ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 181-1 ใช้โอกาสที่มี
“เพราะหลายสิบปีก่อนประมุขผู้เฒ่าสามีภรรยาจากไปอย่างปัจจุบันทันด่วน หมิงเพ่ยถังจึงต้องสั่นคลอนท่ามกลางอุปสรรคนานาอยู่ระยะหนึ่ง ซินหย่งได้ยินมาเป็นการส่วนตัวว่า หากมิได้ท่านประมุขออกแรงช่วยเสิ่นเซวียนเอาไว้ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ก็เกรงว่าทั้งเสิ่นเซวียนและเสิ่นโจ้วก็จะไม่อาจข่มตระกูลในสายอื่นๆ เอาไว้ได้รวดเร็วเพียงนี้ เวลานี้หมิงเพ่ยถังมีทายาทพรั่งพร้อม ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีเสิ่นจั้งเฟิงเป็นทายาทที่เชิดหน้าชูตาในเมืองหลวง ทั้งยังเป็นดองกับท่านประมุข แล้วฮ่องเต้จะทรงวางพระทัยได้เช่นใด?”
เว่ยซินหย่งเอ่ยเรียบๆ “ส่วนตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวของเรา ขอซินหย่งเอ่ยตามตรง …ท่านประมุขและเว่ยฉีล้วนเกษียณตัวจากราชการทั้งคู่ ส่วนสาเหตุที่แท้จริงนั้น แม้คนนอกจะไม่รู้ แต่มีหรือฮ่องเต้จะไม่ทรงทราบ? ก่อนนี้ หลังจากท่านประมุขขอเกษียณตัวก็สนับสนุนให้เว่ยฉีรับตำแหน่งเสนาบดีปกครอง เกรงว่านี่คงไม่ได้จากใจจริงของท่านประมุข หากแต่เป็นเพราะฮ่องเต้ทรงบอกเป็นนัยๆ กระมัง? หลายปีมานี้ ฮ่องเต้ให้ความเชื่อถือเว่ยฉีเป็นอย่างมาก เพียงเพราะเว่ยฉีอยู่ในสายพระเนตรของฮ่องเต้เท่านั้นหรือ? การที่อยู่ในสายพระเนตรของฮ่องเต้ ก็ด้วยจือเปิ่นถังหมายปองตำแหน่งประมุขของสายหลักนั่นเอง! ปีก่อนเว่ยฉีถวายฎีกาขอเกษียณตัวจากราชการ หากฮ่องเต้ทรงเชื่อถือเว่ยฉีจริงๆ และคิดว่าต้าเว่ยไม่อาจขาดเสาหลักเช่นเขาไปได้ แล้วเหตุใดจึงเพียงยื้อเขาไว้อย่างบางเบาไม่กี่หนก็ทรงอนุญาตแล้ว?”
เว่ยฮ่วนลูบเคราอยู่เป็นนาน กล่าวว่า “หลานเองก็เป็นบุตรหลานในตระกูลของเรา เบื้องลึกเหล่านี้จึงไม่อาจปิดบังเจ้าได้ เจ้ากล่าวถูกต้องนัก”
“ท่านประมุขและเว่ยฉีล้วนออกจากราชการมา ‘ดูแลสุขภาพ’ เฟิ่งโจวเป็นเวลาปีสองปีแล้ว แต่ยังคงไม่มีผู้ใดเหนือกว่าผู้ใด” เว่ยซินหย่งเอ่ยอย่างสงบว่า “คนที่รู้ถึงสาเหตุที่ทั้งสองท่านเกษียณตัวออกมาจะไม่คาดเดาหรือว่านี่เป็นเพราะท่านประมุขและเว่ยฉีต่อสู้กันอย่างสูสี แรกเริ่มเพราะต่างพ่ายแพ้ได้รับบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย ทว่าจนยามนี้กลับแยกออกได้ยาก ว่าผู้ใดได้หรือเสียเปรียบ ฉะนั้นจึงทำได้เพียงคอยคุมเชิงกันไม่ยอมลดละอยู่ที่เฟิ่งโจวต่อไป?”
