ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 175-2 แผนการเพื่อชีวิต (2)
คู่สะใภ้ทั้งสองตกลงกันดังนี้และทำตามนี้ด้วย พวกนางวางหลุมพรางอย่างเงียบกริบและรอให้เว่ยฉางเจวียนไปติดกับเอง
วันเวลาผ่านไปไม่ช้าไม่เร็ว
มาถึงต้นเดือนสาม อากาศอบอุ่นขึ้น ทุกแห่งในลานบ้านหน้าเรือนหลังมีแต่สีเขียวชอุ่ม ผลิใบออกดอกรับฤดูใบไม้ผลิ ดอกกล้วยไม้แตกรวง เป็นความงดงามของฤดูใบ้ไม้ผลิ
เว่ยฉางอิ๋งใกล้ถึงกำหนดคลอดแล้ว คนในเรือนจินถงล้วนตื่นเต้นกันขึ้นมา ท่านอา สาวใช้ บ่าวต่างๆ แบ่งกันเป็นสามกะ ผลัดกันมาคอยดูนางทั้งวันทั้งคืน ด้วยตื่นกลัวว่าจะเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น จี้ชวี่ปิ้งเองก็แทบจะมาตรวจชีพให้นางวันเว้นวัน … หมอเทวดาผู้นี้ย่อมรำคาญเป็นหนักหนา ต้องพูดคำกระแหนะกระแหนอยู่ไม่ขาด แต่ครานี้ไม่ว่าเว่ยเจิ้งอินหรือฮูหยินซูล้วนไม่มีแก่ใจไปถือสาเขา ทุกคนต่างพากันยิ้มแย้มให้เขา กลัวแต่ว่าจะดูแลไม่ทั่วถึง
แม้ว่าร่างกายของ เว่ยฉางอิ๋งจะแข็งแรง ทว่าแต่ไรมา เมื่อสตรีคลอดบุตรก็เท่ากับว่าขาข้างหนึ่งเหยียบไปในโลงศพแล้ว คนอื่นเขาคลอดมาตั้งหลายครั้งก็ยังรับประกันเรื่องเกิดคาดไม่ได้ จนถึงขั้นต้องถึงแก่ชีวิตขึ้นมา ยิ่งไม่ต้องบอกว่านี่เป็นท้องแรกของเว่ยฉางอิ๋งด้วย ว่ากันตั้งแต่นางหวงคนระดับบ่าวไปถึ ฮูหยินซูที่เป็นแม่สามี และเว่ยเซิ่งเซียน เว่ยเจิ้งอินท่านอาทั้งสองล้วนพากันเป็นห่วงนักหน้า แม้แต่เสิ่นเซวียนก็ยังคอยถามจากภรรยาคำหนึ่งทุกสามวันห้าวัน
ไม่ว่าจี้ชวี่ปิ้งจะพูดจาไม่เข้าหูอีกสักเท่าใด เขาก็บอกคำเดียวว่า ‘ไม่เป็นไร’ เพราะในวันนี้ จิตใจของทุกคนล้วนสามารถสงบลงได้แล้ว
และเพื่อให้จิตใจสงบดังนี้ ทุกคนจึงยอมอดทน!
ทุกคนเป็นห่วงเป็นใยหนักหนา เว่ยฉางอิ๋งเองก็จดจ่ออยู่ที่การระวังตัว กลัวว่าจะเกิดเรื่องเรือล้มเมื่อจอดเอาได้ จึงระมัดระวังประหนึ่งเป็นแผ่นน้ำแข็งบาง แต่จี้ชวี่ปิ้งก็ดันมาเตือนว่าสตรีใกล้คลอดห้ามคิดมาก …จึงทำได้แต่พยายามขจัดความกลัดกลุ้มไม่สบายใจอย่างสุดชีวิต
ในขณะที่กำลังพลิกมือขึ้นมาใช้นิ้วมือนับจำนวนวัน ทางตงหูกลับมีข่าวเรื่อง ชัยชนะที่ย่อยยับ…..ส่งกลับมา!
