ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 195-2 ราตรีนี้ลั่นกลองรบชูธงศึก
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็ต้องบำรุงให้ดีๆ” เว่ยฉางอิ๋งพูดแสดงความเป็นห่วงเป็นไยไปสองสามคำ และคิดได้ว่าในเมื่อซ่งไจ้สุ่ยก็มากับตนด้วย จึงต้องแนะนำนางอย่างขาดไม่ได้ “นี่คือลูกผู้พี่บุตรท่านลุงข้า วันนี้ท่านลุงข้าไม่ใคร่สบาย จึงมารักษาที่เรือนท่านหมอเทวดาจี้แห่งนี้ ลูกผู้พี่เป็นห่วงท่านลุงจึงมาด้วย เวลานี้ท่านหมอเทวดาจี้ให้พวกเราออกมา จึงได้มาเยี่ยมพวกเจ้า”
ซูอวี๋อู่และเผยไค่คารวะซ่งไจ้สุ่ย ซูอวี๋อู่ย่อมต้องเรียกนางว่าลูกผู้พี่ตามเว่ยฉางอิ๋ง …ความจริงแล้วแม้เว่ยฉางอิ๋งจะไม่พูด พวกเขาก็พอจะเดาออกว่านางคือผู้ใดแล้ว เพราะวันนี้ซ่งไจ้สุ่ยออกมาอย่างเร่งร้อนจึงไม่ได้สวมหมวกคลุมหน้า บนใบหน้าที่งดงามดังดวงเดือนและบุปผากลับมีรอยแผลเป็นชัดเจนจนน่าตกใจรอยหนึ่ง ทว่านอกจากความงามของนางยังคงไม่ลดเลือน กริยาท่าทีก็งดงามจนไม่มีที่ติ ทำให้คนอดรู้สึกเห็นใจนางไม่ได้ …คุณหนูที่มีคุณสมบัติดังนี้ นอกจากอดีตว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก?
ซูอวี๋อู่และเผยไค่ล้วนมิใช่คนที่ชอบวิจารณ์ผู้อื่น โดยเฉพาะสตรีในบ้านอื่น ทว่าเมื่อมองเห็นในเวลานี้ในใจก็ยังแอบเสียดายอยู่ลึกๆ แม้ไม่กล้ามองซ่งไจ้สุ่ยมากนัก ทว่าหางตาก็ยังคอยสังเกตนาง หลังจากคารวะกันแล้ว เพราะเว่ยฉางอิ๋งบอกว่าซ่งอวี่วั่งล้มป่วย …และท่านผู้นี้ก็เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ขั้นหนึ่งเป็นถึงเสนาบดีตรวจการ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนตัวหรือด้วยหน้าที่การงานทั้งสองคนล้วนต้องสอบถามถึงสักหน่อย
เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้รายละเอียด ซ่งไจ้สุ่ยจึงอธิบายว่า “คงเพราะท่านพ่อมีกิจยุ่งนัก จนละเลยไม่บำรุงร่างกาย จนทำให้ตอนออกจากบ้านวันนี้ จู่ๆ ก็ล้มลงไป ดีที่มีเด็กรับใช้และบ่าวอยู่ข้างๆ จึงไม่ได้ล้มลงกับพื้น เมื่อครู่นี้เชิญ หัวหน้าสำนักแพทย์หลวงและแพทย์หลวงมาตรวจดูอาการแล้ว แต่จนใจที่ทำได้เพียงบรรเทาการเจ็บป่วยของท่านพ่อไปได้เพียงเล็กน้อย ท่านพี่ข้าร้อนใจนัก ซักไซ้ไปมา หัวหน้าสำนักแพทย์หลวงจึงแนะนำท่านหมอเทวดาจี้ … และโชคดีที่ลูกผู้น้องพอจะมีสายสัมพันธ์กับจี้ชวี่ปิ้งอยู่บ้าง จึงได้…”
ซูอวี๋อู่และเผยไค่ทอดถอนใจคราวหนึ่ง และพากันปลอบโยนนางว่าอย่าเป็นกังวลไป ท่านเสนาบดีตรวจการซ่งเป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครองอย่างนั้นอย่างนี้ …เมื่อพูดจาตามมารยาทไปจนพอสมควรแล้ว บ่าวผู้หนึ่งทางฝั่งของเผยไค่รวบรวมความกล้าและเตือนเขาว่าควรจะเข้าไปดื่มยาให้ห้องแล้ว
เว่ยฉางอิ๋งเตรียมตัวอำลามาสักพักแล้ว แต่กลับเห็นว่าหลังจากเผยไค่เอ่ยลาแล้วเข้าไปในห้องกับบ่าว ซูอวี๋อู่กลับยังคงไม่มีท่าทีจะเข้าไปในห้อง จึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “ลูกผู้น้องเจ้าไม่ต้องดื่มยาหรือ?”