เว่ยฮ่วนถอนใจ กล่าวว่า “ข้าอายุมากแล้ว เว่ยฉีเองก็มิใช่อยู่ในวัยฉกรรจ์ เมื่อเวลาผ่านไปเป็นปีก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ วันหน้าแม้จะรู้ผลก็ไม่มีความหมายใดอีกแล้ว”
เว่ยซินหย่งไม่เข้าใจว่าการที่เขาปลงอนิจจังทีจริงทีหลอกว่าอายุมากแล้ว และทำให้คนสงสัยว่าเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้อีกนี้ทำไปเพียงสิ่งใด จึงเพียงพูดต่อว่า “โดยเฉพาะในเดือนหนึ่งปีนี้ พี่สะใภ้แซ่ตวนมู่ก็มาป่วยจนเสียไป แม้ได้ยินมาว่าคล้ายเป็นการป่วยอย่างไม่คาดคิดมาก่อน ทว่าจี้ชวี่ปิ้งทั้งศิษย์อาจารย์ก็พากันหาตัวไม่พบพร้อมๆ กัน ในความคิดของซินหย่ง เกรงว่าเรื่องนี้อาจมีความเกี่ยวพันกับท่านประมุขหรือฮูหยินผู้เฒ่าอยู่บ้าง?”
“เรื่องน่าขายหน้าในบ้าน ทำให้หลานขบขันเสียแล้ว” เว่ยฮ่วนเอ่ยถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้วเข้ามาน้อยๆ ความจริงแล้วครานั้นเขาไม่สนับสนุนเป็นอย่างยิ่งให้ไปบีบคั้นสะใภ้รองจนตาย แต่จนใจที่ภรรยารักใคร่หลานสาวบ้านใหญ่นัก จึงตัดสินใจว่าจะต้องสั่งสอนบ้านสองแทนเว่ยฉางอิ๋งอย่างหนักสักหน จึงไม่ยอมปล่อยเรื่องที่นางตวนมู่พลั้งปากลบหลู่ตนไป และไม่อาจไม่ไปทวงความยุติธรรมได้ เว่ยฮ่วนเห็นแก่ที่นับแต่ภรรยาติดตามตนมาก็ต้องทนถูกรังแกไม่น้อยยามอยู่ในเงื้อมมือของแม่ใหญ่ สามีภรรยาทั้งสองต้องร่วมแรงร่วมใจกันกว่าจะได้มีวันนี้ ในขณะที่กำลังลังเลอยู่ก็ถูกแม่เฒ่าซ่งฆ่าก่อนรายงานทีหลังไปเสียแล้ว
ภายหลัง เมื่อผ่านไปไม่นาน ก็มีข่าวเรื่องสมรสพระราชทานให้แก่เว่ยฉางเฟิ่งส่งมาจากเมืองหลวง ตัวแม่เฒ่าซ่งเองจะมาสำนึกเสียใจยามนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว
เว่ยฮ่วนพูดไปเรียบๆ ดังนี้หนึ่งประโยค เว่ยซินหย่งก็เข้าใจแล้ว และไม่ไล่เรียงถามถึงสาเหตุ เพียงเอ่ยว่า “ความลำบากใจของรุ่ยอวี่ถัง คาดว่าฮ่องเต้ก็ทรงทราบ หลานฉางเฟิงยังเป็นถึงบุตรหลานในตระกูลที่มีความล้ำเลิศและเป็นที่ภาคภูมิใจ ทั้งยังเป็นคนที่ท่านประมุขสอนสั่งมาด้วยตนเอง ย่อมต้องเหนือกว่าคนทั่วไปและมีอนาคตที่ยาวไกล! แต่น่าเสียดายก็ตรงที่เกิดช้าไปหลายปี เมื่อพูดถึงเรื่องการปกครองทั้งตระกูลแล้ว เขายังอายุน้อยเกินไป ส่วนท่านพี่เซิ่งอี๋นั้น …กลับอยู่ในวัยที่พอเหมาะพอเจาะ ก็มิน่าเล่าที่ก่อนหน้านี้ท่านประมุขจึงได้รู้สึกลำบากใจ …แต่พี่สะใภ้ก็เสียไปแล้ว คาดว่าท่านประมุขก็คงตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว”
หากสะใภ้รองยังไม่ตาย เว่ยฮ่วนก็ยังสามารถหวังให้เว่ยเซิ่งอี๋เห็นแก่ความเป็นอาหลาน เมื่อมอบรุ่ยอวี่ถังให้เขาดูแลแล้ว ก็จะไม่ถึงกับจัดการเว่ยฉางเฟิงจนถึงตาย แต่เมื่อภรรยาบีบสะใภ้รองจนตายเสียแล้ว …ต่อให้เว่ยเซิ่งอี๋มีความสามารถเพียงพอ แต่เมื่อหลังจากเขาไปแล้ว ตำแหน่งประมุขนี้ยังจะมอบให้เว่ยฉางเฟิงได้อีกหรือ? ไม่ว่าจะเป็นเว่ยฉางอวิ๋นหรือเว่ยฉางซุ่ยก็ล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสะใภ้รอง ความแค้นที่สังหารมารดา …ต่อให้มิใช่เว่ยฉางเฟิงเป็นคนฆ่า ทว่าก็เกี่ยวพันกับเว่ยฉางเฟิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วพวกเขาจะไม่แก้แค้นได้รึ?
