ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 167-2 ชัยชนะยิ่งใหญ่
เสิ่นหยิวเจี่ยแอบคิดในใจว่า ข้าก็ว่ามาดังนี้แล้ว อย่างไรเจ้าก็คงจะมีเหตุผลไปไล่สังหารมู่ซิวเอ่อร์แล้วกระมัง?
แต่ปรากฏว่าเสิ่นจั้งเฟิงนิ่งไตร่ตรองอยู่เป็นนานก็ยังคงส่ายหน้า แล้วว่า “เวลานี้อากาศหนาวเย็นเกินไป และพวกเราก็ไม่คุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศแบบทุ่งหญ้าเท่าพวกตี๋ หากไปไล่สังหารมู่ซิวเอ่อร์ในยามนี้ก็เกรงว่าจะถูกซุ่มโจมตีได้โดยง่าย อีกประการหนึ่ง เขาเป็นสุนัขจนตรอก เพราะครานี้พวกเราก็มิใช่เพียงกำจัดทหารม้าชั้นเลิศชาวตี๋ไปได้ห้าร้อยนาย และพวกตี๋ที่เรารวบรวมจากรอบกระโจมอ๋องก็ยังได้มาหลายพันคน นี่ยังไม่นับชนเผ่าน้อยใหญ่ที่กระจายตัวอยู่บนทุ้งหญ้าอีก เมื่อรู้ว่ากระโจมอ๋องถูกโจมตี ชนเผ่าต่างๆ ที่เดิมทีมิได้มาร่วมพวกกับกระโจมอ๋องย่อมต้องมาช่วยเหลือในเวลาค่ำคืน! ตามความเห็นของข้าแล้ว อย่างไรก็ควรไปเฝ้าที่ตำบลตงเหอเอาไว้ คอยเตรียมการป้องกันอย่างเต็มที่ แล้วค่อยส่งกองสอดแนมไปสืบดูสถานการณ์ จากนั้นค่อยมาวางแผนอีกครั้ง”
เสิ่นหยิวเจี่ยพลันขมวดคิ้ว แต่กลับมิใช่ว่าเขาร้อนใจจะประจบเอาใจท่านอาร่วมตระกูลผู้นี้กระทั่งอดรนทนไหว จึงพยายามช่วยหาเหตุผลให้เสิ่นจั้งเฟิงอย่างสุดแรงเกิด ทว่าเป็นเพราะเขามีฐานที่มั่นอยู่ที่ชายแดนมานานปี เคยพบเห็นชาวเว่ยซึ่งเป็นถึงเพื่อนพ้องและญาติมิตรของตนเองจำนวนไม่รู้เท่าใดต่อเท่าใดที่ต้องถูกพวกตี๋สังหาร เขาจึงมีความแค้นกับพวกตี๋ลึกล้ำเสียงยิ่งกว่าทะเลลึก
ครานี้เขาไม่อาจทำการได้เต็มความสามารถ เสิ่นหยิวเจี่ยจึงรู้สึกดังไฟแผดเผาอยู่ในทรวง หากมิใช่เพราะฐานะของเสิ่นจั้งเฟิงสำคัญเหลือคณา เพื่อทำให้พวกตี๋หลงกล แม้พวกลูกน้องที่ติดตามเสิ่นจั้งเฟิงไปจะเป็นยอดฝีมือที่คัดเลือกจากยอดฝีมือของ ‘จี๋หลี’ ทว่ากลับมีจำนวนไม่มาก เสิ่นหยิวเจี่ยจึงไม่กล้ามาช่วยเขาล่าช้าเกินไป ดังนั้นแล้วตามความเห็นของเขา เมื่อมู่ซิวเอ่อร์อาศัยนักรบผู้ห้าวหาญของตนพาหนีออกไป แต่ไม่ว่าจะว่าอย่างไรก็ต้องตามไล่ล่าสังหารให้ถึงที่สุด!
