ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 198-1 หลี่ว์เฉิง
หลี่ว์เฉิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรียนคุณหนูใหญ่ จะว่าไปแล้วก็บังเอิญเสียยิ่งนัก เดือนก่อนเป็นวันเกิดของท่านอุบาสก[1]จื้อเจี่ยว แม้ท่านอุบาสกจะชอบความสงบมาโดยตลอด ทว่าก็ปฏิเสธความตั้งใจของคุณชายห้าของเราไม่ได้ จึงรับปากว่าจะจัดงานเลี้ยงสักสองสามโต๊ะที่บ้านขอรับ เดิมทีก็เพียงเชิญผู้อาวุโสทุกท่านในตระกูลและบุตรหลานที่สง่างามภูมิฐานในสายที่สนิทกันเท่านั้น ทว่านายท่านหก… ก็คือท่านที่คุณหนูใหญ่เอ่ยถึงผู้นี้ เดิมทีเป็นนายอำเภอที่เฉาอวิ๋น ในขณะที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก็ตั้งใจร่ำเรียนอย่างยิ่ง พอดีว่าเดือนก่อนมีเวลาว่าง จึงมาขอร่ำเรียนกับท่านอุบาสกจื้อเจี่ยวที่เฟิ่งโจว ในเมื่อมาได้จังหวะช่วงงานเลี้ยงพอดี ทั้งยังเป็นบุตรหลานในตระกูลจึงมาร่วมงานเลี้ยงด้วยเสียเลยขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งจึงถามว่า “เช่นนั้นเอ่ยถึงเรื่องรับเป็นบุตรบุญธรรมได้อย่างไรกัน?”
“เป็นท่านผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ก่อนหน้านี้เคยพบกับนายผู้เฒ่าสี่ เมื่อเห็นนายท่านหกก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง และบอกไปว่าเขาละม้ายนายผู้เฒ่าสี่เสียยิ่งนัก มิสู้หารือกับท่านจิ่งเฉิงโหว แล้วรับนายท่านหกมาเป็นบุตรบุญธรรมของนายผู้เฒ่าสี่เสียเลย?” หลี่ว์เฉิงเอ่ย “ภายหลังท่านจิ่งเฉิงโหวรับคำ เรื่องนี้จึงลุล่วงแล้วขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเสียงหนักว่า “บิดาของเว่ยซิน….ท่านอาผู้นั่นเป็นสายใด?”
หลี่ว์เฉิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “นายท่านหกมีพี่หรือน้องชายต่างมารดาผู้หนึ่งที่สามารถจุดธูปเซ่นไหว้แทนได้ขอรับ”
“ท่านอาหรือท่านลุงผู้นั้นอยู่ที่ใด?” เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง นางนึกมาตลอดว่าเว่ยซินหย่งไม่มีพี่น้องเสียอีก! ทว่าเมื่อนึกย้อนกลับมา ตั้งแต่เว่ยซินหย่งอายุน้อยๆ ยังไม่ทันได้แต่งงานก็เกิดความแค้นใหญ่หลวงกับเว่ยฉีซึ่งเป็นลุงแท้ๆ …จนถึงขั้นไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าดินกันได้ หากมิใช่ความแค้นเพราะสังหารบิดาก็ต้องเป็นความชิงชังที่แย่งภรรยา ในเมื่อเขายังไม่มีภรรยา ฉะนั้นแปดหรือเก้าในสิบส่วนก็ต้องเป็นความแค้นเพราะสังหารบิดาแล้ว
ทว่าดูจากการที่เว่ยซินหย่งต่อสู้กับเว่ยฉีเพียงลำพัง ในเมื่อเขายังมีพี่น้อง กลับไม่รู้ว่าพี่น้องของเขานั้นเป็นเช่นใด?
