ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 187-1 เรื่องอภิเษกขององค์หญิง (2)
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
“หากไม่มีพระมารดาแล้วจะมีลูกได้อย่างไรเพคะ?” องค์หญิงอันจี๋ย่อมไม่ยอมทำให้พระมารดาเสียพระทัย พลันรีบปลอบนางว่า “หากไม่มีพระมารดาอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าลูกจะอยู่ภายในวังนี้อย่างน่าสงสารเพียงใด! พระมารดาท่านดูพระพี่นางหลิงเซียนสิเพคะ มิใช่ว่าต้องอยู่อย่างโดดเดียวเดียวดายหรอกหรือเพคะ?”
ท่านหญิงเจินอี้ทอดถอนใจ “แม่ก็เพียงเลี้ยงดูเจ้ามาหลายปี ภายหลังก็มิใช่เพราะตัวเจ้าเองที่เก่งกาจ วังนี้แม่ก็มอบให้เจ้าดูแลมานานแล้ว จะคอยปกป้องเจ้าได้ที่ใด? ครานี้ หากมิใช่เพราะแม่ แล้วมีแต่เพียงเจ้า แล้วพระเชษฐาสิบเอ็ดจะมาวางแผนใดกับเจ้าได้?”
“เขาไม่ประสงค์ดีมาโดยตลอด บางทีต่อให้ลูกไม่ได้ไปสร้างปัญหาใดให้เขา เขาอาจรู้สึกขัดตาลูกก็เป็นได้?” พระเชษฐาที่ได้ชื่อว่าเป็นพระโอรสเลี้ยงของท่านหญิงเจินอี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไมได้สนิทสนมกับสองแม่ลูกเลยแม้แต่น้อยผู้นี้ องค์หญิงอันจี๋ไม่เคยชอบเขาเลยสักนิด นางยิ้มหยันพลางว่า “พวกเราอย่าเอ่ยถึงเขาเลย …ต่อให้ไม่มีเขา โดยนามแล้วพระมารดาของพระพี่นางหลิงเซียนก็มีเพียงพระพี่นางหลิงเซียนผู้เดียว แต่เมื่อเรื่องมาถึงตัว ก็ยังมิใช่ว่ามีค่าเท่ากันหรือเพคะ?”
เมื่อท่านหญิงเจินอี้นึกถึงจุดจบของอดีตสนมฮั่วก็อดสะท้านใจขึ้นมาไม่ได้ เวลานี้องค์หญิงหลิงเซียนมีชีวิตที่นับว่าดีไม่เลวเลย แต่นั่นก็เพราะพระสวามีรักใคร่นาง ยอมขัดต่อประสงค์ของท่านลุงและยืนกรานขอสมรสกับนางและปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดีจนบัดนี้ แต่มิใช่ว่าทุกคนจะมีความสุขในภายหลังได้เช่นที่องค์หญิงหลิงเซียนมี ยิ่งไปกว่านั้นเวลาหลายปีที่องค์หญิงหลิงเซียนอยู่ในวังก็อยู่อย่างท้อแท้ผิดหวัง ท่านหญิงเจินอี้ล้วนมองเห็นอยู่ในสายตา แล้วตัวนางฮั่วเองเล่า? นางตายแน่นอนอยู่แล้ว แต่ศพและกระดูกอยู่ที่ใด แม้แต่องค์หญิงหลิงเซียนก็ยังหาไม่พบ หรือบอกได้ว่ายากจะหาพบด้วย
นางนิ่งเงียบไป องค์หญิงอันจี๋เองก็นิ่งไปพักใหญ่ ขบริบฝีปากแล้วว่า “ลูกเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งมิใช่พวกเจ้าเล่ห์เพทุบาย เกรงว่าคนที่นางแนะนำมาคงไม่เลว มิสู้ เอาเป็นว่า…”
