ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 182 ระยะห่าง
ณ เมืองหลวง
จนถึงวันถัดมาจากงานเลี้ยงครบเดือน เว่ยฉางอิ๋งจึงเพิ่งรู้ข่าวที่ซูอวี๋อู๋ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งยังต้องพิษ รวมทั้งเรื่องก่อนที่ตนเองจะคลอด ท่านอารองเว่ยเจิ้งอินพาจี้ชวี่ปิ้งขึ้นรถเร่งเดินทางไปที่ตงหูเพื่อช่วยชีวิตบุตรชายของตน นับแต่ก่อนตนคลอดไม่กี่วันจนถึงเวลาคลอด เรื่องที่คนรอบตัวบอกว่า ‘ท่านหมอเทวดาจี้หงุดหงิดไม่ยอมมา’ ‘ท่านหมอเทวดาจี้บอกว่าฮูหยินน้อยร่างกายแข็งแรงนัก ไม่จำเป็นต้องให้เขามาดูบ่อยๆ’ ‘ท่านหมอเทวดาจี้ก็อยู่ข้างนอกนี้ ฮูหยินน้อยท่านโปรดวางใจเถิด’ ล้วนเป็นเรื่องหลอกลวงนาง
ในขณะที่กำลังอยู่เดือน ที่นางหวงบอกว่า ‘ท่านหมอเทวดาจี้บอกว่าคุณชายของเราแข็งแรงัก จะต้องไม่เจ็บไม่ไข้ไปตลอดชีวิตแน่’ ยิ่งเป็นเรื่องที่พูดไปส่งเดช
หลังจากรู้ความจริงแล้วเว่ยฉางอิ๋งจึงโมโหเป็นนักหนา …ประเด็นเรื่องเว่ยเจิ้งอินไม่สนใจว่าหลานสาวจวนเจียนจะคลอดและพาตัวจี้ชวี่ปิ้งไป เพราะเว่ยฉางอิ๋งเองก็คลอดอย่างปลอดภัยและไม่ได้ใช้สอยจี้ชวี่ปิ้ง กอปรกับเวลานี้นางเพิ่งจะแม่คนจึงสามารถเข้าใจจิตใจของเว่ยเจิ้งอินได้
ยิ่งไปกว่านั้นการที่นางหวงตัดสินใจไม่ส่งคนไปตามก็ถูกต้องแล้ว ในช่วงที่นางใกล้คลอด ตั้งแต่จี้ชวี่ปิ้ง ถึงนางหวง จนถึงฮูหยินซูล้วนคิดว่าจะต้องคลอดอย่างราบรื่น ในสถานการณ์เช่นนี้หากยังขืนรั้งตัวจี้ชวี่ปิ้งเอาไว้เพื่อป้องกันสิ่งไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้น แล้วกลับทำให้เกิดผลร้ายต่อชีวิตของลูกผู้น้องแท้ๆ ทั้งยังเป็นทายาทเพียงคนเดียวของท่านอาหญิงแท้ๆ ด้วย ตัวเว่ยฉางอิ๋งเองก็ทำเรื่องเช่นนี้ไม่ลงเช่นกัน
แต่ส่งที่นางโกรธเคืองอย่างหนักก็คือเรื่องที่นางหวงตัดสินใจเอาเองว่าจะปิดบังตนไว้ พวกนางเฮ่อก็ยังร่วมมือกันช่วยนาง สิ่งที่ขัดเคืองเป็นที่สุดก็คือยังปิดตนเองเอาไว้ได้อย่างไม่รั่วไหลเลยสักนิด!
เรื่องนี้บอกชัดว่าหากเหล่าท่านอาทั้งหลายร่วมมือกันแล้ว ตนเองซึ่งเป็นนายก็มิใช่ว่าจะถูกจัดฉากเอาได้หรอกหรือ?