หลี่ว์เฉิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านผู้นั้น เวลานี้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าที่เมืองเจ๋อเฉิงในเฟิ่งโจวขอรับ ยามท่านจิ่งเฉิงโหวส่งคนไปส่งจดหมาย ทางนั้นก็อนุมัติมาแล้ว จากนั้นจึงเปิดศาลบรรพชน และรับมาเป็นบุตรบุญธรรมในนามของนายผู้เฒ่าสี่แล้ว …เวลานี้จึงเรียกขานท่านว่านายท่านหกขอรับ”
แม้ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่ได้เอ่ยถึงแม่เฒ่าซ่งเลย แต่เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าท่านย่าของตนจะต้องมีส่วนร่วมในเรื่องนี้อย่างขาดเสียมิได้เป็นแน่ แม่เฒ่าซ่งไม่มีทางจะให้ความเมตตาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ เช่นนี้ ที่นางทำเช่นนี้ต้องมีเป้าหมายใดแน่
เพียงใคร่ครวญดูสักนิดก็พอจะคาดเดาจิตใจของแม่เฒ่าซ่งได้แล้ว เพราะความปรารถนาชั่วชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคยเกินเลยไปจากคำว่า ‘ลูกหลาน’ สองคำนี้ แต่จนใจเหลือ ด้วยเหตุที่รุ่ยอวี่ถังภายในมีเรื่องกังวลภายนอกมีภัยรุมล้อม จึงทำให้นับวันจะถดถอยลงเรื่อยๆ คนที่ใช้การได้ก็มีเพียงน้อยนิด …เว่ยเซิ่งอี๋ซึ่งเป็นคนวัยฉกรรจ์ในสายหลักก็เชื่อถือไม่ได้ใช้การไม่ได้แต่กลับไม่อาจไม่ใช้เขา ส่วนเว่ยฉางเฟิงซึ่งเป็นหลานชายแท้ๆ ที่แม่เฒ่าซ่งฝากความหวังยิ่งใหญ่เอาไว้ก็ยังเยาว์ ทั้งยังถูกฮ่องเต้ทดสอบด้วยการหมั่นหมายกับคู่หมั้นที่แม่เฒ่าซ่งไม่พึงพอใจอีก
ส่วนเว่ยซินหย่งแห่งจือเปิ่นถัง แม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงโดดเด่นอันใด ทว่านอกจากเขาเป็นคนที่มีไหวพริบเฉลียวฉลาดแล้ว เขายังมีความแค้นใหญ่หลวงกับเว่ยฉีอีก นับว่าควรค่าจะผูกมิตรเอาไว้จริงดังว่า แต่เว่ยฉางอิ๋งไม่คิดว่าเว่ยซินหย่งจะเป็นคนชนิดที่เมื่อยื่นมือเข้าช่วยเหลือยามเขาตกยากไร้ชื่อเสียง แล้วเขาจะหันมาภักดีด้วยอย่างจริงใจ
…เว่ยซินหย่งไม่ได้โตกว่าเว่ยฉางเฟิงมากมายนัก เขาเพียบพร้อมทั้งหน้าตาและความสามารถ มีความสง่างามเหนือคน ขอเพียงมีคนสนับสนุน ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่อาจผงาดสู่ฟ้า ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็เป็นคนในตระกูลเว่ยเช่นกัน …คนเช่นนี้ หากไม่อาจแน่ใจได้ว่าเขาจะสำนึกในบุญคุณเป็นล้นพ้น แต่กลับไปสนับสนุนเขาเสียแล้ว หากวันใดเขามักใหญ่ใฝ่สูงขึ้นมา จนเป็นภัยคุกคามเว่ยฉางเฟิงแล้วจะทำเช่นใด?
ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องที่เวลานี้พี่น้องของเว่ยซินหย่งเป็นขุนนางอยู่ในเฟิ่งโจว คิดไปก็คงเป็นการร้องขอของแม่เฒ่าซ่งหรือเว่ยซินหย่งเป็นคนขอให้ทำเช่นนี้เอง ทว่าท่ามกลางอำนาจที่เย้ายวน ผู้ใดจะรู้ว่าเว่ยซินหย่งจะใส่ใจพี่น้องผู้นี้จริงเท็จเพียงใด?
เว่ยฉางอิ๋งเคยพบกับท่านอาร่วมตระกูลผู้นี้มาก่อน และความทรงจำเกี่ยวกับท่านอาผู้นี้ก็คือเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ปกปิดแผนการได้แนบเนียน คนเช่นนี้ ย่อมมีความอำมหิตอยู่ภายในใจ เรื่องที่คนทั่วไปคิดว่าคือหลักฐานให้จับผิดและเชื่อมโยงถึงได้ กับคนผู้นี้กลับมิใช่
อีกประการหนึ่ง แม่เฒ่าซ่งก็อายุมาแล้ว ภายภาคหน้า…ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อคนเช่นเว่ยซินหย่งปีกกล้าขาแข็งขึ้นมา แม่เฒ่าซ่งยังจะสามารถบีบเขาไว้ในกำมือได้อีกต่อไปหรือไม่? โดยเฉพาะเห็นชัดว่าแม่เฒ่าซ่งมีความประสงค์ให้เว่ยซินหย่งมาหาความก้าวหน้าในเมืองหลวง …ในขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็มิได้อยู่ที่เมืองหลวง แล้วจะไม่กลัวว่าอาจเหลือบ่ากว่าแรงจะควบคุมหรือ?
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วแน่น เนิ่นนานจึงว่า “สำหรับเรื่องของท่านอาหกผู้นี้ ท่านย่าหรือท่านแม่มีคำใดให้เจ้ามาบอกข้าหรือไม่?”