“เรื่องสำคัญทั้งชีวิตจะทำสะเพร่าเช่นนี้ได้อย่างไร?” ท่านหญิงเจินอี้ได้ยินพลันเอ่ยปรามนาง “อีกประการเวลานี้ยังไม่พ้นช่วงไว้ทุกข์ให้พระมารดาจี้อ๋อง พวกเราไม่เป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อ หากผลีผลามไปพูด เกรงว่าจะไม่ดี”
องค์หญิงอันจี๋เม้มปากหนแล้วหนเล่า กล่าวว่า “พระเชษฐาสิบเอ็ดต้องการใช้พระมารดาเป็นเครื่องมือให้ได้อยู่ในเมืองหลวงต่อไป ลูกคิดว่าองค์ฮองเฮาจะต้องอยากให้ลูกแต่งงานออกไปอยู่ไกลๆ ให้เร็วๆ สักหน่อย เพื่อจะได้พาเสด็จแม่ไปด้วย และให้พระเชษฐาสิบเอ็ดไม่มีเหตุผลจะอยู่ในเมืองหลวงต่อไป” ฮองเฮาและสนมเอกไม่ถูกกัน ส่วนอีอ๋องก็โน้มเอียงไปทางสนมเอก ประเด็นนี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
“ออกไปจากเมืองหลวงได้ก็ดี เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพียงแต่เรื่องสำคัญในชีวิตเจ้า …ก่อนอื่น…” เดิมทีท่านหญิงเจินอี้คิดตำหนิบุตรสาวว่าไม่ควรเป็นเพราะเดาว่าองค์หญิงหลินชวนจะมีแผนการแปลกๆ จึงผลีผลามไปช่วยเว่ยฉางอิ๋งเมื่อครั้งพระธิดาเฉิงเสียนออกเรือนปีก่อน และล่วงเกินองค์หญิงชิงซินนับแต่นั้นมา ยิ่งไปกว่านั้นแม้จะไปจวนขององค์หญิงหลิงเซียนก็ยังไม่ได้รับอนุญาต จะต้องเป็นเพราะองค์หญิงชิงซินคัดค้าน และไปร้องขอกับฮองเฮากู้เป็นแน่
หาไม่แล้วฮองเฮากู้มีชื่อเสียงว่าดีงามเรื่อยมา จะต้องไม่มาสร้างความลำบากใจให้นางด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
ในเมื่อองค์หญิงชิงซินคิดแค้นต่อองค์หญิงอันจี๋ ในเมื่อฮองเฮาไม่อยากให้วันหน้าอีอ๋องมีเหตุผลจะอยู่ในเมืองหลวงต่อไป จึงต้องคิดหาทางให้ท่านหญิงเจินอี้แม่ลูกออกไปจากวัง ไม่แน่ว่าอาจจะจัดการองค์หญิงอันจี๋ไปพร้อมๆ กันเพื่อเป็นการช่วยแก้แค้นให้บุตรสาว
หาไม่แล้วจะต้องมาลำบากใจเช่นในยามนี้ที่ใด? มิสู้ไปบอกกับฮ่องเต้ตรงๆ ว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อองค์หญิงอันจี๋ไว้ทุกข์ให้พระมารดาจี้อ๋องจนครบกำหนดแล้วก็ให้อภิเษกไปเสียทันที ขอเพียงตัวเลือกไม่เกินเลยเกินไป มีแปดหรือเก้าในสิบส่วนที่ฮองเฮาจะทรงอนุญาต เมื่อมีหกตระกูลสูงศักดิ์อยู่ข้างบนหัว อีกทั้งบุตรชายคนโตจากภรรยาเอกของตระกูลฮั่วแห่งอวิ๋นเสียก็มีอายุห่างจากองค์หญิงชิงซินอย่างมาก ฮองเฮากู้อาจจะตกลงก็เป็นได้?
