ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 200-2 เกษียณตัว
เว่ยเซิ่งอี๋เองก็หาใช่คนโง่ ครานั้นเพราะเว่ยฮ่วนต้องการตอบโต้เว่ยเจิ้งหย่าบุตรจิ้งผิงกง จึงเร่งกลับมาควบคุมดูแลที่เฟิ่งโจว …เพราะเขาเป็นขุนนางคนโปรดของ ฮ่องเต้ ซึ่งก็เป็นเพราะฮ่องเต้ทรงเปรมปรีดิ์ที่ได้เห็นการต่อสู้ภายในตระกูลสูงศักดิ์ หากไม่ใช้กลวิธีลึกล้ำเป็นพิเศษ ฮ่องเต้ย่อมไม่ยอมปล่อยให้เขาเกษียณตัวตั้งแต่อยู่ในวัยฉกรรจ์หรอก ครั้นแล้วเว่ยฮ่วนจึงจัดให้มี ‘คำทำนาย’ ขึ้นมา ทว่าในระหว่างแผนการที่เร่งรีบก็ทำให้เกิดผลเสีย วิธีการนี้แม้จะทำให้เขาเกษียณตัวได้สำเร็จ และเร่งกลับมาดูแลป้องกันเว่ยเจิ้งหย่าที่เฟิ่งโจวได้ทัน แต่ก็ทำให้บทบาททางการปกครองของเขายุติลงนับแต่นั้น
หลังจากนั้น เมื่อตระกูลทางสายของเว่ยฮ่วนมีเรื่องต้องออกหน้ากับ
ทางราชสำนัก ล้วนต้องพึ่งพาเว่ยเซิ่งอี๋ เว่ยเซิ่งอี๋ทำงานอย่างซื่อสัตย์มาตลอดหลายปีนี้ ก็มิใช่เพราะหมายปองในตำแหน่งประมุขตระกูลหรอกหรือ? ปรากฏว่าเวลานี้ภรรยาเอกก็มาตายลง ทั้งยังหมดหวังกับตำแหน่งประมุขแล้ว จึงคาดเดาถึงอนาคตของเขาได้ไม่ยากเย็น …ทั้งตัวเขาเองก็ต่อกรกับแม่เฒ่าซ่งซึ่งเป็นแม่ใหญ่ไม่ได้ แล้วยังต้องถวายชีวิตให้แก่แม่ใหญ่และหลานชายอีกต่อไป แล้วรอวันถูกจัดการ …หากมิใช่คนที่โง่งมงายไร้ที่ไปจริงๆ ผู้ใดจะทำเรื่องเช่นนี้กัน?
เว่ยเจิ้งอินและเว่ยฉางอิ๋งเองก็คาดเดามาตลอดว่าเมื่อนางตวนมู่ตายแล้ว เว่ยเซิ่งอี๋อาจทำการบ้างอย่าง จึงเดาว่าเขาอาจไปร่วมมือกับคนนอกหักหลังรุ่ยอวี่ถัง และเดาไว้อีกว่าเขาอาจจะขอย้ายตัวเองไปรับตำแหน่งในที่ไกลๆ แต่กลับไม่ได้เดาว่าเขาจะปล่อยวางภาระต่างๆ ลงไม่ทำมันเสียเลย!
ไม่ว่าอย่างไร แม่เฒ่าซ่งก็ยังมีชีวิตอยู่ หากเวลานี้เว่ยเซิ่งอี๋ยังคงทำงานต่อไป ก็นับเป็นเรื่องเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ แต่หากเกษียณตัวกลับบ้านเกิดในยามนี้ แม้จะไม่เป็นผลดีต่อเว่ยฉางเฟิง แต่แม่เฒ่าซ่งจะปล่อยเขาไว้หรือ?
อาหลานทั้งสองคนหันไปมองเว่ยซินหย่งพร้อมกัน รอคำอธิบายจากเขา
เว่ยซินหย่งเอ่ยยิ้มๆ ว่า “พี่ชายรองเอ่ยในจดหมายว่า เขาทำงานในราชสำนักมานานปี ไม่อาจได้มาปรนนิบัติอยู่ต่อหน้าท่านลุงรอง รู้สึกละอายใจนัก โดยเฉพาะที่ครานี้พี่สะใภ้รองล้มป่วยและเสียไป เมื่อเห็นความทุกข์โศกของหลานชายและหลานสาวแล้ว ใจก็เป็นทุกข์นัก จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เกษียณตัวกลับบ้านเกิด เพื่อมาปรนนิบัติท่านลุงรอง”
เขาเอ่ยอย่างมีนัยยะว่า “แล้วเอ่ยย้อนนึกถึงเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมา เมื่อท่านลุงรองอ่านแล้วก็สะอื้นไม่น้อย”
“แล้วท่านพ่อว่าอย่างไร?” เว่ยเจิ้งอินและเว่ยฉางอิ๋งได้ฟังก็เข้าใจความหมายของเขา …ว่าเวลานี้เว่ยเซิ่งอี๋มีความลำบากใจในทุกๆ ด้าน เพราะความหวังเรื่องตำแหน่งประมุขตระกูลของเขาก็ริบหรี่เต็มทน ต่อให้คิดหักหลังรุ่ยอวี่ถังก็ไม่มีผู้ใดให้ร่วมมือด้วย และต่อให้ฮ่องเต้สามารถรับประกันความปลอดภัยให้ตระกูลในสายของเขา ทว่าเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งจะไม่คำนึงถึงประเด็นนี้หรือ?