หลี่ว์เฉิงมองไปรอบทิศ เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งให้คนออกไปหมดแล้ว คนที่อยู่ด้วยในขณะนี้ก็มีเพียงบ่าวบ้านเว่ยที่เขารู้จักเท่านั้น จึงเอ่ยเสียงหนักไปว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่านายท่านหกมีความสามารถล้นเหลือ หากไม่ใช้สอยเขาก็จะน่าเสียดาย ต่อให้เขามีแผนการใดอื่น ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าก็เตรียมการรับมือไว้แล้ว เวลานี้ต้องขอให้คุณหนูใหญ่พานายท่านหกไปพบกับขุนนางขั้นหนึ่งทุกท่าน เพื่อให้นายท่านหกได้มีโอกาสฝากตัวขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งมองเขาอย่างเคลือบแคลง กล่าวว่า “ท่านย่าไม่มีคำอื่นแล้วหรือ? แล้วท่านแม่เล่า?”
“ฮูหยินใหญ่กำชับบ่าวให้คอยสังเกตดูให้ละเอียดว่าสถานการณ์ของคุณหนูใหญ่เป็นเช่นใดบ้าง และหากได้รับความเมตตาจากคุณหนูใหญ่ก็อยากจะได้เห็นคุณชายน้อยสักหน กลับไปจะได้รายงานกับฮูหยินใหญ่ให้ทราบโดยละเอียดขอรับ” หลี่ว์เฉิงเอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็บอกเช่นนั้น ส่วนเรื่องอื่นกลับไม่มีแล้วขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งใคร่ครวญรอบหนึ่ง รู้สึกว่าท่านย่าน่าจะมีบางเรื่องที่ไม่สะดวกเขียนลงในจดหมายและไม่สะดวกจะบอกกับหลี่ว์เฉิง จึงอดทอดถอนใจไม่ได้ว่าการที่ตนอยู่ห่างไกลจากบ้านฝั่งแม่ก็ยุ่งยากลำบากดังนี้นี่เอง ได้ยินหลี่ว์เฉิงเอ่ยถึงคุณชายน้อย นางก็ยิ้มเจื่อนๆ คราวหนึ่ง แล้วว่า “เจ้ามาช้าไปสองสามวัน สองวันก่อนกวงเอ๋อร์ถูกอุ้มไปดูแลที่เรือนท่านย่าของเขาแล้ว เพราะยามนี้ข้าต้องดูแลงานในเรือนจึงค่อนข้างยุ่ง ท่านย่าของเขาไม่วางใจ จึงอุ้มเขาไปดูแลชั่วคราว”
หลี่ว์เฉิงรีบตอบว่า “ล้วนเพราะบ่าวสมควรตาย ไม่เร่งรีบเดินทาง จนทำให้พลาดโอกาสได้พบกับคุณชายน้อยขอรับ”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเรียบๆ ไปว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า …จริงสิ ท่านย่าต้องการให้ข้าพาท่านอาหกไปพบกับทุกคน แต่กลับไม่รู้ว่าท่านอาหกผู้นี้อยู่ที่ใด? ยังอยู่ที่เฟิ่งโจวรึ หรือว่ามาถึงเมืองหลวงแล้ว?”
หลี่ว์เฉิงบอกว่า “หลังจากนายท่านหกได้รับอุปการะในนามของนายผู้เฒ่าสี่แล้ว ท่านอุบาสกจื้อเจี่ยวก็ทดสอบความรู้ของนายท่านหกครั้งหนึ่ง บอกว่านายท่านหกไปเป็นนายอำเภอที่อำเภอเฉาอวิ๋นนั้นนับว่าไม่ควรค่ากับความรู้ของเขาขอรับ ท่านประมุขเองก็ทนเห็นหยกงามมีค่าเช่นนี้ถูกฝังอยู่ในโคลนตมไม่ได้ จึงสั่งให้นายท่านหกไปขอลาออกจากตำแหน่งขุนนางในอำเภอเฉาอวิ๋นเสีย และเขียนจดหมายแนะนำตัวให้แก่นายท่านหกไปอีกฉบับ น่าจะอีกสองสามวันนายท่านหกจึงจะถึงเมืองหลวง …ฮูหยินผู้เฒ่าให้บ่าวมาก่อน ประการแรกเพื่อส่งของกำนัลแก่คุณชายน้อย ประการที่สองด้วยกลัวว่าหากคุณหนูไม่รู้เรื่องก็จะไปยับยั้งนายท่านหกเอาขอรับ”
……………………………………
[1] อุบาสก เป็นฆราวาสชาย(คนธรรมดาที่ไม่ได้บวช) แต่มีใจฝักใฝ่ในธรรม ซึ่งในนิกายมหายานของจีนก็จะทานเจเหมือนพระด้วย