ทว่าเมื่อท่านหญิงเจินอี้กำลังจะเอ่ยพูด เมื่อมาคิดได้ว่าตนเองไม่เป็นที่รักแล้ว ทั้งสุขภาพร่างกายก็ไม่ได้ความ จะว่าไปแล้ว ตลอดหลายปีมานี้ล้วนเป็นบุตรสาวดูแลนาง แต่ตนเองที่เป็นแม่กลับไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อบุตรสาวได้ ในใจรู้สึกเจ็บปวดนัก จึงไม่อาจใจแข็งต่อว่าองค์หญิงอันจี๋เรื่องใด นางนิ่งคิดอยู่พักใหญ่ ที่สุดก็ยากจะตัดสินใจได้ จึงเอ่ยอย่างลังเลว่า “หรือว่าพวกเราจะรออีกสักหน่อย?”
องค์หญิงอันจี๋ส่ายหน้า แล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เรื่องการช่วงชิงตำแหน่งผู้สืบราชบัลลังก์หาใช่เรื่องเล็กน้อย พวกเราแม่ลูกก็ไม่รู้เรื่องราวภายในและเหตุการณ์ในปัจจุบันว่าไปถึงขั้นไหนแล้ว? เสด็จพ่อก็มิได้สนพระทัยพวกเรา หากบังเอิญถูกดึงเข้าไปพัวพันก็จะไม่มีหวังใดแล้ว ฉะนั้นมีแต่จะต้องออกไปให้ได้โดยไว ไม่อาจชักช้า!”
นางหลับขนตายาวๆ ลง นิ่งคิดอยู่เป็นนาน ขบฟันพลางว่า “ลูกตัดสินใจจะเดิมพันสักหน เลือกฮั่วเจ้าอวี้ผู้นี้นี่ล่ะ! เพียงแต่ในระหว่างที่ไว้ทุกข์ไม่สะดวกไปเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานก็เป็นเรื่องยุ่งยากประการหนึ่ง …ทว่าหากว่าจะต้องรอไปจนถึงเดือนเก้า ซึ่งห่างจากตอนนี้ถึงสี่เดือน …ลูกกลับกลัวว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง …ดีชั่วอย่างไรลูกก็ไม่เป็นที่รักอยู่แล้ว แม้เสด็จพ่อจะไม่โปรดลูก ทว่าก็ไม่ถึงกับจะสังหารลูกด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ หากต้องได้รับโทษก็ให้ได้รับโทษเถิด!”
จะอย่างไรชื่อเสียงของนางก็ย่ำแย่เพียงพออยู่แล้ว หากจะเพิ่มว่าไร้ยางอายอีกสักข้อก็ไม่เห็นเป็นไรนี่!
ท่านหญิงเจินอี้เห็นพระธิดาว่ามาดังนี้ จึงรีบเอ่ยอย่างลนลานว่า “เจ้าช้าก่อน! หากว่าฮั่วเจ้าอวี้ผู้นี้ไม่ดี หรือว่าเขาไม่ต้องการสมรสกับองค์หญิง วันหน้าสามีภรรยาไม่ปรองดองกันจะทำฉันใด?” แม้จะบอกว่าบรรดาองค์หญิงในรัชสมัยนี้ไม่ได้เคร่งครัดในจารีตธรรมเนียมเช่นพวกบุตรีตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ ที่แม้สามีจะเสียไปตั้งแต่ยังหนุ่ม ไม่ว่าจะมีบุตรธิดาหรือไม่ จะอย่างไรก็มีสามีได้เพียงคนเดียวชั่วชีวิต สำหรับองค์หญิงแล้วหากพระสวามีเสียไปหรือหย่าร้างกับพระสวามี ก็มักจะอภิเษกใหม่ ทว่าหากคิดจะมีการอภิเษกใหม่ที่ดีๆ ก็ต้องเป็นที่รักจึงจะได้รับเกียรติอันนี้
ด้วยฐานะเช่นพวกนางสองแม่ลูก …นอกจากอภิเษกครั้งแรกที่จะได้รับเกียรติของพระราชธิดาแล้ว หลังจากนั้นไป พวกนางยังจะได้รับพระเกียรติใดจากในวังหลวงแห่งนี้อีกหรือ? อิทธิพลของเหล่าตระกูลเลื่องชื่อแม้แต่ฮ่องเต้และฮองเฮาก็ยังยำเกรงเป็นนักหนา แล้วประสาอะไรกับพวกนาง? หากครานี้องค์หญิงอันจี๋อภิเษกกับคนที่ไม่ดี แล้วภายหลังจะไปแต่งกับชาวบ้านทั่วไปหรือไร?