ชัยชนะที่ย่อยยับนั้น แม้จะเป็นชัยชนะ แต่ก็ต้องแลกมากับความเสียหายย่อยยับ… หากไม่นับแม่ทัพที่ประจำการอยู่ที่ตงหูอยู่แต่เดิมแล้ว ราชองครักษ์ทั้งห้าที่ไปสร้างความชอบที่ชายแดนก็ไม่มีแม้สักคนที่กลับออกมาอย่างปลอดภัย หลิวยิ้งเจ้าที่นับว่าเป็นเจ้าบ้านที่ตงหู ด้วยตระกูลหลิวส่งนักรบเดนตายมาคอยปกป้องอยู่ข้างกายเขา นักรบเดนตายต้องบาดเจ็บล้มตายจนแทบไม่หลงเหลือแลกกับการที่เขาได้รับบาดเจ็บเบาที่สุด ทว่าก็ต้องธนูไปสองดอก หนึ่งในสองดอกนั้นก็อยู่ห่างจากหัวใจไปเพียงครึ่งชุ่นเท่านั้น จึงสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ เฉียนเลี่ยนและตวนมู่อู๋ยิวต่างต้องธนูคนละสองดอก และยังต้องดาบได้บาดแผลไม่เบาเลยทั้งที่แขนและที่ขาอีก หนึ่งในนั้น บนดาบที่ฟันถูกตวนมู่อู๋ยิวยังอาบยาพิษเอาไว้ด้วย ดีที่ตระกูลหลิวต้านการรุกรานของพวกหรงมานานปี พิษส่วนใหญ่ที่พวกหรงใช้พวกเขาล้วนเตรียมยาถอนพิษเอาไว้แล้ว จึงสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้
แต่ทั้งสามคนนี้ยังนับว่าดีแล้ว เพียงแค่ต้องรักษาและพักฟื้นที่ตงหูเท่านั้น
ทว่า เผยไค่และซูอวี๋อู่กลับกำลังอยู่ในขั้นวิกฤต!
นั่นก็เพราะบาดแผลที่ต้องพิษของพวกเขา กลับใช้พิษกระเรียนระทมที่ตระกูลหลิวไม่อาจแก้พิษได้เป็นตัวยาสำคัญ
กระเรียนระทมมีฤทธิ์เย็นเป็นที่สุด พวกพ่อมดชาวหรงยังเติมสมุนไพรไปอีกสองสามตัว ทำให้มันกลายเป็นยาที่มีฤทธิ์เย็นถึงขีดสุด นำมาอาบไว้บนลูกธนูของคนในเผ่า เพื่อนำมายิงสังหารแม่ทัพของชาวเว่ยโดยเฉพาะ ทว่าเมื่อทั้งห้าคนบุกเข้ารบพร้อมกัน ด้วยเสื้อผ้าที่คล้ายคลึงกัน มือธนูของพวกหรงคงเห็นว่าเผยไค่และซูอวี๋อู่มีร่างกายสูงใหญ่กำยำที่สุดในทั้งห้าคน จึงนึกว่าพวกเขาสองคนเป็นคนที่สำคัญที่สุด ด้วยเหตุนี้ลูกธนูแทบทุกดอกจึงพุ่งไปทักทายพวกเขา
ทั้งสองคนต้องธนูรวมเจ็ดดอก …ยามถูกหามออกมาจากสนามรบ เพราะผ่านการต่อสู้มาอย่างหนักจึงมีเหงื่อไหลอาบไปทั่วแผ่นหลัง กระทั่งที่คิ้วของพวกเขาก็ยังจับตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็ง
พวกเขาล้วนเป็นราชองครักษ์ที่ถวายงานอยู่หน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ที่ไปสร้างผลงานที่ชายแดน ยิ่งไปกว่านั้นคนหนึ่งยังเป็นบุตรหลานบ้านใหญ่ในสายหลักของ ตระกูลสูงศักดิ์ อีกคนหนึ่งเป็นบุตรชายบ้านใหญ่ในสายหลักของตระกูลใหญ่ ตระกูลหลิวจึงไม่กล้าชักช้า เมื่อเวยหย่วนโหวทราบข่าวนี้ ก็ให้คนของตนเอารถม้าเร่งออกเดินทางในทันที สั่งให้คนขับรถม้าที่ดีที่สุดของตระกูลหลิวเป็นคนขับไป ส่งนักรบเดนตายอีกกลุ่มหนึ่งคุ้มกันพวกเขาและเร่งเดินทางไปที่เมืองหลวงทั้งวันทั้งคืน …นอกจาก จี้ชวี่ปิ้งแล้ว ก็ยังไม่เคยได้ยินว่าในเขตทะเลนี้ยังมีคนที่สองที่สามารถแก้พิษของกระเรียนระทมได้!
