ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 181-2 ใช้โอกาสที่มี
ว่ยซินหย่งก็ยังมองเรื่องเหล่านี้ได้ทะลุปรุโปร่ง ตัวเว่ยฮ่วนเองย่อมยิ่งรู้ดีอยู่แก่ใจ เขาลูบเครายิ้มจางๆ กล่าวว่า “ฮ่องเต้ทรงคิดเสมอว่าที่บ้านเมืองไม่เรียบร้อย ชายแดนไม่สงบ ล้วนเป็นเพราะพวกเราตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ครองอำนาจไม่ทำการงานใดแต่กลับอยู่อย่างมั่งมีศรีสุข จึงทรงมีความคิดจะกวาดล้างตระกูลเลื่องชื่อ ถอนรากถอนโคนชนชั้นสูง! ทว่าพวกเราแต่ละตระกูลล้วนมีรากฐานมั่นคง แม้ ฮ่องเต้จะทรงมีความปรารถนาที่แรงกล้า แต่กลับทรงรู้ว่าทำได้แค่เพียงค่อยๆ ลงมือ ไม่กล้าผลีผลามทำการใด ยามนี้รุ่ยอวี่ถังของเราถดถอยไปเพียงนี้ ฮ่องเต้ย่อมทรงคิดว่านี่เป็นโอกาสงามที่สุด”
“ยังมีพระมารดาจี้อ๋องที่มาสิ้นพระชนม์ในเมืองหลวงในเดือนหนึ่งนี้ด้วย จี้อ๋องจึงขออยู่ไว้ทุกข์เฝ้าพระศพเป็นเวลาสามปี” เว่ยซินหย่งยิ้มพลางเอ่ย “ปรากฏว่าไว้ทุกข์ยังไม่ทันสิบวัน ก็กลับหมดสติที่สุสานหลวงด้วยทรงโศกเศร้าเสียใจเกินไป และถูกผู้ติดตามพาเดินทางทั้งวันทั้งคืนกลับมารักษาตัวที่เมืองหลวง และยังคง ‘พักฟื้น’ อยู่ในจวนจี้อ๋องจนถึงยามนี้ แม้จะเป็นเช่นนี้ จี้อ๋องก็ยังทรงกรรแสงให้พระมารดาอยู่ทุกวัน เสียใจเป็นทุกข์เป็นหนักหนา ทำให้ผู้ได้ยินปวดใจ ผู้ได้ฟังต้องหลั่งน้ำตาตาม! เกรงว่าชื่อเสียงเรื่องความกตัญญูของจี้อ๋องคงขจรขจายไปจนเป็นที่รู้กันทั่วเขตในทะเลแล้ว!”
เว่ยฮ่วนยิ้มอ่อนๆ กล่าวว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เสิ่นเซวียนมิได้เลอะเลือน ในเมื่อจี้อ๋องมาประชวรเสียแล้ว เสิ่นเซวียนย่อมให้เขาประชวรต่อไป”
เว่ยซินหย่งเอ่ยยิ้มๆ “ฮ่องเต้ทรงพระชันษาสูงแล้ว องค์รัชทายาทก็เลอะเลือนไร้คุณธรรม ท่านประมุขคิดว่าเสิ่นเซวียนจะให้จี้อ๋องประชวรต่อไป หรือจะให้ประชวรจนถึงยามเป็นประโยชน์พอดีเล่า?”
“หลานไม่เข้าใจเสิ่นเซวียน” เว่ยฮ่วนยิ้มน้อยๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “และไม่ต้องคิดจะหลอกถามเอากับเข้า …เจ้าเพียงแค่รู้ว่า ที่ข้าเอ่ยเช่นนี้ก็เพราะมีความมั่นใจเพียงพอว่าเสิ่นเซวียนต้องไม่ไปสวามิภักดิ์กับจี้อ๋องเพราะบุตรสาวแท้ๆ ของเขาเป็นแน่!”
เป้าหมายของเว่ยซินหย่งถูกมองออก เขาเองก็มิได้กระดากใจอันใด ยังคงเอ่ยต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ในเมื่อท่านประมุขกล่าวเช่นนี้ ซินหย่งก็จักว่าตามนั้นไปพลางก่อน! แต่แม้ว่าเสิ่นเซวียนไม่ต้องการถูกจี้อ๋องลากลงน้ำไปด้วย แต่กลับไม่แน่ว่าฮ่องเต้จะทรงยอมรับดังนั้นกระมัง? หาไม่แล้ว เมื่อสิ้นปีปีก่อนเหตุใดฮ่องเต้จึงทรงเรียกตัวจี้อ๋องกลับมาเป็นการพิเศษเล่า?”