ก่อนออกเรือน ครั้งฮูหยินซ่งถ่ายทอดเคล็ดลับปกครองคนแก่บุตรสาวเป็นการส่วนตัว นางก็ย้ำเตือนบุตรสาวในประเด็นนี้เอาไว้เป็นพิเศษ แม้ครั้งนั้น เว่ยฉางอิ๋งจะยังซุกซนแต่ก็มิใช่ว่าไม่ได้ฟังเข้าหู
ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ เรื่องในครานี้ต้องลงโทษกันเสียแล้ว และคนที่ต้องรับโทษหนักที่สุดย่อมเป็นนางหวง
ทุกคนในเรือนจินถงเพิ่งได้รับเงินรางวัลที่คุณชายหลานรองครบเดือนก็มาถูกลงโทษเสียแล้ว ข่าวคราวนี้ย่อมปิดบังเอาไว้ไม่อยู่ ฮูหยินซูได้ยินว่ากระทั่งนางหวง นางเฮ่อ และนางว่านท่านอาทั้งสามคนล้วนถูกลงโทษกันหมด ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกทำโทษหนักที่สุด ด้วยการหักเงินค่าแรงครึ่งปีเต็ม ฮูหยินซูก็รู้ว่าสะใภ้ต้องการจะสั่งสอนพวกนาง เพื่อมิให้วันหน้าพวกนางบังอาจร่วมมือกันปิดบังตนเองอีก
สำหรับเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งสามารถทำใจแข็งยอมเสียหน้าแต่ไม่ยอมผ่อนปรนให้แก่ท่านอาที่เป็นบ่าวติดตามนี้ ฮูหยินซูรู้สึกพอใจนัก แต่ก็ยังเอ่ยเตือนสะใภ้ว่า “บ่าวหลอกลวงเจ้าเป็นเรื่องไม่สมควร แต่ก็ต้องดูด้วยว่าเป็นเรื่องใด เช่นครานี้ เป็นเรื่องที่สามารถให้อภัยได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางก็บอกกล่าวและได้รับความเห็นชอบจากข้าแล้ว เจ้าลงโทษนั้นต้องลงโทษ แต่ให้รางวัลกับลงโทษต้องแยกแยะ …เรื่องที่ควรต้องให้รางวัลพวกนางก็ต้องให้รางวัล” “ที่แท้พวกนางมาขออนุญาตท่านแม่ก่อนหรือเจ้าคะ? สะใภ้ยังหลงนึกว่าปิดบังกระทั่งท่านแม่ไปด้วยเสียอีก! ดีที่ท่านแม่บอกกล่าว! สะใภ้จะไปแก้ไขให้ถูกต้องเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกเสียใจขึ้นมา
แต่นางเพิ่งจะลงโทษคนไป แล้วก็จะมาให้รางวัลเสียแล้ว จึงออกจะดูขัดเขินไปสักหน่อย ฮูหยินซูจึงช่วยพาดบันไดเป็นทางลงให้แก่สะใภ้ที่จะมาเป็นคนปกครองบ้านในอนาคต ด้วยการเรียกบ่าวที่มีหน้ามีตาในเรือนจินถงและเว่ยฉางอิ๋งมาหาตรงหน้า แล้วบอกกับทุกคนว่าที่ปิดบังเว่ยฉางอิ๋งตั้งแต่แรกนั้นเป็นความต้องการของตนเอง …ในเมื่อมีทางลงเช่นนี้แล้ว แม้เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้ประกาศว่าจะไม่ลงโทษพวกนางแล้ว ทว่าก็สามารถให้รางวัลทุกคนไปจำนวนหนึ่งในนามว่า ‘เห็นใจ’ ได้
ให้รางวัลและลงโทษต้องแยกแยะว่าเรื่องใดเป็นเรื่องใด ทว่าเมื่อนับไปแล้วนางก็ให้รางวัลมากกว่าลงโทษ
ดังนี้แล้วเสียงโอดครวญเป็นการภายในที่มาจากการลงโทษไปก่อนหน้านี้ก็กลับไม่มีแล้ว
ในขณะที่ฮูหยินซูรู้สึกว่าสะใภ้สามเป็นเด็กที่สามารถสอนสั่งได้ ทางหนึ่งเว่ยฉางอิ๋งกลับกำลังหมุนกลองป๋องแป๋งหยอกบุตรชาย ทางหนึ่งก็อมยิ้มขอขมานางหวงว่า “ครานี้ลำบากท่านอาแล้ว”
นางหวงย่อมบอกว่ามิกล้ารับ