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าพิษที่เผยไค่และซูอวี๋อู่ถูกมานั้นมีกระเรียนระทมเป็นส่วนประกอบหลัก นอกนั้นก็ยังมีตัวยาที่ไม่รู้ชื่ออีกสองสามชนิดเป็นตัวเร่งพิษ นอกจากจี้ชวี่ปิ้งแล้วก็เกรงว่าคงไม่มีหมอคนอื่นกล้ารับรักษา
…เมื่อได้รับจดหมายที่ตระกูลหลิวให้ม้าเร็วนำมารายงานในเมืองหลวงก่อน เว่ยเจิ้งอินก็เกือบจะเป็นลมไปทันใด! แม้แต่รองเท้าก็ยังไม่ทันใส่ก็วิ่งมาที่คฤหาสน์จี้เพื่อขอร้องจี้ชวี่ปิ้งไปรักษาให้ โดยให้เร่งเดินทางตามถนนหลวงไปที่ตงหู เพื่อจะได้ย่นย่อเวลาและไปช่วยได้ก่อน
จี้ชวี่ปิ้งเป็นคนพูดจาไม่เข้าหูอยู่แล้ว ครานี้ก็ไม่เว้น แต่คำพูดครานี้ทิ่มแทงใจเป็นนักหนา …เขาเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “หลานสาวเจ้ากำลังจะคลอด ก่อนหน้านี้เจ้าเองก็เอาแต่บอกข้าว่าจักต้องดูแลหลานสาวของเจ้าให้ดี เวลานี้กลับจะมาให้ข้าไปจากเมืองหลวงเพื่อไปช่วยบุตรชายเจ้า หากหลานสาวเจ้าเกิดเรื่องขึ้นมา แล้วคนบ้านเจ้าไล่เรียงเอาความขึ้นมา จะให้ข้าชี้แจงอย่างไร?”
เมื่อได้ยินคำนี้ หนีเทาผัวเมียที่คอยดูแลเรื่องน้ำชาและของว่างต่างมีท่าทีไม่เป็นปกติขึ้นมา แม้หากว่ากันจากมุมของแม่เฒ่าซ่งแล้ว ไม่ว่าเว่ยเจิ้งอินหรือเว่ยฉางอิ๋งต่างก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของแม่เฒ่าซ่ง และนี่ล้วนเป็นเรื่องของบุตรชายของพวกเขา แต่ เวลานี้หวงเฉี่ยนซิ่ว มารดาของหนีเทาติดตามเว่ยฉางอิ๋งอยู่ บุตรชายคนโตของ นางหวง และสามีของนางล้วนเป็นบ่าวติดตามของเว่ยฉางอิ๋ง จิตใจของพวกเขาผัวเมียย่อมต้องโน้มเอียงไปทางเว่ยฉางอิ๋งมากกว่า
อีกประการ แม่เฒ่าซ่งบ่มเพาะนางหวงมาตลอดหลายปีนี้ ท่านอาที่รู้เรื่องการแพทย์ ทั้งยังจงรักภักดี ชำนาญการปกครองบ้านเรือน และเข้าใจเรื่องการต่อสู้ในเรือนหลัง ยามได้อยู่ข้างกาย จะมีผู้ใดเกี่ยงกว่ามากเกินไป? เว่ยเจิ้งอินเป็นบุตรสาวแท้ๆ เพียงคนเดียวของแม่เฒ่าซ่ง ก็ยังมิใช่ว่าไม่เคยอิจฉาเรื่องนางหวงมาก่อน ทว่า สุดท้ายแม่เฒ่าซ่งก็ยังมอบให้หลานสาว
