฏผลลัพธ์ด้วย แล้วนางจะเข้าไปแทรกแซงทำสิ่งใด? ซูผิงจ่านผู้นั้นไปหาเรื่องง่ายๆ ได้รึ! จึงจะยอมให้นางเติ้งเข้าไปบงการให้ทายาทของเขาห้ำหันกันเองได้!”
ฮองเฮาเอ่ยนิ่งๆ ว่า “พระชายารุ่นอ๋องเกิดในสายของรุ่ยอวี่ถัง เมื่อพระธิดาเฉิงเสียออกเรือน โดยพื้นฐานแล้วคนในรุ่ยอวี่ถังล้วนถูกเชิญไปที่จวนรุ่นอ๋องกระมัง? ซ่งซีเยวี่ยผู้นี้จะต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่!”
นางอวิ๋นตะลึง กล่าวว่า “ฮองเฮาทรงหมายความว่า นางเติ้งเริ่มหมายตาซ่งซีเยวี่ยตั้งแต่ที่จวนรุ่นอ๋องหรือเพคะ? การที่วันต่อมา คนของนางไปแสดงความยินดีที่จวนซูในวันออกเรือนของคุณหนูรองตระกูลซู ก็เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น จุดประสงค์ที่แท้จริงก็เพื่อไปดูตัวซ่งซีเยวี่ย?”
นางเอ่ยอย่างสงสัยว่า “เพียงแต่ไม่ว่าจะว่ากันเรื่องรูปโฉมหรือวิชาความรู้ของซ่งซีเยวี่ย …แม้จะไม่เลว แต่ก็คล้ายว่าไม่ได้ดีจนต้องให้นางเติ้งสนใจถึงขั้นนี้นี่เพคะ?”
“เจ้าลืมไปประเด็นหนึ่งแล้ว!” ฮองเฮากู้ยิ้มเย็นเฉียบ ยักมือขึ้นมากุมขมับ แล้วว่า “อาจเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดด้วย! ซ่งซีเยวี่ยผู้นี้มีหน้าตาคล้ายเว่ยฉางอิ๋ง ลูกผู้พี่ของนางเป็นอย่างมาก!”
นางอวิ๋นตกตะลึงยกใหญ่ แล้วเร่งใคร่ครวญอย่างรวดเร็วจึงโพล่งออกไปว่า “หรือว่า อีอ๋องเขา…ทว่าอีอ๋องคล้ายว่าไม่เคยพบฮูหยินเว่ยมาก่อนกระมังเพคะ? เว่ยลิ่งเยวี่ยที่อีอ๋องไปหมายตาก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้หน้าตาคล้ายกับเว่ยฉางอิ๋ง…”
“เซินปั๋ว?” ฮองเฮากู้หรี่ตาลง กล่าวว่า “ผิดแล้ว! ไม่ใช่เขา! เป็นเติ้งจงฉี! เจ้าลืมแล้วหรือ? ฤดูใบไม้ร่วงปีก่อนพวกของเติ้งจงฉีนำพระราชโองการไปรับญาติของนางจงที่ชิงโจว ต้องผ่านเขาไผ่น้อยซึ่งอยู่นอกตัวเมืองเฟิ่งโจว และต้องพักค้างที่นั้นด้วยฝนตกหนัก และพอดีได้คนของรุ่ยอวี่ถังที่ไปพักบนเขาชั่วคราวช่วยเหลือเอาไว้ วันรุ่งขึ้นก่อนออกเดินทางก็เป็นเติ้งจงฉีและกู้อี้หรานขึ้นเขาไปขอบคุณและอำลา …และด้วยเหตุนี้นี่เอง เติ้งจงฉียังช่วยชีวิตเว่ยฉางอิ๋งที่กำลังนั่งพักอยู่ในศาลาไผ่นอกเรือนด้วย! ตามที่ได้ยินมา ครั้งนั้นเมื่อเว่ยฉางอิ๋งพบงูเขียวหางไหม้ที่อยู่ใกล้กับตนเพียงคืบก็ตกใจอย่างหนัก และยังให้สาวใช้ไปรั้งตัวเติ้งและกู้สองคนเอาไว้ หลังจากจัดแจงหน้าผมเสื้อผ้าแล้วก็เข้าไปขอบคุณด้วยตนเอง! ไม่แน่ว่า ครานั้นเติ้งจงฉีอาจเคยเห็นหน้าตาของเว่ยฉางอิ๋งมาก่อน… กระทั่ง ยังเกิดรักแรกพบกับนาง! หาไม่แล้ว นางเติ้งก็ไม่ได้ไปแสดงความยินดีที่พระธิดาเฉิงเสียนออกเรือนที่จวนรุ่นอ๋องด้วยตัวเอง คนที่ไปก็มีเพียงเหยาเถาและเติ้งวานวาน! ก็คงจะเป็นเพราะในวันที่ไปจวนรุ่นอ๋อง เหยาเถาเองก็ไม่เคยพบซ่งซีเยวี่ยมาก่อน เกรงว่าจะเป็นเติ้งวานวานเป็นคนบอก วันต่อมานางเติ้งจึงได้ส่งเหยาเถาไปดู เพื่อพิสูจน์คำพูดของเติ้งวานวาน แล้วถือโอกาสในวันอภิเษกของสวินเอ๋อร์วานนี้…”
นางอวิ๋นตาค้างปากสั่น เนิ่นนานจากนั้นจึงพูดออกมาได้ว่า “หากเป็นดังนี้ ฮองเฮาเพคะ พวกเรา?”
“โอกาสที่ดีเช่นนี้ จะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร?” ริมฝีปากของฮองเฮากู้โค้งขึ้นน้อยๆ ยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งพลางเอ่ยไป
______________________