แล้วได้ยิน เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ อย่างใจเย็นว่า “ความจริงแล้วเมื่อข้าได้ยินที่ท่านอธิบายให้ฟัง ข้าก็รู้แล้วว่าด้วยความรอบคอบของท่านอาจะต้องไปบอกกล่าวกับท่านแม่มาแล้ว เพียงแต่แม้จะบอกว่าท่านอาทำไปเพื่อข้า แต่ครานี้อย่างไรก็เป็นการหลอกลวงและปิดบังข้า ข้ากลับไม่อยากลงโทษท่านอา แต่ก็กลัวว่าจะมีคนไปฟ้องกับท่านแม่ ว่าข้าใช้การไม่ได้ คนรอบกายร่วมมือกันก็สามารถปิดบังข้าได้อย่างสนิทเหมือนถังเหล็ก เอาข้าขังไว้ข้างในว่าอย่างไรก็เชื่อไปเสียหมด! จึงไม่อาจไม่ลงโทษได้ ทว่าเมื่อลงโทษไปดังนี้แล้ว ก็กลัวว่าจะทำให้ท่านแม่เสียหน้า ฉะนั้นก่อนหน้านี้จึงแสร้งทำให้เป็นไม่รู้ว่าท่านอาไปรายงานกับท่านแม่มาแล้ว…”
“เมื่อท่านแม่ให้คำชี้แนะข้ามาดังนี้แล้ว ก็ทำให้ทั้งสองฝ่ายพอใจกันทั้งคู่ ไม่ทำให้เสียความปรองดองและไม่ให้พวกคนชั่วฉวยโอกาสลงมือด้วย จึงต้องลำบากพวกท่านอาแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าบุตรชายง่วงนอนแล้ว จึงรีบหยุดเสียงกลองป๋องแป๋งเสีย แล้วเอาไปวางบนโต๊ะข้างๆ เปลอย่างเบามือ ค่อยๆ วางเขาลง แล้วค่อยเอ่ยกับนางหวงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ยามนี้ข้าคอยเป็นห่วงกวงเอ๋อร์ ไม่อาจมาอธิบายเรื่องต่างๆ กับท่านอาก่อนแล้วค่อยลงมือทำเหมือนก่อนมา ท่านอาอย่าได้ถือสาข้า ท่านเป็นคนที่ท่านย่ามอบให้ข้า ข้าก็เห็นท่านประหนึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่”
นางหวงรำพึงในใจว่านับวันเว่ยฉางอิ๋งจะยิ่งมีคุณสมบัติของนายผู้หญิงผู้ปกครองบ้านมากขึ้นแล้ว …แต่เดิมนั้น ผู้เป็นนายผู้หญิงที่สามารถดูแลเรื่องต่างๆ ได้โดยลำพัง จะมามองว่าบ่าวคนหนึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ได้อย่างไร? ยิ่งใกล้ชิดยิ่งไม่เคารพ ยิ่งคุ้นเคยยิ่งไม่นอบน้อม ความสัมพันธ์ระหว่างนายและบ่าว อย่างไรก็ต้องมีขอบเขต
ก่อนนี้เว่ยฉางอิ๋งมองนางหวงและนางเฮ่อประหนึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ แม้ยามนางบันดาลโทสะก็คล้ายเป็นเด็กกำลังแง่งอน แต่หากใกล้ชิดเกินไปก็กลับดูไม่มีความเป็นนายและขาดความเข้มงวดเด็ดขาด
เมื่อครั้งยังเป็นคุณหนูในเหย้าในเรือน และตอนเพิ่งออกเรือนไม่ทันได้ปกครองดูแลบ้านก็ยังพอทำเนา แต่เวลานี้บุตรชายคนโตนางก็มีแล้ว ในเมื่อเป็นแม่คนแล้ว ย่อมต้องรับผิดชอบภาระของคนเป็นแม่ ย่อมไม่อาจเป็นเหมือนก่อนมา …เป็นถึงนายผู้หญิงปกครองบ้านของตระกูลสูงศักดิ์แต่กลับต้องไปขอคำชี้แนะและทำตามบ่าวคนหนึ่งเสียทุกเรื่องไป หากเรื่องนี้แพร่ออกไปแล้วจะน่าฟังหรือ? ในขณะที่คนนอกเยาะหยันเว่ยฉางอิ๋งว่าไม่ได้ความ ย่อมต้องเคลือบแคลงว่านางหวงจงใจบีบ เว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ไม่ยอมปล่อยมือ คอยบงการคนเป็นนาย …ซึ่งเรื่องนี้ล้วนไม่ดีต่อนายบ่าวทั้งสองคน
