ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 179-1 เรื่องน่ายินดีอีกเรื่องหนึ่ง
เสิ่นซูจิ่งช่วยผู้ใหญ่ปลอบโยนลูกผู้น้อง ไม่นึกว่ากลับไปล่วงเกินอาสะใภ้รองด้วยคำพูดประโยคหนึ่ง …แม้นางหลิวมารดาของนางจะสัมผัสได้แล้ว แต่ในเวลาเช่นนี้ก็ไม่เหมาะจะพูดสิ่งใด เพราะอย่างไรเสียเรื่องที่บ้านสองไร้บุตรชายก็เป็นเรื่องจริง หากบอกว่าให้มาขอขมาก็กลับยิ่งทำให้ตวนมู่เยี่ยนอวี่ไม่มีทางจะลง นางรู้จักนิสัยใจคอของตวนมู่เยี่ยนอวี่ จึงอดจะแอบเตรียมตัวป้องกันให้บุตรสาวไม่ได้ ‘เรื่องที่น่าเสียดายที่สุดในชีวิตของตวนมู่เยี่ยนอวี่ก็คือนางไร้บุตรชาย อย่าได้เป็นเพราะคำพูดนี้ก็คิดแค้นเคืองจิ่งเอ๋อร์ได้เป็นดี’
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งที่ได้ฟังเสิ่นซูจิ่งเอ่ยเช่นนี้ก็นิ่งอึ้งไปสักพักเช่นกัน นางรู้ว่าหลานสาวคนโตผู้นี้มีกริยาท่าทีเช่นคุณหนูมีตระกูลยิ่งนัก มิใช่คนที่จะพูดจาแดกดันใคร ที่นางเอ่ยเช่นนี้โดยมากแล้วจะต้องเป็นเพราะไม่ได้ตั้งใจ เมื่อมองไปทางตวนมู่เยี่ยนอวี่คราหนึ่ง ก็เห็นนางมีสีหน้าคล้ายว่าคิดมากแล้ว จึงอดจะถอนใจอยู่ในใจไม่ได้ นางพลันนึกถึงอาหญิงใหญ่เว่ยเซิ่งเซียน ‘ตอนยังไม่ออกเรือนได้ยินท่านแม่บอกเสมอมาว่าพี่สะใภ้ทั้งสองล้วนขึ้นชื่อเรื่องความดีงามนัก นับแต่ออกเรือนมา ดูไปแล้วพี่สะใภ้ใหญ่กับดีกว่าพี่สะใภ้รองสักหน่อย แม่สามีก็ชอบพี่สะใภ้ใหญ่มากกว่า แม้จะบอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับนิสัยส่วนตัวของพี่สะใภ้ทั้งสองคนด้วย แต่คิดๆ ไป การที่มีหรือไม่มีบุตรชายก็เป็นสาเหตุหนึ่ง เพราะพี่สะใภ้ใหญ่มีหลานชายเสิ่นซูจิ่งแล้ว เมื่อเอ่ยถึงเรื่องเกี่ยวกับทายาทจึงสบายอกสบายใจกว่ามาก ไม่เหมือนกับพี่สะใภ้รองที่ฟังไม่ได้แม้สักคำเดียว …ด้วยเหตุนี้จึงยิ่งทำให้ไปล่วงเกินนางเอาได้ง่ายๆ ฉะนั้นโดยเบื้องหลังแล้วย่อมรู้สึกว่าพี่สะใภ้รองคบหาได้ยากมากกว่า’
แล้วนึกถึงเว่ยเซิ่งเซียนอีกว่า ‘ท่านอาหญิงใหญ่เป็นคนดีเพียงนั้น อบรมสอนสั่น ลูกผู้น้องหญิงทั้งสองจนรู้ความมีมารยาททั้งยังรักใคร่ซึ่งกันและกัน แต่ดันไม่มีผู้สืบสกุล ดีที่ท่านอาเขยใหญ่เป็นคนดี ไม่เคยโทษท่านอาหญิงใหญ่ด้วยเหตุนี้ ทว่าบรรดาญาติผู้ใหญ่ในบ้านฝั่งสามีก็ยังไม่พอใจท่านอาหญิงใหญ่อยู่ดี ความจริงแล้วหากสามารถมีผู้สืบสกุลสักคน ไม่ว่าต้องทำเช่นใด ท่านอาหญิงใหญ่จะต้องทุ่มเททุกสิ่งแน่นอน…’
ในขณะที่กำลังทอดถอนใจอยู่นั้น ตวนมู่เยี่ยนอวี่พลันขบริมฝีปากแล้วหัวเราะออกมาว่า “ท่านแม่เจ้าคะ วันนี้เห็นว่าท่านแม่ดีอกดีใจเพียงนี้ มีข่าวดีข่าวหนึ่ง เดิมทีสะใภ้ไม่คิดจะมาชิงความโดดเด่นของหลานชายตัวน้อย ตัดสินใจว่าพอพ้นวันนี้ไปจึงค่อยมาเรียนท่านแม่อยู่เชียว! แต่ครานี้ได้ยินที่จิ่งเอ๋อร์ว่า สะใภ้กลับรู้สึกว่าหากได้อานิสงส์จากเรื่องน่ายินดีของบ้านสามด้วยก็ดีเช่นกันเจ้าค่ะ!”