เว่ยฮ่วนยิ้มจางๆ กล่าวว่า “นั่นก็เป็นเรื่องของตระกูลเสิ่นแล้ว พวกเราล้วนแซ่เว่ย ยามนี้ว่ากันแต่เรื่องของตระกูลเว่ยเสียก่อน …หลานคิดว่าฉางเฟิงมีวาสนาไม่สู้ฉางอิ๋ง กลับไม่รู้ว่าหลานมีวิธีช่วยเหลืออย่างไร?”
“การที่ฮ่องเต้โปรดเกล้าฯ สมรสพระราชทานก็เพียงต้องการหยั่งเชิงว่าตระกูลเว่ยของพวกเราอ่อนแอดังนี้จริงหรือไม่ เรื่องานแต่งของบุตรหลานในสายหลักของตระกูลแต่กลับถูกราชสำนักชี้นิ้วได้ตามใจ ตามข่าวสารจากในทางลับแล้ว การแต่งงานครานี้ยังถูกกำหนดออกมาโดยมีสนมเมี่ยวและสนมเอกเติ้งร่วมมือกันออดอ้อนเสียด้วย” เว่ยซินหย่งเอ่ยยิ้มๆ “แต่ไรมาเรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานล้วนเป็นบิดามารดากำหนด คนนอกที่แม้ว่าจะใกล้ชิดเช่นญาติผู้ใหญ่ข้างตายายก็ยังไม่อาจเอ่ยคำใดได้ แม้ราชสำนักจะสูงส่ง ทว่าในเมื่อไม่ได้รับคำขอจากทั้งสองบ้าน ไม่ได้สอบถามความคิดเห็นของทั้งสองฝ่าย เพียงฟังจากคำของเหล่าสนมนางในก็มาพระราชทานสมรสเอาดื้อๆ …ประหนึ่งเห็นว่าหลานชายฉางเฟิงและบุตรสาวของตระกูลซูเป็นดังบ่าวไพร่ที่จะให้จับคู่แต่งงานกันตามอำเภอใจได้ การลบหลู่เช่นนี้ ตระกูลเว่ยของพวกเราจะยอมทนรับได้อย่างไร?”
เว่ยฮ่วนเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า “หลานก็คงรู้ว่าผลของการไม่ทนยอมรับคือสิ่งใด?”
“ยามนี้เว่ยอวี้ซึ่งเป็นคนในสายแขนงของสายหลักของรุ่ยอวี่ถังดำรงตำแหน่งเสนาบดีปกครอง บุตรสาวคนโตของเขาเป็นพระชายารุ่ยอ๋อง แม้บุตรหลานจะไม่ได้มีชื่อเสียงเรื่องความสามารถโดดเด่น ทว่าเว่ยอวี้ก็ยังอายุไม่เท่าท่านประมุข” เว่ยซินหย่งเอ่ย “คิดว่าด้วยท่านประมุขเล็งเห็นว่าบุตรหลานของเขาไม่โดดเด่นอันใด จึงสนับสนุนให้เขารับตำแหน่งเสนาบดีปกครองในครานั้น แล้วประสาอะไรที่เมื่อท่านประมุขยังเล็งเห็นดังนี้ แล้วฮ่องเต้จะไม่เล็งเห็นเช่นกัน?”
“ทั้งยังมีฝ่ายจวนจิ้งผิงกงอีก” เว่ยซินหย่งเอ่ยต่อไปว่า “ครั้งบุตรชายท่านจิ้งผิงกงยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นนักเขียนเรืองนาม ทั้งยังต้องมาตายด้วยน้ำมือของ ‘พวกหรง’ บุตรชายของเขาล้วนขึ้นชื่อเรื่องกตัญญูและคุณธรรม หากฮ่องเต้จะทรงมีพระเมตตา หรือกระทั่งสามารถให้เขาออกทุกข์ได้ก่อนกำหนด ล้วนเป็นเรื่องที่อยู่ในเหตุในผล นอกจากนี้แล้ว ท่านพี่เซิ่งอี๋ก็อยู่ในเมืองหลวง ยามนี้ก็ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายขวาของเจ้ากรมอารักษ์เป็นขุนนางขั้นสองครึ่งขั้น แม้มีเกียรติต่างจากขุนนางขั้นหนึ่ง ทว่าขอเพียงฮ่องเต้มีน้ำพระทัย เรื่องนี้ก็มิได้ห่างไกลอันใด”
“สมุหกลาโหมหลิวซือฮวายและเวยหย่วนโหวหลิวซือจิ้งแห่งหรานหลีถัง เดิมทีก็มิใช่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันเช่นกัน? แต่เป็นเพราะนับแต่หลิวซือฮวายเข้ามารับราชการแล้วก็สามารถไต่เต้าได้อย่างราบรื่น เวลานี้ถึงกับมีความสามารถหมายปองตำแหน่งประมุขตระกูลให้แก่คนในสายตระกูลของตนได้ นี่เป็นตัวอย่างที่มีให้เห็นอยู่แล้ว หลานฉางเฟิงมีท่านประมุขและฮูหยินผู้เฒ่า ท่านพี่เซิ่งอี๋ก็สามารถมีองค์ฮ่องเต้”
เว่ยซินหย่งจิบน้ำชาไปคำหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ พลางว่า “มิเช่นนั้น เหตุใดท่านประมุขจึงยอมรับสมรสพระราชทานครานี้ไปโดยปริยาย?”