จะว่าไปแล้วเมื่อ เว่ยฉางอิ๋งตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ไวเพียงนี้ เรื่องน้อยใหญ่ที่นางหวงคอยเตือนสติไม่ขาดตกบกพร่อง และงานสนับสนุนอยู่หลังฉากที่ยังต้องทำอย่างรัดกุมนับตั้งแต่นางหวงเป็นบ่าวติดตามมายังคงไม่อาจไม่ทำต่อไป สิ่งที่นางสอนสั่งมาเป็นผลยิ่งนัก เวลานี้เว่ยฉางอิ๋งนับวันจะมีความเป็นนายผู้หญิงผู้ปกครองบ้านมากขึ้นแล้ว ทว่าก็ค่อยๆ ห่างเหินกับนางหวงไปแล้ว จากเดิมที่เคยเป็นเหมือนคนรุ่นหลัง จนมาขยับออกมาถึงระยะห่างที่นายและบ่าวยังคงให้เกียรติซึ่งกัน แต่ก็ไม่ถึงกับสลับฐานะสูงต่ำ และสามารถรักษาความน่าเกรงขามของเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ได้อย่างพอดิบพอดี
ไม่ใช่ว่านางหวงไม่รู้สึกใจหาย ทว่านางก็เป็นคนที่เข้าใจทุกสิ่งดี นางคาดเอาไว้แล้วว่าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งอยู่ในบ้านเสิ่นได้อย่างดี ไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องเปลี่ยนมาอยู่ในฐานะเช่นนี้ ยิ่งเรียนรู้เร็ว ยิ่งสำเร็จเร็ว แม่เฒ่าซ่งจะได้วางใจ นางหวงเองก็วางใจด้วย เพราะอย่างไรเสียอนาคตของบ่าวติดตามเช่นพวกนางล้วนอยู่ที่ตัวเว่ยฉางอิ๋ง ยิ่งไปกว่านั้น แม้เว่ยฉางอิ๋งจะทำให้ระยะห่างระหว่างนายและบ่าวไกลออกไป ทว่าก็ยังให้ความเชื่อมั่นและเคารพต่อนางอยู่
ความรู้สึกสะเทือนใจฉายวาบเข้ามาในอกของนางหวงแล้วเลยผ่านไป นางหวงยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ขอเพียงให้ฮูหยินน้อยอยู่ดี ต่อให้ต้องร่างสลายกระดูกป่นข้าน้อยก็ยินยอมพร้อมใจเจ้าค่ะ”
ในเมื่อคลายปมครานี้ได้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงเรียกให้นางเจ้าแม่นมของเสิ่นซูกวงเข้ามาคอยดูเปลเอาไว้ ส่วนตนเองก็ลุกขึ้นพานางหวงมาที่โถงหลัก แล้วเอ่ยถึงเรื่องของซูอวี๋อู่ขึ้นมา “อาการบาดเจ็บของลูกผู้น้องห้าเป็นเช่นใด? วานนี้เห็นว่าคนบ้านซูก็มาด้วย คิดว่าคงจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแล้วกระมัง?”
“ระหว่างทางที่นายหญิงรองพาท่านหมอเทวดาจี้ไป ก็ได้พบรถม้าของตระกูลหลิวที่พาคุณชายซูห้าและยังมีคุณชายเผยกลับมาเมืองหลวง จึงไปแก้พิษกันที่ที่พักระหว่างทางเสียก่อนเจ้าค่ะ …ดีที่ตระกูลหลิวส่งคนมาบอกข่าวก่อนว่าพิษที่ไปโดนมานั้นมีกระเรียนระทมเป็นส่วนประกอบหลัก และในมือท่านหมอเทวดาจี้ก็มียาที่ปรุงสำเร็จอยู่แล้วจึงได้นำไปด้วย ดังนี้จึงสามารถสกัดพิษที่คุณชายทั้งสองถูกมาได้ในทันใดเจ้าค่ะ” นางหวงรำพันว่า “นี่ก็เกือบไปแล้วจริงๆ! ได้ยินว่าท่านหมอเทวดาจี้เองก็บอกว่าหากช้าไปอีกสามวันห้าวันก็ไม่ต้องคิดการใดอีกแล้วเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างตื่นตกใจว่า “แล้วยามนี้เล่า?” ประการแรก นางเชื่อมั่นในฝีมือแพทย์ของจี้ชวี่ปิ้งอย่างยิ่ง ประการที่สอง ในงานฉลองครบเดือนมีคนบ้านซูมาแสดงความยินดี ทุกคนต่างสนทนากันอย่างยิ้มแย้ม ไม่เห็นว่ามีท่าทีเศร้าโศกเป็นกังวลอันใด ข้างนางเฉียนท่านป้าใหญ่นั่นก็แล้วไป แต่ท่านยายแม่เฒ่าเติ้งนั้นเป็นคนที่รักใคร่ลูกหลานเป็นที่สุด หากซูอวี๋อู่เกิดเรื่องไม่ดีใด ท่านยายผู้นี้จะไม่แสดงพิรุธใดให้จับได้เลยหรือ?
