ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 164-2 สรรพสิ่งล้วนอนิจจัง
ฮูหยินซูจึงทำได้เพียงกำชับสะใภ้ไปหนแล้วหนเล่าว่าต้องระวังรักษาตัวให้มาก แล้วทอดถอนใจว่าสรรพสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง บอกว่าเว่ยเจิ้งอี๋กำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ อายุของนางตวนมู่ภรรยาเอกของเขาก็ยังไม่นับว่ามาก ปกติแล้วไม่เคยได้ยินมาก่อนว่านางเคยเชิญท่านหมอหรือแพทย์หลวงไปที่จวนบ่อยครั้ง เห็นได้ว่าสุขภาพนางแข็งแรงไม่เลวเลย …ดีๆ อยู่ เหตุใดจึงมาเสียไปเสียแล้ว?
เว่ยฉางอิ๋งและเหล่าสะใภ้ย่อมต้องสำทับแม่สามีไปว่าสรรพสิ่งล้วนอนิจจัง …แต่ผู้ใดก็ล้วนคิดไม่ถึงว่า อีกไม่ถึงสองวัน กลับยังมีเรื่องอนิจจังยิ่งกว่านี้รอคนบ้านเสิ่นอยู่
พระมารดาจี้อ๋องสิ้นแล้ว!
พระมารดาจี้อ๋องมีชาติกำเนิดต่ำต้อยนัก ใกล้เคียงกับท่านหญิงเจินอี้ และสนมเสี่ยวอี๋แซ่จง …ล้วนเป็นบุตรสาวของบ้านที่ยากจน จึงเข้าวังมาเป็นนางกำนัล อาศัยรูปโฉมที่งดงาม ด้วยสาเหตุนานา และมีแต่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เท่านั้น จึงจะรู้จักวิธีหาโอกาสให้ไปเข้าพระเนตรของฮ่องเต้ และไต่เต้ามาจนได้เป็นสนมนางใน
แต่เพราะนอกจากความงามแล้วก็ไม่มีข้อดีอื่นที่สามารถดึงดูดพระทัยฮ่องเต้เอาไว้ได้ ฉะนั้นวันคืนที่พวกนางเป็นที่รักใคร่จึงไม่ยาวนาน ตลอดหลายสิบปีมานี้ มีสนมที่งดงามดังดอกไม้บานเช่นนี้ในตำหนักหลังมากมายนัก พระมารดาจี๋องนับว่ามีวาสนาดีแล้ว ในวันคืนแสนสั้นที่นางเป็นที่โปรดปรานก็ยังตั้งครรภ์ได้อย่างราบรื่น ยิ่งไปว่านั้นยังสามารถคลอดจี้อ๋อง พระราชโอรสองค์ที่สามได้อย่างปลอดภัย
แม้จะพูดได้ว่าพระราชธิดาและพระราชโอรสของฮ่องเต้ในเวลานี้มีอยู่นับสิบ ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายหรือว่าองค์หญิงล้วนไม่ได้ขาดแคลนอันใด แต่ในขณะนั้น ฮ่องเต้เพิ่งจะมีพระราชโอรสสองพระองค์ จึงยังคงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่งเมื่อโอรสองค์ที่สามพระองค์นี้ประสูติออกมา อย่างไรก็ดี แม้จะมีพระโอรส แต่พระมารดาจี้อ๋องก็ไม่ได้กลับมาเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้อีก ทว่าก็ยังได้พระยศเป็นนางในชั้นสาม และให้นางเป็นคนเลี้ยงดูจี้อ๋องเอง… จากนั้นรอจนจี้อ๋องเติบโตและอภิเษกแล้วจึงได้ไปปกครองในแคว้นศักดินา พระมารดาจี้อ๋องซึ่งไม่เป็นที่โปรดปรานในวังมานานปี ที่สุดจึงติดตามพระโอรสไปที่แคว้นศักดินาอย่างสะดวกโยธิน และได้เป็นพระมารดาท่านอ๋องที่มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายมีอิสระเสรี
เพียงแต่เมื่อจี้อ๋องถูกเรียกตัวให้กลับมาเมืองหลวง นางจึงเพิ่งติดตามพระโอรสกลับมาเข้าเฝ้าฯ ฮ่องเต้และฮองเฮาคราวหนึ่ง พระมารดาจี้อ๋องมีชาติกำเนิดไม่สูงส่งทั้งยังไม่เคยเป็นสนมชั้นสูงแม้สักวันสองวัน ฉะนั้นเมื่อมาอยู่ต่อพระพักตร์ฮ่องเต้และฮองเฮา… ซึ่งหมายถึงต่อหน้าฮองเฮาทุกพระองค์ในรัชกาลปัจจุบันด้วย นางก็ล้วนระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง หลังจากเป็นพระมารดาท่านอ๋องแล้ว ซึ่งทุกครั้งที่กลับมาเมืองหลวงก็ต้องเข้าไปเข้าเฝ้าฯ ถวายงานฮ่องเต้และฮองเฮาเช่นเดิม
ฉะนั้น แม้จะเป็นเพราะนางชราแล้วความงามร่วงโรย ซึ่งยิ่งทำให้ฮ่องเต้ไม่โปรดปรานนางอีก และเพราะมีพระราชโอรสและพระนัดดามากมาย จึงไม่นับว่าสนพระทัยจี้อ๋องมากมายนัก ทว่าความทรงจำที่มีต่อจี้อ๋องแม่ลูกตลอดมาก็ยังคงไม่เลวเลย
ประเด็นก็คือ มีปีหนึ่ง ครั้งฮ่องเต้ทรงอารมณ์ดี ทรงรับปากว่าหากพระมารดาจี้อ๋องสิ้นพระชนม์แล้วก็จะพระราชทานพระเกียรติให้ฝังในสุสานหลวงด้วย
ครั้งนั้น พระมารดาจี้อ๋อง ‘ทรงดีพระทัยจนร่ำไห้ หมอบตัวลงกราบกรานตรงบัลลังก์ บอกว่าหากต้องสิ้นลม ชีวิตนี้ก็ไร้เรื่องเสียใจแล้ว’
…หากพระมารดาท่านอ๋องพระองค์นี้สิ้นพระชนม์ที่แคว้นศักดินาแล้ว ก็ย่อมต้องจัดพิธีพระศพที่แคว้นศักดินา และไม่ต้องให้ทางเมืองหลวงต้องวุ่นวายเรื่องใด อย่างมากที่สุด เมื่อจะฝังพระศพจี้อ๋องก็เพียงถวายฎีกาขอให้ฮ่องเต้ทรงทำตามสัญญาแต่คราก่อน โดยให้เขาส่งโลงของพระมารดาเข้าในสุสานหลวงเท่านั้น
แต่เวลานี้ พระมารดาจี้อ๋องสิ้นพระชนม์ที่เมืองหลวง และอย่างไรก็เป็นผู้ที่เคยถวายงานฮ่องเต้มาก่อน อีกทั้งแคว้นศักดินาของจี้อ๋องก็ไม่ได้อยู่ใกล้เมืองหลวง และที่นั่นก็มิได้เป็นบ้านเดิมของพระมารดาจี้อ๋องด้วย …ย่อมไม่อาจให้จี้อ๋องและพระชายาหอบโลงกลับไปจัดงานพระศพที่แคว้นศักดินา จากนั้นเมื่อจัดงานพระศพเสร็จสิ้นแล้วจึงค่อยเอาโลงมาฝังที่สุสานหลวงซึ่งมีระยะห่างจากเมืองหลวงหนึ่งวันหนึ่งคืนกระมัง?