ต่อให้บุตรชายและหลานชายในบ้านนี้ชี้นิ้วขึ้นสาบดสาบานให้ตาย เว่ยฮ่วนก็ไม่เชื่อ ยามนี้หากคิดจะปกป้องลูกหลานไม่ให้ถึงกับหันมาห้ำหั่นกันเอง ก็ทำได้เพียงต้องหันมาปกป้องเว่ยฉางเฟิงแล้ว
อย่างไรเสีย เว่ยฉางเฟิงก็ไม่เคยเสียเปรียบให้บ้านสอง วันหน้าเมื่อมาปกครองรุ่ยอวี่ถังแล้ว ขอเพียงทางเว่ยเซิ่งอี๋ไม่มาหาเรื่อง เพื่อชื่อเสียง กอปรกับคำที่ปู่กำชับเอาไว้ บ้านสองก็จะยังมีหนทางรอด
“ฉางเฟิงยังเด็กนัก!” เว่ยฮ่วนถอนหายใจจางๆ
“แต่ฮ่องเต้ทรงรอไม่ไหวแล้วขอรับ” เว่ยซินหย่งยิ้มเรียบๆ “นางตวนมู่ป่วยตาย และท่านประมุขก็ไม่ยอมให้ลูกหลานมาห้ำหั่นกันในวันหน้า แต่เลือกได้แค่เพียงหลานฉางเฟิง นางตวนมู่เป็นถึงบุตรสาวของตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่ว ชั้นตระกูลฝั่งมารดามิได้ด้อยกว่าตระกูลเว่ย ก่อนหน้านาง ตระกูลซ่งก็เพิ่งจะปลดหลานสาวฝั่งบิดาของนาง จากนั้นนางตวนมู่ก็มาล้มป่วยจนตาย …ประเด็นสำคัญอยู่ที่ซ่งอวี่วั่งเป็นถึงท่านลุงแท้ๆ ของหลานจั้งเฟิง”
….ท่านลุงแท้ๆ อย่างไรก็ต้องเข้าข้างหลานชายลูกน้องสาวอยู่วันยันค่ำ แม้เรื่องทั่วๆ ไปจะมีข้อยกเว้นก็ตามที ทว่าฮูหยินซ่งและซ่งอวี่วั่งสองพี่น้องไม่เคยมีความบาดหมางต่อกัน ต่อให้ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าพี่ชายน้องสาวสองคนนี้สมัครสมานปรองดองกันเพียงใดยามอยู่ในบ้าน แต่ลำพังแค่ดูจากเมื่อครั้งที่บุตรสาวคนเดียวของซ่งอวี่วั่งเดินทางจากเจียงหนานไปเมืองหลวงและนางก็พักค้างอยู่ที่บ้านอาหลายเดือน ก็รู้แล้วว่าทั้งสองฝั่งมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน
จากนั้นคือซ่งไจ้เจียงบุตรชายคนรองของซ่งอวี่วั่ง ซึ่งเป็นลูกผู้พี่แท้ๆ ของเว่ยฉางเฟิงปลดตวนมู่อู๋เซ่อภรรยาของเขา หลังจากนั้นสองสามเดือน เพิ่งจะเริ่มเดือนหนึ่งของปีนี้ จู่ๆ อาสะใภ้รองของเว่ยฉางเฟิงที่มาจากตระกูลตวนมู่เช่นกันก็มาเป็นไส้ติ่งอักเสบ ยิ่งไปกว่านั้นแพทย์ที่น่าเชื่อถือเป็นที่สุดในเขตทะเลทั้งสองคนก็ ‘พอดี’ ว่าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงด้วย นางจึงปวดท้องจนตาย!