เมื่อคาดเดาไปดังนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงนึกว่า ลูกผู้น้องซูอวี๋อู่ก็แค่เพียงบาดเจ็บสาเหตุทั่วๆ ไปเท่านั้น แม้ว่าในเขตทะเลนี้จะมีเพียงจี้ชวี่ปิ้งคนเดียวที่สามารถถอนพิษกระเรียนระทมได้ แต่ในเมื่อจี้ชวี่ปิ้งก็ไปแล้ว เช่นนั้นซูอวี๋อู่ก็ไม่มีเรื่องใดให้ต้องเป็นกังวลอีก แต่ไม่นึกว่าพอฟังจะที่นางหวงพูด กลับกลายเป็นว่าครานี้ซูอวี๋อู่เกือบไม่รอด แม้แต่จี้ชวี่ปิ้งเองก็ยังยินดีแทนเขา?
ท่านอาหญิงรองเว่ยเจิ้งอินก็มีบุตรชายคนนี้เพียงคนเดียว เว่ยฉางอิ๋งเคยเห็นความยากลำบากของเว่ยเซิ่งเซียนท่านอาหญิงใหญ่ของนาง และตวนมู่เยี่ยนอวี่พี่สะใภ้รองบ้านสามีที่ไร้บุตรชายมาแล้ว นางย่อมต้องเป็นกังวลว่าหากซูอวี๋อู๋เป็นอะไรไป …แล้วเขายังไม่ทันแต่งงาน ยังไม่มีทายาท หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ แล้วจะให้เว่ยเจิ้งอินทำอย่างไร?
“เวลานี้คุณชายซูห้ายังคงอยู่ระหว่างทาง และค่อยๆ เดินทางกลับมา เพราะอาการบาดเจ็บของคุณชายทั้งสอง ตระกูลหลิวจึงใช้ยาที่ดีที่สุด เหตุที่ก่อนหน้ามีอันตรายถึงชีวิตก็ด้วยต้องพิษ ในเมื่อพิษถูกสกัดเอาไว้แล้วจึงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งมีสีหน้าหนักอึ้ง นางหวงจึงรีบบอกว่า “ทว่า ท่านหมอเทวดาจี้ก็บอกว่าตัวยาอีกสองสามตัวในพิษกระเรียนระทมนั้นทำให้ฤทธิ์ของยาเปลี่ยนไป ใช้เพียงยาถอนพิษกระเรียนระทมกลับไม่อาจแก้พิษได้จนหมด อย่างไรก็ต้องกลับมาที่เมืองหลวงและวินิจฉัยดูอีกรอบจึงจะได้เจ้าค่ะ คุณชายทั้งสองท่านมีบาดแผลจำนวนมาก นายหญิงรองเป็นห่วงว่าบาดแผลจะฉีกขาดกว่าเดิม จึงสั่งให้รถม้าค่อยๆ ขับมา ราววันมะรืนจึงจะถึงเมืองหลวง ฮูหยินน้อยท่านอย่าได้เป็นกังว ท่านคิดดูว่าท่านหมอเทวดาจี้ก็อยู่ที่นั่นจะต้องไม่เกิดเรื่องใหญ่แน่นอนเจ้าค่ะ หาไม่วานนี้พวกของท่านแม่เฒ่าเติ้งก็จะไม่มีแก่ใจมาดูคุณชายน้อยเขาเราหรอก ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งใคร่ครวญในใจ แล้วเอ่ยพลางทอดถอนใจว่า “เรื่องนี้ก็จริงๆ เชียว …ไปสร้างผลงานที่ชายแดนดีๆ ไยจึงเป็นถึงเพียงนี้?” แม้จะบอกว่าเมื่อเข้าสนามรบแล้วไม่มีสิ่งใดแน่นอน แต่เว่ยฉางอิ๋งเคยคิดเอาไว้ว่าทุกคนที่ไปชายแดนล้วนเป็นบุตรหลานที่มีความสามารถโดดเด่นของแต่ละตระกูล