ฮ่องเต้ทรงเห็นแก่ที่พระมารดาจี้อ๋องอ่อนน้อมถ่อมตนมาโดยตลอด เมื่อกลับมาครานี้ก็ยังถวายภาพปักอายุยืนยาวที่มีความยาวถึงเก้าจั้ง ซึ่งเป็นภาพปักที่พระมารดาจี้อ๋องเริ่มปักด้วยตนเองนับตั้งแต่พระโอรสทรงไปอยู่ที่แคว้นศักดินา ต้องใช้เวลาทั้งสิ้นสิบกว่าปีจึงสำเร็จ ครานี้จึงตั้งใจนำมาถวายเป็นการพิเศษ …เรื่องระหว่างนั้นไม่มีผู้อื่นเอ่ยปาก คนภายนอกก็ไม่รู้แน่ชัดนัก สรุปก็คือ ฮ่องเต้ทรงพระราชทานอนุญาตให้จี้อ๋องจัดงานพระศพของพระมารดาที่จวนจี้อ๋องในเมืองหลวง ทั้งยังสั่งให้พระโอรสและพระธิดาในเมืองหลวงไปถวายอาลัยกับพระมารดาอีกพระองค์ผู้นี้ด้วย
ดังนั้นหลังจากเว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่ท่านอาสะใภ้ไปไม่ถึงสองวัน ทุกคนในจวนเสิ่นล้วนต้องปลดเครื่องประดับงดงาม และถอดชุดเสื้อผ้าหรูหรางดงามออก แล้วมาสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายเพื่อไปร่วมงานไว้อาลัยที่จวนจี้อ๋อง
หาว่ากันโดยทั่วไปแล้วนี่ก็เพียงแค่แม่สามีเสีย แต่เสิ่นจั้งซิ่วซึ่งเป็นพระชายาจี๋อ๋องกลับดูโศกเศร้าเสียใจเสียยิ่งกว่าพวกของหมิ่นเหยามากมายนัก ก่อนที่พวกของฮูหยินซูจะไปถึง นางก็ร้องไห้เสียจนแทบจะหมดสติ เมื่อฮูหยินซูไปถึงเสิ่นจั้งซิ่วก็เข้ามาร่ำไห้ในอกมารดา คนที่พบเห็นไม่มีใครไม่สะเทือนใจ ต่างพากันบอกว่าพระชายาท่านอ๋องช่างกตัญญูนัก
ในเดือนสิบสอง เสิ่นจั้งซิ่วติดตามจี้อ๋องมาที่เมืองหลวงและหาเวลาว่างมาเยี่ยมบ้านมารดาครั้งหนึ่ง คราวนั้นเว่ยฉางอิ๋งก็ไปพบนางที่เรือนหลักมาด้วย พี่สาวคนโตบ้านสามีผู้นี้มีหน้าตาละม้ายฮูหยินซู แต่กลับเป็นคนอ่อนโยนกว่าฮูหยินซูมากนัก เหมือนแม่เฒ่าเติ้งท่านยายของนางมากๆ ก่อนนี้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกตำหนิที่ฮูหยินซูเอาแต่คิดถึงบุตรสาวคนโตเป็นนักหนา แต่กลับลงมือตบตีเสิ่นจั้งหนิงบุตรสาวคนเล็กหนแล้วหนเล่า รอจนนางได้พบกับเสิ่นจั้งซิ่วเอง ก็ไม่อาจไม่ทอดถอนใจว่าพี่สาวสามีผู้นี้เป็นคนที่ทำให้ใครๆ รักจริงๆ …นางเป็นคนใจดีเหมือนแม่เฒ่าเติ้งเช่นนั้น ขอเพียงไม่ใช่คนที่มีนิสัยแปลกประหลาดเกินไปล้วนไม่มีทางไม่ชอบนาง
เวลานี้เห็นนางร่ำไห้ด้วยความเสียใจ คนที่มาถวายความอาลัยล้วนพากันเศร้าสร้อยไปตามๆ กัน ทั้งเว่ยฉางอิ๋งและคนอื่นๆ ที่ติดตามฮูหยินซูมา ต่างเข้าไปปลอบโยนนาง และเพราะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งมา พวกนางจึงขยับไปข้างๆ และไปดื่มน้ำชากับเหล่าสตรีชั้นสูงที่มาร่วมถวายอาลัย
ในศาลาที่กำลังดื่มน้ำชากันอยู่มีเสียงกระซิบกระซาบ เว่ยฉางอิ๋งตั้งใจฟังกลับเป็นคำพูดดีๆ ต่อพระมารดาจี้อ๋องทั้งสิ้น
เว่ยฉางอิ๋งเคยเห็นพระมารดาจี้อ๋องอยู่ไกลๆ ครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงพระราชทานในวันสิ้นปี จึงจดจำพระมารดาท่านอ๋องผู้นี้ไม่ใคร่ได้ เวลานี้มาได้ยินว่าทุกคนต่างบอกว่าพระมารดาท่านอ๋องเป็นคนดี พระชายาจี้อ๋องก็กตัญญู แต่เพราะผู้วายชนม์เป็นคนมีฐานะยิ่งใหญ่ ทั้งยังอยู่ในจวนจี้อ๋อง คิดว่าคงไม่มีคนกล้าพูดคำพูดไม่ดีออกมา เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ทว่าฟังได้ไม่กี่คำ ไกลออกไปก็มีคนเอ่ยคำที่ฟังดูน่าเสียใจขึ้นมาเบาๆ ว่า “พระมารดาท่านอ๋องที่ดีเพียงนั้น ขอเพียงเป็นคนมีหัวจิตหัวใจ ผู้ใดมาเป็นพระชายาท่านอ๋องแล้วจะไม่รักนางเหมือนกับมารดาแท้ๆ เล่า?”