ซูอวี๋อู่บอกว่า “ท่านหมอเทวดาจี้ให้ยาพวกเราไม่เหมือนกันขอรับ เวลาดื่มยาก็ไม่เหมือนกันด้วย ของข้านั้นต้องรออีกหนึ่งชั่วยามจึงค่อยดื่มขอรับ”
ในเมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่เหมาะจะพูดเสร็จก็จากไปแล้ว นางจึงคิดหาหัวข้อสนทนาอื่น แล้วถามถึงสาเหตุที่เขาบาดเจ็บ “ทำเช่นใด พวกเจ้าทั้งห้าคนจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสกันทั้งนั้น?” ความจริงแล้วก่อนหน้านี้เว่ยเจิ้งอินก็เล่าเรื่องโดยคร่าวๆ ให้นางฟังแล้ว ได้ยินมาว่าถูกซุ่มโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ทว่าเพราะพวกหรงประเมินกำลังของพวกเขาผิด สุดท้ายจึงทำให้พวกเขาได้ชัยชนะแต่กลับต้องบาดเจ็บยับเยิน …ไม่ว่าจะยับเยินเช่นใด ดีชั่วอย่างไรคำว่ามีชัยก็สามารถแก้ต่างกับฮ่องเต้ได้แล้ว
“พูดไปเรื่องยาวขอรับ…” ซูอวี๋อู่ได้ฟังคำถามนี้ ก็คล้ายหวนนึกถึงภาพที่มีเลือดเนื้อปลิวว่อนเป็นตายเท่ากันในสนามรบขึ้นมา นัยน์ตาค่อยๆ หดลง ถอนหายใจคราหนึ่ง แล้วเล่าเรื่องสภาพการณ์ที่ทางตงหูโดยคร่าวๆ และเรื่องราวของชัยชนะที่ต้องบาดเจ็บยับเยินในครานี้…
เริ่มแรกนั้นมีเพียงเว่ยฉางอิ๋งที่เอ่ยถามคำแล้วก็คำเล่า ภายหลังซ่งไจ้สุ่ยเองก็ค่อยๆ สนใจขึ้นมาด้วย และไม่เอาแต่มองไปนอกเรือน ด้วยอยากรู้ว่าอาการของซ่งอวี่วั่งทางนั้นจะเป็นอย่างไรแล้ว และเริ่มเข้ามาสอบถามรายละเอียดด้วยเช่นกัน
จากนั้นทั้งสามคนก็ค่อยๆ ถกกันเรื่องการรบครานี้อย่างออกรสออกชาติ …ซูอวี๋อู่เล่าว่าหลังจากถูกดักซุ่มโจมตีแล้วพวกทหารอารักษ์ขาก็เอาชีวิตเข้าปกป้องแม่ทัพให้ออกไปจากวงล้อม ส่วนพวกเขาก็พยายามรวบรมกำลังพลบุกเข้าต่อสู้… แต่เพราะจู่ๆ ก็มีกองกำลังบุกเข้ามาจากรอบทิศ ทั้งยังมีพลธนูที่แอบซ่อนอยู่บนที่สูงเพื่อสังหารกำลังพลและแม่ทัพในกองทัพจากที่สูง ผู้คนในกองสับสนอลหม่านไปหมด ไม่อาจรวมกันได้ …ทันใดนั้นเอง ลูกธนูก็สาดลงมาดังห่าฝน เสียงสังหารดังสะเทือนธรณี ในขณะที่ทั้งเลือดและเนื้อปลิดปลิวไปทั่ว ตาทั้งคู่ของทุกคนก็แดงก่ำ ยอมละทิ้งชีวิตลืมความตาย …แม้เวลานี้จะอยู่ในเมืองหลวงที่ห่างไกลจากตงหู นั่งอยู่ใต้ร้านองุ่น พรรณนาถึงการรบพุ่งที่ผ่านไปแล้วทั้งยังได้ชัยชนะให้หญิงสาวที่งดงามประหนึ่งภาพวาดทั้งสองคนฟัง ยามซูอวี๋อู่เอ่ยถึงช่วงเวลาที่เกือบจะต้องสิ้นใจด้วยเงื้อมมือของพวกหรงทั้งในชุดออกศึก เขาก็ยังคงอึกอักยากเอ่ยปาก เขาจึงอดรู้สึกเสียหน้าขึ้นมาไม่ได้และเบี่ยงหน้าหนี