เดิมทีนึกว่าเสิ่นจั้งเฟิงอายุยังน้อยเลือดร้อน อุตส่าห์ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อแต่ก็ยังต้องเสียท่า ต้องทนรับไม่ไหวแน่ ครานี้หลังจากเก็บกวาดสนามรบเรียบร้อยแล้ว พักสักหน่อยให้เรี่ยวแรงฟื้นคืนก็จะขอให้ไล่ตามต่อ เสิ่นหยิวเจี่ยอุตส่าห์สั่งให้ลูกน้องที่ตนพามาเตรียมตัวตามไปโจมตีเอาไว้แล้ว แม้แต่ที่นั่งในเลื่อนหิมะของเสิ่นจั้งเฟิงก็ยังเตรียมเอาเรียบร้อยแล้วด้วย …แต่กลับไม่คิดว่าไม่ว่าเขาจะเตือนอย่างอ้อมค้อมสักกี่หนเสิ่นจั้งเฟิงก็กลับไม่ยอมรับคำ
แม้จะบอกว่าเสิ่นหยิวเจี่ยมีตำแหน่งสูงกว่าเสิ่นจั้งเฟิง แต่เสิ่นจั้งเฟิงมีฐานะที่พิเศษอย่างยิ่ง ก่อนเสิ่นจั้งเฟิงจะมาถึงซีเหลียง เขาก็ได้รับคำสั่งว่าต้องคอยช่วยเสิ่นจั้งเฟิงสร้างผลงาน …ห้ามให้แพ้หลิวยิ้วเจ้าที่ไปที่ตงหูโดยเด็ดขาด!
เวลานี้เสิ่นจั้งเฟิงไม่ยอมรับปากว่าจะอาศัยโอกาสที่มีชัยแล้วตามไปโจมตีต่อ เสิ่นหยิวเจี่ยจึงไม่อาจบีบให้เขาไปด้วยได้ ทว่าบริเวณนี้ก็ไม่ปลอดภัย หากทิ้งคนทั้งหมดเอาไว้คุ้มครองเสิ่นจั้งเฟิง แล้วเขาจะเอาสิ่งใดไปไล่สังหารมู่ซิวเอ่อร์เล่า? แต่หากพาคนไปหมด แล้วเสิ่นจั้งเฟิงเกิดเรื่องขึ้นมา ต่อให้เขาสังหารมู่ซิวเอ่อร์สิบคนก็ยังชดใช้ไม่หมดเลย!
หากแผนล่อเสือออกจากถ้ำครานี้มิใช่เสิ่นจั้งเฟิงเป็นคนเสนอเอง ทั้งยังเสี่ยงอันตรายเป็นตัวล่อเองด้วย เสิ่นหยิวเจี่ยจะต้องสงสัยแน่ๆ ว่าท่านอาสามในตระกูลสายหลักผู้นี้ไม่ยอมไปตามล่าเพราะขี้ขลาดใช่หรือไม่?