ได้ยินนางเอ่ยถึงเสิ่นซูจิ่ง ตัวเสิ่นซูจิ่งเองประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่นางหลิวกลับระวังตัวขึ้นมาอย่างมาก นางยิ้มพลางว่า “น้องสะใภ้รอง เจ้าอยากได้อานิสงส์จากเรื่องน่ายินดีของบ้านสาม เพียงพูดออกมาก็มิสิ้นเรื่องแล้ว? หรือ น้องสะใภ้สามจะไม่รับคำให้อานิสงส์แก่เจ้า? เหตุใดเมื่อฟังคำของจิ่งเอ๋อร์แล้วจึงยอมพูดเล่า? คำของเด็กๆ ที่จิ่งเอ๋อร์ปลอบเหยียนเอ๋อร์เมื่อครู่นี้ ข้าก็ไม่ได้สนใจฟังเลย นางเอ่ยสิ่งใดจึงทำให้เจ้าสนใจขึ้นมาหรือ?”
ความจริงแล้ว ฮูหยินซูก็ไม่ได้ฟังคำที่เสิ่นซูจิ่งปลอบเสิ่นซูเหยียนชัดเจนนัก แต่เมื่อฟังคำสะใภ้ทั้งสองคนก็รู้แล้วว่าคำที่เสิ่นซูจิ่งพูดจะต้องไปทำให้ตวนมู่เยี่ยนอวี่ไม่สบายใจ พวกนางจึงเริ่มปะทะกันขึ้นมาแล้ว คิ้วของฮูหยินซูขมวดเข้ามาหนแล้วหนเล่า แอบด่าสะใภ้ทั้งสองอยู่ในใจว่าไม่มีหัวคิด อุตส่าห์มีงานฉลองครบเดือนของหลานชายทั้งที แล้วไยต้องเลือกมาทะเลาะกันเอายามนี้ด้วย?
เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกดังนี้เช่นกัน …ทว่าหลังจากตวนมู่เยี่ยนอวี่พูดออกมา ทุกคนกลับนิ่งอึ้งไปหมด จากนั้นก็กลับไม่อาจระเบิดอารมณ์ออกมาได้ เพราะสิ่งที่ตวนมู่เยี่ยนอวี่พูดก็คือ “ชุ่ยเยียนที่ท่านแม่กำนัลมาให้บ้านเราก่อนนี้ ตอนนี้นางตั้งท้องได้สามเดือนแล้วเจ้าค่ะ ตอนที่น้องสะใภ้สามคลอด สะใภ้กลับไปบ้านแม่เพื่อเชิญซินเหมี่ยวมาที่จวน แต่น้องสะใภ้สามมีร่างกายแข็งแรง ไม่ต้องใช้หมอ สะใภ้นึกถึงชุ่ยเยียนขึ้นมาได้ จึงขอให้ซินเหมี่ยวช่วยตรวจชีพจรให้นางสักหน่อยเจ้าค่ะ …”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ตวนมู่เยี่ยนอวี่ก็จงใจหยุดสักพัก
ปรากฏว่า ฮูหยินซูจึงถามอย่างร้อนใจว่า “เป็นชายหรือเป็นหญิง?”
“เรียนท่านแม่” ตวนมู่เยี่ยนอวี่เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ซินเหมี่ยวบอกว่า เป็นชายเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินซูได้ฟังก็ยินดียกใหญ่ รีบบอกไปว่า “ดีๆๆ!” ทุกคนในโถงย่อมพากันพูดแสดงความยินดีกันไม่หยุด นางหลิวเองก็แสดงความยินดีด้วยรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้าที่บ้านสองกำลังจะมีบุตรชาย แล้วเอ็ดตวนมู่เยี่ยนอวี่ทีเล่นทีจริงว่า “น้องสะใภ้รองเจ้าก็จริงๆ เชียว เรื่องมงคลเช่นนี้ก็ควรจะพูดออกมาให้พวกเราได้ดีอกดีใจกันสิ! ไยรั้งรอถึงยามนี้จึงค่อยมาพูด? หากยังรอต่อไป กลัวว่าจวบใกล้คลอดแล้วพวกเราถึงจะรู้กระมั้ง!”