ท่านหญิงเจินอี้มีชาติกำเนิดต่ำต้อย เมื่อนับไปแล้วก่อนที่ยังไม่ได้เข้าวังก็เป็นชาวบ้านธรรมดา จึงไม่หวังว่าหลานยายของตนก็จะกลับไปเป็นชนชั้นสามัญ …นางเข้าใจเรื่องที่สามัญชนต้องเสียเปรียบให้ชนชั้นปกครองดีเหลือเกิน ภายใต้การทำงานของทั้งภาคการเกษตรการค้าการผลิตต่างๆ แม้ชาวบ้านทั่วไปจะทำงานจนมีเงินมีทอง แต่ก็ไม่อาจทานรับกับความโลภโมโทสันของเหล่าชนชั้นปกครองได้ไหว
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่องค์หญิงอันจี๋ไม่เป็นที่รักของฮ่องเต้ ก็มิใช่ว่าภายนอกไม่มีคนล่วงรู้ หากอภิเษกไปแล้วอนาคตของบุตรธิดาจึงต้องอาศัยบ้านฝั่งสามีแล้ว! หากบ้านสามีไม่ได้ความ พระนามของกิ่งทองใบหยกผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ก็จะขู่ได้แต่พวกชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดเลยเท่านั้น แต่หากไปพบเจอกับพวกคนชั้นสูงชั่วช้าที่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่แน่ว่ากลับต้องเป็นฝ่ายคับข้องใจเสียเอง!
องค์หญิงอันจี๋เม้มริมฝีปากแน่น เนิ่นนานจากนั้นจึงบอกว่า “เวลาตั้งชั่วชีวิต! ผู้ใดจะไม่เปลี่ยน? ก่อนนี้เคยไม่ดี ก็ไม่แน่ว่าจะเปลี่ยนมาดีไม่ได้ หรือก่อนนี้ไม่เคยคิดจะสมรสกับองค์หญิง พออยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ บางทีอาจจะดีต่อกันก็เป็นได้นะเพคะ? พระมารดาเพคะ ทางสวามีนั้น ต่อให้ย่ำแย่เพียงใดก็คงเพียงแค่เย็นชาหมางเมินใส่กัน ทว่าพระพี่นางหลิงเซียนที่ไม่เป็นที่โปรดปราน หลังจากอภิเษกแล้วก็ยังมีสินติดตัวนานา เมื่อพระสวามีรับเข้าบ้านแล้วก็จะไม่กล้าเพิกเฉยต่อพระราชธิดาของฮ่องเต้ วันหน้าต่อให้ความสัมพันธ์เลวร้ายเพียงใด อย่างน้อยๆ ขอเพียงเรื่องกินเรื่องใช้ของพวกเราไม่ต้องคอยไปงอนง้อผู้ใดอีก หรือเพียงเพื่อฟืนและข้าวเพียงน้อยนิดก็ต้องหามาอยากยากลำบาก …พวกเรามีชีวิตเช่นนี้อยู่ในวังหลวงมาสิบกว่าปีแล้ว คงไม่ถึงกับไม่มีวันเป็นไทแก้ตัวกระมังเพคะ? ท้องฟ้ากว้างไกลไม่อับจนหนทาง ตามความเห็นของลูกแล้ว เมื่อออกไปพ้นจากวังนี้ ฟ้าดินมีแต่จะยิ่งกว้างใหญ่ขึ้นนะเพคะ”
—————————–