เขาใคร่ครวญหลายหนแต่ก็ไม่เข้าใจจนรู้สึกกลุ้ม จวบจนกำลังพลไปถึงตำบลตงเหอ แม่ทัพรักษาพื้นที่อยู่ที่นั่นได้ยินข่าวก็ตระเตรียมที่พักเอาไว้ให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว ทว่า ถึงแม้แม่ทัพรักษาพื้นที่จะรู้ว่าเสิ่นหยิวเจี่ยและเสิ่นจั้งเฟิงจะมา และพยายามเตรียมการอย่างสุดกำลังแล้ว แต่จนใจเหลือที่ตำบลตงเหออยู่ติดชายแดนตี๋ จึงมักถูกรุกรานอยู่บ่อยครั้ง นอกจากบ้านเรือนในตำบลมีเก้าในสิบหลังที่ว่างเปล่าแล้ว ด้วยเหตุที่มีการสู้รบมานานปี ห้องพักที่พร้อมสรรพก็มีอยู่ไม่มาก
แม่ทัพรักษาพื้นที่จึงแบ่งพื้นที่บ้านของตนเองให้พวกเขาพัก ทว่าก็ทำได้เพียงให้ เสิ่นหยิวเจี่ยและเสิ่นจั้งเฟิงใช้โถงกลางร่วมกัน และแบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนตะวันตกและตะวันออก เมื่อถูกนำไปถึงที่พัก เสิ่นหยิวเจี่ยไม่สนใจคำทักทายของแม่ทัพรักษาพื้นที่ กลับปรี่เข้าเรือนไปก่อนด้วยสีหน้าหนักอึ้ง แล้วดื่มสุราฤทธิ์แรงไปสามจอกใหญ่ติดต่อกันในคราวเดียว จากนั้นก็สั่งให้คนนอกนั้นออกไป อาศัยฤทธิ์สุราไปไถ่ถามเสิ่นจั้งเฟิงอย่างขุ่นเคืองหนักหนาว่า “แผนการนี้ของท่านอา เป็นเพราะหลานไร้สามารถ จนทำให้มู่ซิวเอ่อร์และหนึ่งเหยี่ยวกระโจมอ๋องนี้รอดไปได้ แต่ยามนี้เรามีชัย ทั้งยังเรียกได้ว่าเป็นชัยชนะใหญ่หลวง เพียงพอจะทัดเทียบชัยชนะใหญ่หลวงที่เฟิ่งโจวเมื่อปีที่แล้วทีเดียว! เวลานี้กองทัพของเรากำลังฮึกเหิมด้วยชัยชนะใหญ่ครานี้ จึงควรเร่งไล่ล่าไปสังหารให้สิ้นซาก! แต่ท่านอาไยยังห่วงหน้าพะวงหลังเช่นนี้?”
คำกล่าวนี้เมื่อผู้สอบถามมีฐานะเป็นหลานร่วมตระกูลก็ออกจะปีนเกลียวไปสักหน่อย ทว่าเสิ่นหยิวเจี่ยขัดเคืองจนยากสงบลงได้ หากไม่สอบถามให้กระจ่างก็ไม่อาจสบายใจได้จริงๆ
เสิ่นจั้งเฟิงเงยคอขึ้นดื่มของในจอกจนหมด ได้ยินคำถามนี้กลับมีรอยยิ้มจางๆ ออกมา กล่าวว่า “มิใช่เจ้าบอกว่าฐานะในเผ่าของมู่ซิวเอ่อร์ยังไม่มั่งคงหรือ?”
เสิ่นหยิวเจี่ยสะดุ้ง โพล่งเอ่ยไปว่า “เป็นดังนั้น แต่ว่า…”
“มู่ซิวเอ่อร์มีเล่ห์เหลี่ยมเหนือคน แม้ยามนี้พ่ายแพ้ แต่หากพวกเราไล่ตามไปทันใด เกรงว่าจะถูกเขาอาศัยโอกาสนี้ข่มขู่คนในเผ่า ทำให้คนในเผ่าไม่กล้าผลีผลามเปลี่ยนตัวข่าน เพื่อมิให้คนทั้งเผ่าต้องพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของพวกเรา!” เสิ่นจั้งเฟิงหรี่ตาลง แล้วหยิบผ้าปักสี่เหลี่ยมผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ เช็ดคราบสุราที่มุมปาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า “เมื่อเป็นดังนี้ ในทางกลับกันเมื่อพวกเราให้โอกาสเขารอดไป และตั้งฐานที่มั่นในตำบลตงเหอสักพัก นอกจากจะให้ทหารได้พักแล้ว ยังสามารถลองดูได้ว่าจะทำให้พวกตี๋ช่วยขุดรากถอนโคนมู่ซิวเอ่อร์ให้พวกเราได้หรือไม่!”