ด้วยฐานะบิดาแท้ๆ และแม่ใหญ่ก็เพียงพอจะข่มเว่ยเซิ่งอี๋เอาไว้จนลุกไม่ขึ้นแล้ว!
ทว่าหากเอาแต่นั่งรอความตาย เว่ยเซิ่งอี๋จะยอมใจได้ที่ใด? ยามนี้เขากลับใช้วิธีทุบหม้อข้าวตัวเองเสียเลย ด้วยการเอ่ยปากว่าจะเกษียณตัวจากราชการ ซึ่งเท่ากับเป็นการข่มขู่และเตือนสติเว่ยฮ่วนไปด้วยในตัว …ว่าเป็นผู้ใดที่เผชิญหน้ากับราชสำนักเพียงลำพังมาตลอดเกือบยี่สิบปีนี้ คอยเป็นตัวประสานระหว่างเมืองหลวงและเฟิ่งโจว ให้รุ่ยอวี่ถังและราชสำนักไม่ถึงกับห่างเหินและยังคงมีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่น?
อย่างไรเสียเขาก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของเว่ยฮ่วน ทั้งมานะเพียงนี้ ทุ่มเทเพียงนี้ แต่ที่สุดแล้วกลับลงเอยด้วยการถูกแม่ใหญ่บีบจนไม่มีที่ให้อยู่ แล้วเว่ยฮ่วนจะทนยอมได้หรือ?
ฉะนั้นเว่ยเจิ้งอินและเว่ยฉางอิ๋งจึงคิดขึ้นมาในใจทันใดว่า เว่ยฮ่วนไม่มีทางไม่เข้าใจเจตนาที่เว่ยเซิ่งอี๋เอ่ยเรื่องเกษียนตัวขึ้นมา รวมทั้งความปวดร้าวใจของเขา แต่กลับไม่รู้ว่าเขาจะตอบบุตรของอนุที่มีใจทะเยอทะยานแต่ก็มีความดีความชอบมากมายจริงๆ ผู้นี้อย่างไร?
เว่ยซินหย่งแย้มยิ้ม กล่าวว่า “ท่านลุงรองสะอื้นนัก …หลังจากสะอื้นแล้ว ก็สั่งให้ซินหย่งเข้าเมืองหลวง เพื่อไปเยี่ยมเยือนพี่ชายรองและช่วยให้กำลังใจพี่ชายรองด้วยขอรับ”
…สมกับเป็นท่านปู่จริงๆ ปณิธานที่มั่นคงของท่านปู่ช่างห่างไกลกว่าที่ข้าจะคาดคิดได้จริงๆ
เว่ยฉางอิ๋งทอดถอนใจอยู่ในใจ ตอนที่นางได้ยินว่าท่านอารองผู้นี้จะเกษียณตัวเอง นางก็รู้สึกว่าค่อนข้างทนไม่ได้ ทว่าเว่ยฮ่วนซึ่งเป็นบิดาแท้ๆ กลับเพียงสะอื้นไปคราวหนึ่ง แล้วก็สั่งให้เว่ยซินหย่งเข้าเมืองหลวงในทันใด แม้จะบอกว่าเป็นการมาเยี่ยมเยือนและมาให้กำลังใจเว่ยเซิ่งอี๋ …ลำพังแค่คนมีความสามารถสูงส่งเช่นเว่ยซินหย่งไปยืนอยู่ต่อหน้าเว่ยเซิ่งอี๋ เกรงว่าเว่ยเซิ่งอี๋ก็จะเข้าใจแล้วกระมังว่าจุดประสงค์แท้จริงที่คนผู้นี้มาก็คือมาแทนที่ตน?