“มิผิด ข้าส่งท่านราชทูตกลับไปอย่างเกรงอกเกรงใจจริงดังว่า” เว่ยฮ่วนหรี่ตาลง เอ่ยว่า “ดูท่าเจ้าเองก็สนับสนุนให้ข้าฝืนทนไปจนถึงที่สุด?”
“ฝืนทนทำได้เพียงชั่วครู่หาใช่ตลอดไปไม่” เว่ยซินหย่งเอ่ยยิ้มๆ “ฮ่องเต้ทรงคิดจะถอนรากถอนโคนตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่เช่นเรา ทว่าก็เกรงกลัวพวกเราเป็นนักหนา ในเมื่อฮ่องเต้มีพระทัยขัดแย้งกันดังนี้ แล้วจะไม่ทรงมีเรื่องหวาดระแวงมากขึ้นอีกหรือ? หลานฉางเฟิงเป็นถึงหลานชายแท้ๆ เพียงผู้เดียวของท่านประมุข อีกทั้งยามนี้ยังเป็นว่าที่ประมุขคนต่อไปที่ท่านประมุขสนับสนุนด้วย แต่กลับถูกจับคู่ส่งๆ ตามอำเภอใจเช่นนี้… แม้อิทธิพลของรุ่ยอวี่ถังนับวันจะถดถอย ทว่าท่านประมุขยังอยู่ แล้วจักยอมให้หลานชายแท้ๆ ถูกลบหลู่เยี่ยงนี้ได้อย่างไร? แต่ท่านประมุขกลับทนยอมเสียนี่ เกรงว่าเวลานี้ ฮ่องเต้คงกำลังเคลือบแคลงขึ้นมาอีกครา และไม่รู้จะวางหมากอย่างไรแล้ว”
เว่ยฮ่วนเอ่ยนุ่มๆ ว่า “คนเป็นไม้ใกล้ฝั่ง ก็วางแผนที่ว่างเปล่าได้ดังนี้เท่านั้น หาวาดหวังถึงชัยชนะได้ไม่”
“ท่านประมุขยังอยู่ รุ่ยอวี่ถังจะกลายเป็นความว่างเปลาได้อย่างไร?” เว่ยซินหย่งแย้มยิ้ม “เมื่อมีท่านประมุขอยู่ รุ่ยอวี่ถังย่อมยังคงมั่งคงดังแผ่นศิลา ประเด็นนี้ บางทีฮ่องเต้ทรงทราบ หรือบางทีก็อาจไม่ทรงทราบ ทว่าในความคิดของซินหยก เกรงว่ายามนี้หกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเลล้วนกำลังหารือกันว่าจะรับมือกับเรื่องนี้เช่นได้แล้ว แม้ระหว่างหกตระกูลจะมีเรื่องไม่ถูกกัน ทว่าวันนี้ฮ่องเต้กำจัดตระกูลเว่ย วันพรุ่ง ผู้ใดจักรู้ว่าจะไปถึงตระกูลใด?”
…เมื่อออกจากรุ่ยอวี่ถัง หู่หนูเอ่ยถามเว่ยซินหย่งอย่างไม่เข้าใจว่า “คุณชายขอรับ ในเมื่อฮ่องเต้ก็ไม่แน่พระทัยว่ารุ่ยอวี่ถังจะอ่อนแอจริงหรือไม่ แล้วเหตุใดยังคงมีพระราชโองการลงมา? หากถูกฉางซานกงโต้กลับ แล้วจะให้ราชสำนักเอาหน้าไว้ที่ใดขอรับ?”