เมื่อถูกนางหลิวเตือนดังนี้ ฮูหยินซูเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาน้อยๆ แล้วมอง ตวนมู่เยี่ยนอวี่อย่างลึกซึ้นคราหนึ่ง คิดว่าเพราะเห็นแก่งานครบเดือนของหลานชายคนรอง จึงไม่ได้เอ่ยคำใด
ตวนมู่เยี่ยนอวี่กลับรู้ดีอยู่แก่ใจ ยิ้มเรียบๆ แล้วว่า “คำของพี่สะใภ้ใหญ่นี้ให้ร้ายข้าแล้ว ประการแรก ครรภ์ของซุ่ยเยียนก็เพิ่งมาพบเมื่อตอนต้นเดือนสามนี่เอง นับแต่นั้นมาข้าก็ให้คนที่เคยดูแลคนอยู่เดือนมาดูแลนางโดยเฉพาะ ซินเหมี่ยวมาตรวจชีพจรให้ก็บอกว่านางแข็งแรงดีทุกประการ ประการที่สอง ตอนนั้นน้องสะใภ้สามก็จวนจะคลอดแล้ว ทุกคนในบ้านล้วนเป็นห่วงนาง ข้าคิดว่าก็ไม่ห่างสักกี่วัน หากพูดออกไปก็จะสร้างความวุ่นวายเพิ่มขึ้นอีก…”
เมื่อได้ยินคำนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็ถอนหายใจอยู่ในใจ ไม่อาจไม่ออกมาขอขมา “จะว่าไปก็ล้วนเป็นเพราะข้า…”
“จะโทษน้องสะใภ้สามได้ที่ใด?” ตวนมู่เยี่ยนอวี่เอ่ยอย่างราบเรียบ “และเป็นเพราะครรภ์ในสามเดือนแรกยังไม่คงที่ วันนี้หลานชายตัวน้อยอายุครบเดือนแล้ว เรื่องที่ไม่น่ายินดีข้าก็จะไม่พูดแล้ว แต่ก่อนหน้านี้บ้านสองก็เคยมีตัวอย่างมากก่อน หากไม่รอให้ครรภ์ของชุ่ยเยียนคงที่ดีแล้ว ข้าเกรงว่าหากรายงานขึ้นไปก็จะทำให้ดีใจกันเก้อ และจะทำให้ท่านพ่อท่านแม่เสียใจด้วย”
คำพูดนี้อธิบายได้สมเหตุสมผล ด้วยเรื่องการคลอดบุตรของเว่ยฉางอิ๋งครานี้ คนแทบทั้งเรือนหลังแทบจะวิ่งวนอยู่รอบตัวนางตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนคลอดแล้ว ส่วนเรื่องที่ชุ่ยเฉียวแท้งลูกไปคราก่อนนี้ทุกคนต่างก็รู้กันดี …นางหลิวจึงได้แต่บอกว่า “กลับเป็นข้าที่เข้าใจน้องสะใภ้รองผิดไปเสียแล้ว ยังนักว่าน้องสะใภ้รองจงใจปิดบังข่าวดีนี้ไว้แอบดีใจคนเดียว! ไม่ยอมบอกพวกเราเสียอีก! น้องสะใภ้รองเจ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย!”
“พี่สะใภ้ใหญ่พูดสิ่งใดกันเจ้าคะ?” ตวนมู่เยี่ยนอวี่หัวเราะครึ่งไม่หัวเราะครึ่งพลางมองนางคราหนึ่ง แล้วหันไปพูดกับเสิ่นซูจิ่งที่นึกว่าไม่ใช่เรื่องของตนแล้ว และกำลังยิ้มแย้มอุ้มเสิ่นซูเหยียนอยู่ พลางเอ่ยเสียงเบาชี้ชวนให้ดูลูกผู้น้องในห่อผ้าว่า “ฉะนั้น จนถึงครึ่งปีหลัง เหยียนเอ๋อร์ก็จะมีน้องชายสองคนแล้ว! จิ่งเอ๋อร์เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลแทนเยียนเอ๋อร์แล้ว!”
นางจงใจเน้นเสียงคำว่า ‘น้องชาย’ สองพยางค์นี้ เด็กหญิงในวัยเช่นเสิ่นซูจิ่งสามารถฟังความหมายในน้ำเสียงออกแล้ว จึงอดจะนิ่งเหม่อไปไม่ได้ จู่ๆ ก็หยุดพูดหยอกล้อลูกผู้น้องโดยไม่ทันรู้ตัว แล้วรีบนึกย้อนกลับไปว่าเมื่อครู่นี้ตนเองพูดสิ่งใดจนไปยั่วโมโหอาสะใภ้รองเข้า …แต่ข้างฝ่ายฮูหยินซูกลับสามารถคาดคะเนจากคำพูดของตวนมู่เยี่ยนอวี่ได้ ว่าเมื่อครู่นี้เสิ่นซูจิ่งพูดเกี่ยวกับเรื่องใด นางพลันไม่พอใจอยู่ในใจว่าหลานสาวคนโตของนางผู้นี้ นางก็รู้จักดีว่ามิใช่คนหยาบคายร้ายกาจ ตวนมู่เยี่ยนอวี่ทำเช่นนี้เพราะจงใจทำให้เสิ่นซูจิ่งตกที่นั่งลำบาก…
——————————-