บรรดาญาติผู้ใหญ่ของพวกเขาต้องหน้าดำคร่ำเครียดกว่าจะชิงโอกาสนี้ให้เขาพวกเขาได้ ซึ่งก็เพื่อให้พวกเขาไปสร้างความชอบ หาใช่ให้พวกเขาไปตาย ฉะนั้นแม้คนเหล่านี้จะเข้าสนามรบก็จะต้องมีคนคอยปกป้องชนิดทั้งลมทั้งฝนไม่ต้องตัว แล้วผู้ใดจะคิดว่ายังไม่ทันถึงปี ทั้งห้าคนที่ไปที่ตงหูไม่มีสักคนที่ยังปลอดภัยดีอยู่ …นางจึงอดจะเป็นกังวลถึงสามีขึ้นมาไม่ได้
นางหวงสังเกตจากวาจาและสีหน้าก็รู้ว่าด้วยเรื่องของซูอวี๋อู่ทำให้นางคิดไปถึงเสิ่นจั้งเฟิง จึงปลอบนางไปว่า “เรื่องที่ตงหูนั้นเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย พอดีต้องบุกข้าไปในวงล้อมที่พวกหรงซุ่มตัวอยู่ แล้วไปพบกับพวกพ่อมดและมือธนูชั้นเลิศภายในนั้น คุณชายของเราเป็นคนรอบคอบ จะต้องไม่เป็นดังนี้แน่เจ้าค่ะ”
แล้วเอ่ยเสียงต่ำๆ ไปอีกว่า “ครานี้มิใช่ว่าคุณชายหลิวบาดเจ็บน้อยที่สุดหรือเจ้าคะ? แล้วประสาอะไรกับคุณชายของเราเล่า? เมื่อได้ยินข่าวนี้ ฮูหยินก็รีบส่งคนไปส่งจดหมายที่ซีเหลียง กำชับให้คุณชายของเราต้องระวังให้มาก ต่อให้ต้องเสียโอกาสทองไป ก็อย่าได้บุ่มบ่ามบุกเข้าโจมตีโดยเด็ดขาดเจ้าค่ะ! ‘จี๋หลี’ ของตระกูลเสิ่นคอยติดตามคุณชายตลอดเวลา ฮูหยินน้อยท่านอย่าได้เป็นกังวล ท่านประมุขและฮูหยินเป็นบิดามารดาแท้ๆ ของคุณชาย เมื่อทางตงหูเกิดเรื่องท่านประมุขและฮูหยินจะไม่เป็นห่วงคุณชายได้อย่างไร? ก่อนนี้ที่ยังไม่ทันบอกเรื่องคุณชายผู้น้องให้ท่านทราบ ก็ด้วยกลัวว่าท่านจะเป็นห่วงคุณชายของเราและคิดไปเลยเถิดไปไกลัเจ้าค่ะ”
เมื่อคิดได้ว่าซีเหลียงเป็นเขตอิทธิพลของตระกูลเสิ่น และเสิ่นจั้งเฟิงก็เป็นประมุขคนต่อไปได้กำหนดเป็นการภายในแล้ว ความปลอดภัยของเขาจะต้องสำคัญเสียยิ่งกว่าสำคัญ ในเมื่อครานี้ตระกูลหลิวสามารถปกป้องหลิวยิ้วเจ้าจนได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุด คิดว่าตระกูลเสิ่นก็คงจะไม่มีทางปล่อยให้เสิ่นจั้งเฟิงเสียท่าได้
ดังนี้แล้วเว่ยฉางอิ๋งจึงโล่งใจ แล้วแอบภาวนาต่อฟ้าว่าโปรดคุ้มครองเสิ่นจั้งเฟิงให้ผ่านพ้นเวลาสามปีนี้ได้อย่างปลอดภัย และกลับมาอยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวอย่างราบรื่นได้จะจึงดี
_______________________