“ในเมื่อฮ่องเต้ ‘เชื่อ’ คำยุยงของฮองเฮาเฉียนจนปลดพระราชโอรสองค์โตจากตำแหน่ง ทั้งยัง ‘เชื่อ’ คำยุยุงของฮองเฮากู้และสนมเอกเติ้งในปัจจุบันนี้ ปลดฮองเฮาเฉียนและพระราชโอรสองค์ที่สี่ แล้วยังมีอันใดน่าแปลกที่เวลานี้ยัง ‘เชื่อ’ คำของสนม แล้วบุ่มบ่ามพระราชทานสมรสให้แก่ตระกูลสูงศักดิ์?” เว่ยซินหย่งยิ้มเรียบๆ คราหนึ่ง บอกว่า “อย่างไรก็ดี ฮ่องเต้หมางเมินกับราชกิจและเอาแต่หลงใหลตำหนักหลังก็มิใช่เรื่องแค่ปีสองปีแล้ว เชื่อคำนางในในวังและกระทำการตามพระทัยก็มิใช่แค่หนสองหน …ว่ากันตามตรง ฮ่องเต้แสร้งอาศัยชื่อเสียงความเป็นฮ่องเต้ผู้เลอะเลือนจึงกล้าทำสิ่งเหล่านี้ และเป็นการพิสูจน์ถึงความหวั่นกลัวที่ฮ่องเต้มีต่อตระกูลสูงศักดิ์ของพวกเรา กลัวว่าหากหยั่งเชิงไปตรงๆ แล้วจะทำให้หกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเลลุกฮือขึ้นมาน่ะสิ!”
หู่หนูกระจ่างขึ้นมาทันใด กล่าวว่า “มิน่าเล่าเมื่อคุณชายได้ยินข่าวว่าพระมารดาจี้อ๋องสิ้นประชนม์ จึงเพียงแค่เตรียมตัวอย่างที่เคยทำตามปกติ แต่เมื่อได้ยินว่า เว่ยฉางเฟิงได้รับสมรสพระราชทาน กลับเร่งรีบจัดการงานในอำเภอทั้งวันทั้งคืน แล้วรุดเดินทางทั้งกลางคืนมาที่นี่ในทันใด!”
“หากว่าช้าไปก้าวหนึ่ง ก็มิเท่ากับว่าเสียโอกาสงามไปรึ?” เว่ยซินหย่งเอ่ยยิ้มๆ “ต่อให้เป็นเว่ยฮ่วน แต่เมื่อยามนี้ถูกถ่วงด้วยการต่อสู้ภายในรุ่ยอวี่ถัง แม้จะกักตัวเว่ยฉีไว้ในเฟิ่งโจวได้ แต่กลับมิอาจทำอันใดเขาได้ …ข้ากลับหวังว่าจะส่งจือเปิ่นถังลงไปเซ่นไหว้ท่านพ่อและพี่หญิงใหญ่ในปรโลก แล้วจะมัวแต่ปิดประตูหน้าต่างอยู่ในที่เล็กๆ เช่นอำเภอเฉาอวิ๋นไปชั่วชีวิตได้อย่างไร? หากมิใช่ว่าสถานการณ์ครานั้นบีบบังคับ…”
เขาส่ายหน้า มองออกไปยังฝูงชนที่ค่อยๆ แน่ขนัดขึ้นเรื่อยๆ ข้างนอกตัวรถคราวหนึ่ง แล้วยั้งปากไว้อย่างระมัดระวัง สั่งความเสียงต่ำๆ ไปว่า “ไปที่ที่ตระเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและสัมภาระเดินทาง …คฤหาสน์ลูกชายคนเล็กของเฉินหรูผิงเจ้ารู้จักใช่หรือไม่?”
หู่หนูพยักหน้า “บ่าวพอจะทราบตำแหน่งขอรับ คิดว่าคงหาไม่ยาก”
“เช่นนั้นเป็นดี พยายามอย่าไปถามทางคน เพื่อมิให้เกิดเรื่องเดือดร้อนและร่องรอยที่ไม่จำเป็น” เว่ยซินหย่งพึมพำ “เว่ยฮ่วนเกือบจะรับปากข้อเสนอของข้าแล้ว แม่เฒ่าซ่ง …คนผู้นี้ปกป้องเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเสียจนเข้ากระดูกดำ หวังว่านางจะสามารถสร้างเรื่องประหลาดใจให้ข้าได้บ้างเป็นดี!”
หู่หนูเอ่ยยิ้มๆ “คุณชายคาดการณ์ไว้ไม่ผิด ว่าจะสามารถเกลี่ยกล่อมแม่เฒ่าซ่งได้ สมดังปรารถนาแล้ว!”
เว่ยซินหย่งกลับหัวเราะเย้ยตนคราวหนึ่ง กล่าวว่า “คาดการณ์ไว้ไม่ผิด? คนหาใช่เทพ ผู้ใดจักคาดการณ์ไม่ผิด? ข้าเพียงแต่พยายามทำสิ่งที่ทำได้เท่านั้น…”
เขาเปิดม่านในรถขึ้นเล็กน้อยแล้วมองไปภายนอก สิ่งที่เขามองเห็นคือถนนที่งดงามและคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทว่าลึกเข้าไปในดวงตากลับคือภาพรางๆ ของภูผาไกลที่หิมะไม่เคยมีวันละลาย
_______________________