แล้วเอ่ยถึงเรื่องที่พระมารดาจี้อ๋องทำดีกับเสิ่นจั้งซิ่วว่า ได้ยินว่าเมื่อจี้อ๋องไปถึงแคว้นศักดินาได้ไม่นาน มีคนในแคว้นศักดินานำสนมงามสองนางมาถวายให้ ซึ่งมีพร้อมไปด้วยรูปโฉมและความสามารถ ทั้งงามเป็นเลิศ เมื่อจี้อ๋องได้พบก็โปรดปรานนัก หลังจากรับพวกนางเข้าจวนแล้วก็กลับเย็นชากับพระชายา กระทั่งฟังคำยุยงของสนมงามคนหนึ่งในนั้น และมาหาความกับพระชายาเป็นนักหนา
ปรากฏว่าเมื่อพระมารดาจี้อ๋องทรงทราบ จึงเรียกจี้อ๋องมาพา และตำหนิเขาว่า “พระชายาเป็นถึงบุตรสาวตระกูลใหญ่โต ได้รับการอบรมมาอย่างดีแต่เล็กแต่น้อย แล้วกริยาวาจาของนางจะไร้เหตุผลรึ? หากเป็นดังนี้ เมื่อคนทั่วหล้าแต่งภรรยา ไยต้องเลือกตระกูลเลื่องชื่อเป็นอันดับแรก? ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าชื่นชอบสนมงาม ก็มิใช่เพียงเพราะความงาม ความงามมีวันโรยรา แล้วเจ้ายังจะชื่นชอบพวกนางต่อไปอีกหรือ? แต่พระชายาเป็นภรรยาเอกของเจ้า แม้อายุจะมากความงามถดถอย แต่ก็ยังคงเป็นพระชายา ฉะนั้นพระชายาไยต้องลดตัวไปกลั่นแกล้งสนมงาม นี่ต้องเป็นพวกสนมงามริษยาพระชายา จึงจงใจใส่ความนาง”
ดังนี้แล้วจึงทำให้จี้อ๋องเข้าใจขึ้นมา และยกสนมงามให้บ่าวไปเสีย
พระมารดาจี้อ๋องบอกกับจี้อ๋องอีกว่า “คนที่ถวายสนมงามมาให้เจ้าก็ไม่อาจไม่ไปจัดการด้วย สนมงามทั้งสองล้วนผ่านการสอนสั่งเรื่องกริยามารยาท ร้องเพลงเต้นระบำ ทั้งศิลปะด้านอื่นๆ แต่สิ่งเดียวที่คนผู้นั้นไม่สอนสั่งพวกนางมาก็คือให้เคารพต่อพระชายา เห็นชัดว่าทำเพราะจงใจ หวังอาศัยสนมงามที่เจ้ารักใคร่ยุยงให้เจ้าหลงอนุทิ้งภรรยา! เพื่อให้ตนเองได้มาซึ่งความร่ำรวยลาภยศ คนเช่นนี้มีเจตนาร้าย ต้องลงทัณฑ์ ยิ่งไปกว่านั้นนับแต่นี้ไปต้องอยู่ให้ไกลจากเขาด้วย”
เว่ยฉางอิ๋งได้ฟัง แอบคิดว่ามิน่าเล่าเสิ่นจั้งซิ่วจึงได้เสียใจเพียงนี้ ส่วนหมิ่นเหยาสองสะใภ้กลับร้องไห้หน้าโลงศพอย่างไม่ได้เสียอกเสียใจอันใด ที่แท้แล้ว แม่สามีและสะใภ้มิได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ผูกพันเพราะการอยู่ร่วมกันต่างหาก
_________________________