คนที่รู้จักไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งย่อมคิดออกว่า ก่อนหน้านี้ แม้ว่าตวนมู่อู๋เซ่อภรรยาของซ่งไจ้เจียงจะเป็นภรรยาที่ไม่เป็นกลุสตรี และตระกูลซ่งไม่ต้องการสะใภ้ผู้นี้แล้ว ตามหลักการที่เป็นที่รู้กันอยู่ในที ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไว้หน้าตระกูลตวนมู่บ้าง ด้วยการนำเรื่องความไม่ดีงามของตวนมู่อู๋เซ่อบอกกล่าวแก่บ้านฝั่งมารดา ให้บ้านฝั่งมารดาส่งคนมาตักเตือนตวนมู่อู๋เซ่อให้ ‘ประพฤติตนอยู่ในคุณธรรม’ และตักเตือนกระทั่งนางสำนึกผิดหรือไม่ก็ ‘ล้มป่วย’ จนลาโลกนี้ไปโดยไม่คาดคิดมาก่อน
เวลานั้นเมื่อตระกูลตวนมู่ส่งคนมาไกล่เกลี่ย โดยส่วนตัวแล้วจะต้องเคยเอ่ยถึงวิธีเช่นนี้มาก่อน แต่ที่สุดแล้วตระกูลซ่งก็ยังคงยืนกรานจะปลดนาง …ด้วยพื้นนิสัยของ ซ่งอวี่วั่งและฐานะของเขาแล้ว เขาไม่ควรเป็นคนที่บุ่มบ่ามสร้างความแค้นกับ ตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วเพียงเพราะสะใภ้คนหนึ่ง
ในเมื่อเขาไม่ได้เป็นคนเช่นนี้แต่กลับลงมือดังนี้ ย่อมมีสาเหตุอื่นเป็นแน่ ครั้ง ตวนมู่อู๋เซ่อถูกปลดและส่งตัวกลับบ้านนั้น แต่ละตระกูลในเมืองหลวงล้วนรู้สึกสงสัยที่ ซ่งอวี่วั่งทำเช่นนี้ จึงมีสหายสนิทจากตระกูลซ่งมาหาที่บ้าน บ้างก็มาพูดแทนตระกูลตวนมู่ บ้างก็มาเตือนซ่งอวี่วั่งว่าอย่าได้ไปล่วงเกินตระกูลที่เคยเป็นดองกันด้วยความโกรธเพียงชั่วครู่ชั่วยาม …ทว่าคนเหล่านี้ก็ไม่มีแม้สักคนที่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของซ่งอวี่วั่งได้
จนกระทั่งอาสะใภ้รองผู้นี้ของเว่ยฉางเฟิงป่วยจนตาย หลายๆ คนจึงเพิ่งเข้าใจขึ้นมา ว่าที่แท้แล้วการที่ซ่งอวี่วั่งยืนกรานให้บุตรชายคนรองปลดภรรยา ก็เพื่อเปิดทางให้แก่ตระกูลเว่ย? หรืออาจพูดได้ว่าเป็นการหยั่งเชิงตระกูลตวนมู่แทนหลานชายลุงแท้ๆ ของเขา
เรื่องตวนมู่อู๋เซ่อถูกปลดเป็นที่โจษจันไปทั่วเมืองหลวง สตรีร่วมตระกูลหลายคนเช่นตวนมู่เยี่ยนอวี่ล้วนถูกคนในบ้านสามีเคืองโกรธไม่น้อยด้วยเรื่องของตวนมู่อู๋เซ่อ ทว่าตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วกลับทนกล้ำกลืนความโกธรนี้เอาไว้ …
แล้วต่อจากนั้นไม่นานก็มีสตรีในตระกูลตวนมู่อีกคนเกิดล้มป่วยและตายลงอย่างฉับพลัน …ซึ่งผลโดยตรงของเรื่องนี้ก็คือเว่ยฉางเฟิงไปก่อความแค้นโดยทางอ้อมกับบ้านของท่านอารอง โดยเฉพาะความแค้นเรื่องสังหารมารดากับลูกผู้พี่ชายและหญิง
เพื่อปกป้องหลานชายบ้านใหญ่ที่มีเพียงคนเดียวผู้นี้ เว่ยฮ่วนจึงทำได้เพียงเลือกเว่ยฉางเฟิงให้เป็นผู้รับช่วงต่อรุ่ยอวี่ถัง!
แผนการทั้งหมดทั้งมวลของแม่เฒ่าซ่งช่างกระจ่างแจ่มชัดนัก!
จากมุมมองของฮ่องเต้แล้ว เรื่องเหล่านี้บอกชัดแล้วว่า ประการแรกการต่อสู้ภายในรุ่ยอวี่ถังรุนแรงเสียยิ่งกว่าในหลานหลีถัง ประการที่สอง แม่เฒ่าซ่งมีความต้องการแน่วแน่ที่จะสนับสนุนให้เลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้รับตำแหน่ง กระทั่งไปหว่านล้อมให้ซ่งอวี่วั่งซึ่งเป็นทั้งหลานชายของนางและลุงแท้ๆ ของเว่ยฉางเฟิงมาร่วมมือด้วย
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือประการที่สาม…. สิ่งเหล่านี้ล้วนบอกชัดว่า เว่ยฮ่วนสูงวัยแล้ว ไม่อาจข่มการต่อสู้ภายในตระกูลเอาไว้ได้ จึงทำให้สะใภ้รองต้องป่วยจนตาย และเกิดความแค้นขึ้นระหว่างลูกหลาน จนไม่อาจไม่มอบฐานะให้แก่หลานชายในบ้านใหญ่ได้!
——————————