เจ้าไม่ทำงานต่อก็ไม่เป็นสิ่งใด ทางข้านี้ได้ตระเตรียมคนไว้แทนที่เจ้าเรียบร้อยแล้ว …ซึ่งนี่ก็คือคำตอบของเว่ยฮ่วน
เว่ยเจิ้งอินเองก็โล่งใจ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ที่แท้เรื่องเป็นเช่นนี้เอง กลับไม่รู้ว่าเมื่อน้องหกได้พบกับน้องรองวานนี้ สนทนากันเป็นเช่นใดบ้าง? แม้พวกเราจะเป็นบุตรีตระกูลเว่ย ทว่าในเมื่อออกเรือนแล้ว ยามนี้ก็เป็นภรรยาคนแล้ว จะออกจากเรือนก็ไม่ใคร่สะดวกนัก หลายวันมานี้ได้ยินว่าทางนั้นค่อนข้างเงียบเหงา คิดว่าเพราะพี่สะใภ้เสียไป ในเมื่อในจวนจะยังไว้ทุกข์อยู่ หากจะเงียบสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ แต่กลับไม่รู้ว่าพี่ชายรองมีความคิดเช่นนี้”
“แรกเริ่มนั้นพี่ชายรองก็ประหลาดใจนัก ภายหลังเมื่อซินหย่งปลอบเขาไปสองสามคำและมอบจดหมายของท่านลุงรองให้แก่เขา” เว่ยซินหย่งเล่าไปอย่างผ่อนคลาย “เมื่อพี่ชายรองอ่านเนื้อหาปลอบโยนและให้กำลังใจในจดหมายของท่านลุงรองแล้วก็ประทับใจอย่างยิ่ง จนแทบหลั่งน้ำตาออกมา…เวลานี้พี่ชายรองคิดตกแล้ว แล้วรับรองกับซินหย่งว่าจะไม่เอ่ยเรื่องขอเกษียณตัวอีก และจะตั้งอกตั้งใจทำงาน เพื่อแบ่งเบาภาระของท่านลุงรองขอรับ”
ซึ่งความจริงแล้ว เรื่องราวต้องไม่ได้ดำเนินไปอย่างผ่อนคลายและง่ายดายดังนั้นแน่ เพียงแค่คิดเว่ยเจิ้งอินก็รู้รายละเอียดกว่านั้นสักน้อยแล้ว จึงเอ่ยว่า “น้องหกต้องมีวาทศิลป์ล้ำเลิศ ข้าจำได้ว่าพี่ชายรองเป็นคนหัวรั้นนัก เรื่องที่เขาตัดสินใจแล้วก็จะไม่เปลี่ยนใจง่ายดายเพียงนั้น แต่น้องหกกลับพูดเสียจนเขาเปลี่ยนใจได้ กลับไม่รู้ว่าน้องหกเกลี่ยกล่อมพี่ชายรองเช่นใด?”
แต่กลับเห็นชัดว่าเว่ยซินหย่งไม่อยากจะบอกพวกนาง เพียงแต่หัวเราะฮ่าๆ แล้วว่า “พี่หญิงรองยกย่องซินหย่งเกินไปแล้ว ซินหย่งอายุยังน้อย ทั้งยังเพิ่งได้พบพี่ชายรองเป็นคราแรก แล้วจะได้รับเกียรติเพียงนั้นได้อย่างไรขอรับ? เหตุที่พี่ชายรองเปลี่ยนใจกลับเป็นเพราะจดหมายที่ท่านลุงรองเขียนมาต่างหากขอรับ ทั้งนี้ล้วนเป็นเพราะพ่อลูกมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง พี่หญิงรองคิดเห็นเช่นใดขอรับ?”
เว่ยเจิ้งอินจึงได้แต่บอกว่าใช่ …ความจริงแล้วนางคิดอยากถามเขาว่าในจดหมายเขียนว่าอย่างไร แต่เว่ยซินหย่งกลับจงใจบ่ายเบี่ยงพูดไปเรื่องอื่น ไม่คิดตอบเรื่องนี้แม้แต่น้อย
อาหลานสองคนหลอกถามเขาไม่ได้ จึงต้องล้มเลิกความตั้งใจ เว่ยฉางอิ๋งจึงว่า “ได้ยินว่าท่านปู่มีจดหมายถึงพ่อสามีของหลาน และไหว้วานให้ท่านอาหกนำมาด้วย หลานไม่ทราบว่าท่านอาหกจะมาถึงยามใด และเมื่อใดจึงจะมีเวลาว่างนำจดหมายไปมอบให้แก่พ่อสามี จึงยังไม่ได้เอ่ยกับแม่สามี”
เว่ยซินหย่งนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่จึงนัดกับนางอีกวันสองวัน เพื่อให้นางไปถามฮูหยินซูก่อน เมื่อกำหนดวันเวลาได้แน่นอนแล้ว ค่อยส่งคนมาบอกที่จวนซูแห่งนี้ เขาจะได้นำจดหมายที่เว่ยฮ่วนเขียนด้วยตนเองไปคราวะที่บ้าน
ทั้งสามคนสนทนาเรื่องทั่วไปอีกเล็กน้อยเพื่อทำความรู้จักสนิทสนมกันให้มากขึ้น… เว่ยซินหย่งอาศัยข้ออ้างว่าทุกวันเขาต้องไปอ่านหนังสือ แล้วขอตัวลาไป
________________________