เห็นได้ว่า แม้แม่เฒ่าซ่งมิใช่ไม่รักบุตรสาว แต่จิตใจก็ยังโน้มเอียงไปทางบุตรชายมากกว่า และมีเพราะสาเหตุมาจากบิดา แม้แต่หลานสาวแม่เฒ่าซ่งก็ยังรักมากว่าบุตรสาวของตนเอง
เว่ยเจิ้งอินเข้าใจสาเหตุแท้จริงที่แม่เฒ่าซ่งให้ความสำคัญกับหลานสาวมากว่าตนเองดี ประการแรก ในบรรดาบุตรธิดาหลายคนของแม่เฒ่าซ่งมีเพียงนางและพี่ชายเว่ยเจิ้งหงที่เติบโตมาจนทุกวันนี้ เมื่อเทียบกับตนเองซึ่งเป็นคนมีสุขภาพแข็งแรง พี่ชายเว่ยเจิ้งหงกลับเป็นคนขี้โรค ถูกความเจ็บปวดของโรคภัยรุมเร้ามาแต่เล็ก แม่เฒ่าซ่งมองเห็นที่ตาเจ็บปวดอยู่ในใจ จึงอดรู้สึกไม่ได้ว่าตนติดค้างบุตรชาย และไปให้ความสำคัญกับเว่ยเจิ้งหงมากว่าไปโดยปริยาย ประการที่สองเป็นเพราะนางเชิญจี้ชวี่ปิ้งมารักษาช้าเกินไป ทำให้เว่ยเจิ้งหงไม่มีทางหายขาด แม่เฒ่าซ่งรู้สึกผิดต่อบุตรชายยิ่ง และรู้สึกผิดต่อหลายชายและหลายสาวด้วย
ในสภาพการณ์เช่นนี้ แม้บุตรสาวจะเป็นบุตรแท้ๆ และแม้ว่าหลานสาวจะห่างออกไปอีกรุ่นหนึ่ง แต่สิ่งที่แม่เฒ่าซ่งใคร่ครวญวางแผนให้แก่เว่ยเจิ้งอินกลับไม่มากเท่ากับเว่ยฉางอิ๋ง
ในยามปกติ แม้เว่ยเจิ้งอินก็รู้เรื่องแต่ก็ไม่ได้สนใจ เพราะแม่เฒ่าซ่งไม่ได้เป็นห่วงนางเท่าเว่ยเจิ้งหง ทว่าก็ไม่ได้ไม่ดีต่อนาง ส่วนเรื่องที่บ่าวติดตามของหลานสาวมีการเตรียมการรอบคอบกว่าบ่าวติดตามของนาง เว่ยเจิ้งอินก็เข้าใจว่าเมื่อเทียบกับตนแล้วหลานสาวต้องออกเรือนออกมาไกลบ้านเพียงนี้ …แต่ยามนี้เกี่ยวพันถึงความเป็นตายของบุตรชายเพียงคนเดียวของนาง เว่ยเจิ้งอินจึงไม่อาจไม่ฮึดสู้แล้ว นางเอ่ยตอบไปว่า “ไม่ว่าวันหน้าจะเกิดเรื่องใดขึ้น เมื่อท่านแม่เอ่ยถาม ผลที่ตามมาทุกอย่างข้าจะรับผิดชอบเอง ขอเพียงท่านหมอเทวดาเร่งเดินทางเถิด!”
จี้ชวี่ปิ้งคีบเครา เอ่ยเรียบๆ กับหนีเทาที่เวลานี้สีหน้าเปลี่ยนไปว่า “พวกเจ้าล้วนได้ยินแล้วนะ? วันพรุ่งหากคนบ้านเสิ่นส่งคนมาเชิญ จำไว้ว่าให้บอกความนี้แก่พวกเขา!”
__________________________