เมื่อได้ยินคำนี้ เสิ่นหยิวเจี่ยพลันตื่นตระหนกจนเหงื่อออกท่วมตัว กล่าวว่า “ท่านอาปราดเปรื่องนัก! หากพวกเราไล่ตามไปมู่ซิวเอ่อร์ต้องทำเช่นนี้แน่! แต่หากคิดไม่ถึงประเด็นนี้ ตาเฒ่า…เอ่อ…ตัวข้าก็เกือบจะทำให้เสียการใหญ่เสียแล้ว!”
เสิ่นจั้งเฟิงปลอบเขาว่า “ท่านมีความแค้นกับพวกตี๋เข้ากระดูกดำ เรื่องนี้จึงพอเข้าใจได้”
แม้หลังจากเสิ่นจั้งเฟิงอธิบายให้ฟังเสิ่นหยิวเจี่ยเองก็คิดว่าควรหยุดตามล่าไว้ชั่วคราวก่อน ทว่าเขาก็กลับมีเรื่องในใจมาเพิ่มอีก …จึงภาวนาต่อสวรรค์ว่าพอมู่ซิวเอ่อร์กลับไปถึงเผ่าก็ให้ถูกกำจัดโดยทันใดเถิด….
รอจนเสิ่นหยิวเจี่ยนอนหลับแล้ว เสิ่นเตี๋ยจึงยกน้ำเข้ามาที่ฝั่งตะวันออกเพื่อให้ เสิ่นจั้งเฟิงอาบน้ำล้างหน้า พร้อมกับมอบจดหมายของเสิ่นเซวียนให้แก่เขา “เพิ่งส่งมาถึงขอรับ”
เสิ่นจั้งเฟิงรับจดหมายมาแล้วเปิดอ่าน แรกเริ่มนั้นเขามีรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา กล่าวว่า “ปรากฏว่าเหนียนเล่อมู่ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!” จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “เรื่องของพี่หญิงรอง…กลับต้องคิดหาวิธีที่รอบคอบรัดกุมสักหน่อย…”
เมื่อมองเห็นสองบรรทัดสุดท้ายเขาก็แอบโล่งใจ คิดในใจว่า “ร่างกายของอิ๋งเอ๋อร์แข็งแรงดีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังตรวจจนแน่ชัดแล้วว่าเป็นลูกชาย… เป็นดังนี้ก็ดียิ่งแล้ว! ในสามปีนี้นางมีลูกคอยอยู่เป็นเพื่อนคงจะไม่เหงาแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ให้ความสำคัญกับทายาทผู้สืบสกุลนัก ต้องคอยดูแลนางเป็นอย่างดีแน่ แม้ยังมีสตรีชั้นสูงในเมืองหลวงบางคนมาหาเรื่องนาง ทว่าท่านแม่ก็จะต้องช่วยนางจัดการ…”
หลังจากปลื้มอกปลื้มใจพักหนึ่งแล้ว ก็เริ่มพินิจพิเคราะห์ขึ้นมาอีกครั้ง “นี่เป็นลูกชายคนแรกของข้า หากข้าอยู่ที่เมืองหลวง ก็ต้องตั้งชื่อให้เขาด้วยตัวเอง แต่เวลานี้คาดว่าท่านพ่อคงจะตั้งให้ อื่ม หรือว่าข้าจะตั้งชื่อเล่นสักชื่อ?”
เมื่อคิดถึงลูกที่ยังไม่ลืมตาดูโลก เสิ่นจั้งเฟิงก็รู้สึกว่าความดึงเครียดที่ตนเองไปเป็นเหยื่อล่อเมื่อตอนกลางวัน และความอ่อนล้าจากการรบราฆ่าฟันล้วนผ่อนคลายลงมาก เขาเริ่มหวนนึกถึงตำราเลื่องชื่อที่เขาเคยอ่านมา เริ่มพินิจพิเคราะห์อยู่ในใจว่าควรจะตั้งชื่อเล่นที่ทั้งเป็นมงคลและไพเราะให้ลูกชายคนนี้อย่างไรดี…
________________________