ทันใดนั้นซ่งไจ้สุ่ยก็มีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นมา แล้วยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้น ถอนใจพลางว่า “เวลานี้น่าจะมีสุราสักกาจริงๆ” ซูอวี๋อู่และเผยไค่ล้วนกำลังพักฟื้น แน่นอนว่าในเรือนนี้ต้องไม่เตรียมสุราเอาไว้ ทว่าการพรรณนาที่หนักหน่วงและน่าอนิจจังเช่นนี้ หากไม่มีสุราฤทธิ์แรงแกล้มยามสดับฟัง ก็ช่างไม่ได้อรรถรสและไม่หนำอกหนำใจเสียจริงๆ
“แม้ชาจะเจือจาง ทว่าชีวิตทหารผู้ภักดีนับสามพันคนที่ต้องมาสังเวยที่ชายแดน ในจำนวนนั้นมีผู้คนจากเมืองต่างๆ มากมาย ต่อให้ไร้สุรา แต่หากได้ดื่มน้ำชาของต้าเว่ยสักจอก คาดว่าพวกเขาคงจะดีใจแล้ว” ซูอวี๋อู่หันหน้ามาอย่างอดไม่ได้ ดวงตาเต็มไปประกายวิบวับดังผลึกแก้ว แล้วเอาน้ำชาตรงหน้าค่อยๆ รดลงไปบนพื้นดินข้างโต๊ะหิน
เว่ยฉางอิ๋งและซ่งไจ้สุ่ยก็พากันทำตามนั้นด้วย ซ่งไจ้สุ่ยยังอวยพรว่า “ขอให้ทหารหาญที่ชายแดนสามารถสังหารศัตรู ล้างแค้นให้ชาติบ้านเมือง และขอให้เหล่าทหารผู้ภักดีได้กลับมาโดยไว อวยชัยให้ต้าเว่ยของเรารุ่งโรจน์ยืนยาว!”
ซูอวี๋อู่ไม่พูดพร่ำเพลง สั่งให้คนรินน้ำชามาถ้วยใหญ่ แล้วเงยหน้าดื่มลงไปเอื๊อกๆ ประหนึ่งกระหายน้ำเป็นนักหนา วางถ้วยชาลง แล้วยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดคราบน้ำที่มุมปากอย่างมิได้สนใจกริยามารยาทสูงส่งใดๆ ขืนยิ้มออกมา แล้วก็คว่ำถ้วยชาลงกับโต๊ะทันใด ใช้นิ้วมือกำถ้วยเอาไว้ และเคาะเป็นเสียง พลางร้องเพลงเสียงดังขึ้นมา “หญ้าใบไม้ร่วงลงสุดลูกหูลูกตา ยอมถูกแผดเผา ฟ้าสีหม่นดังทองหลอมร้อนโลหิตหลั่ง ขลุ่ยโศกเป่าขนนกสีฟ้าน้ำทะเลร่วง ราตรีนี้ลั่นกลองรบชูธงศึก!”
เขาร้องเพลงติดต่อกันหลายรอบ ลานบ้านหรูหราที่เดิมทีมีดอกไม้บานสะพรั่งงามตารับแสงอาทิตย์ ค่อยๆ มีความเศร้าโศกอาดูร ทั้งความฮึกเหิมไร้ขอบเขตแผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วอย่างกู่ไม่กลับ … ประหนึ่งไปถึงยังท้องทุ่งหญ้าฤดูใบไม้ผลิเหี่ยวแห้งที่ยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ทหารสองฝั่งเข้าประจันหน้ากัน เสียงกลองรบดังขึ้น สงครามครั้งใหญ่บังเกิดขึ้นทันใด!
… แต่แล้ว ซูอวี๋อู่ก็ร้องซ้ำท่อนสุดท้ายอีกครั้ง “ราตรีนี้ลั่นกลองรบชูธงศึก” แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อนๆ เอ่ยคล้ายจะร่ำไห้ว่า “ธงศึกไม่ส่งเสียง แล้วจักทำฉันใด?!”
เว่ยฉางอิ๋งและซ่งไจ้สุ่ยได้ยินดังนั้น พลันมีสีหน้าประหลาดใจ กำลังคิดจะสอบถาม กลับเห็นว่าซูอวี๋อู่มีสีหน้าอารมณ์ที่ปวดร้าวเต็มทน ทั้งสับสนซับซ้อนเสียยิ่งนัก จึงได้เข้าใจขึ้นมา….
________________________