ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 26
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 26 นางหลิว
ตอนที่ 26 นางหลิว
โดย
Xiaobei
นางหวงได้ยินคำก็รีบโบกไม้โบกมือ และอธิบายว่า “ข้าน้อยได้ยินฮูหยินน้อยกระเซ้าจูหลานเมื่อครู่นี้ จึงนึกขึ้นมาเจ้าค่ะ หาได้เกี่ยวข้องกับน้องเฮ่อที่ใดไม่ น้องเฮ่อเอาแต่จดจ่ออยู่ที่ตัวฮูหยินน้อย เกรงว่าคงมิได้คิดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ ถึงแม้ฮูหยินน้อยจะเห็นอกเห็นใจนาง ก็เกรงว่ายังต้องเกลี่ยกล่อมนางอีกนานเชียวเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดแล้วว่า “เรื่องนี้ข้าเห็นดีด้วย เพียงแต่ท่านอาว่ามาก็มีเหตุผล ท่านอาเฮ่ออยู่กับข้ามาตั้งหลายปี ล้วนมิได้สนใจผู้ใดมาก่อน จู่ๆ ยามนี้ก็จะให้นางแต่งงานใหม่ เกรงว่าท่านอาเฮ่อจะเกิดลังเลขึ้นมา ข้าว่าท่านอาเฮ่อเชื่อฟังท่านอานัก เอาเป็นว่ามากหมอยิ่งมากความ ขอให้ท่านอาช่วยข้าเกลี่ยกล่อมนางทีเถิด? ดีชั่วยามนี้ข้าก็สามารถตัดสินใจได้เองแล้ว เรื่องนี้… ขอเพียงดีต่อท่านอาเฮ่อ เรื่องใดที่ข้าทำได้ข้าล้วนจัดการให้นาง”
ทั้งสองคนจึงปรึกษากันในทันทีว่าหากนางเฮ่อยอมแต่งงานใหม่ จะเลือกคนเช่นไรให้นาง… เพราะนางเฮ่อก็อายุเท่านี้แล้ว จะว่าแก่ก็ไม่แก่ หากว่าไม่แก่ ก็เป็นคนในระดับท่านอาแล้ว ทั้งนางยังเป็นแม่นมของเว่ยฉางอิ๋ง หากเป็นคนที่มีฐานะต่ำต้อยสักหน่อยก็ไม่น่าแต่งด้วย ส่วนคนที่มีฐานะสูงสักหน่อยก็อาจจะเอื้อมไม่ถึง
เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิด “หากหาคนในบ้านของเราเอง เช่นนั้นอย่างน้อยก็ต้องเป็นพ่อบ้าน”
“ผู้ทีเป็นพ่อบ้านส่วนใหญ่ล้วนแต่งงานแล้ว หรือต่อให้เป็นพ่อหม้ายโดยมากแล้วก็จะมีลูกชายลูกสาว” นางหวงว่า “เป็นแม่เลี้ยงนั้นยากเย็นนัก… อย่าได้ดูว่ามารดาใหม่ของคุณหนูสิบตระกูลหลิวไม่ดีต่อนาง ทั้งยังกำราบสามีจนอยู่ในกำมือ นั่นก็เพราะคุณหนูสิบตระกูลหลิวไม่มีพี่น้องผู้ชาย ทั้งบุตรชายคนเดียวที่มารดาใหม่ของนางให้กำเนิดมาก็ยังเฉลียวฉลาดมาแต่กำเนิดอีก! ที่สำคัญที่สุดก็คือคุณหนูสิบตระกูลหลิวเป็นค่อนอ่อนแอบอบบางรังแกง่าย นี่หากเป็นคุณหนูท่านอื่น เช่นคุณหนูแปดตวนมู่… ไม่แน่ว่าอาจมีการช่วงชิงอำนาจกันขึ้นมาเชียวเจ้าคะ!”
เมื่อได้ยินชื่อตวนมู่ซินเหมี่ยว เว่ยฉางอิ๋งจึงยิ้มเจื่อนๆ พลางว่า “นั่นนับว่าเป็นเพราะความสามารถอันสูงส่งของท่านหมอเทวดาจี้ ลำพังแค่ท่านหมอเทวดาจี้ ผู้ใดจักกล้าล่วงเกินนาง? บอกแต่เพียงว่าจะลองกระเรียนระทมสักน้อยหรือไม่ เจ้าไม่คิดมีชีวิตแล้วใช่หรือไม่?”
นางหวงยิ้มพลางว่า “ในใต้หล้านี้มิได้มีเพียงกระเรียนระทมชนิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นจะใช้พิษได้ก็ต้องดูว่าจะใช้กับผู้ใดด้วยเจ้าค่ะ คราวก่อนฮูหยินน้อยก็เห็นแล้ว ทั้งฮูหยินใหญ่และคุณหนูหลิวสิบล้วนมิได้ไม่คุ้นเคยกับกระเรียนระทมเลย เห็นชัดว่าโดยปกติแล้วหาได้ไม่ค่อยเคยได้ยินหรือไม่ใคร่ได้สัมผัสใกล้ชิดมาก่อน ทว่าคุณหนูสิบหลิวกลับยังถูกรักแกในบ้านตนเองจนอยู่ในสภาพนั้น เหตุใดจึงไม่เห็นว่านางจะโกรธเคืองและคิดอยากแก้แค้น หากแต่หวังเพียงให้ได้แต่งงานกับคนดีๆ สักคนในเวลาอันควรแล้วได้มีชีวิตอย่างปกติสุข?”
“คนเช่นนางจางผู้นั้น จักต้องชอบรังแกคนอ่อนแอแต่เกรงกลัวคนที่แกร่งกว่า แต่ยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นนางต้องแสร้งทำเป็นยอมศิโรราบไร้พิษภัย จากที่ข้าน้อยดู มิสู้เปิดศึกกันให้เห็นซึ่งหน้าเลยเสียดีกว่า! คุณหนูสิบหลิวก็มิได้ทำให้นางต้องลำบากแต่อย่างใด อีกทั้งนางจางผู้นั้นก็มีทั้งบุตรชายและบุตรสาวแล้ว แต่ยังคิดจะเอามาเปรียบเทียบกับคุณหนูสิบตระกูลหลิวอีก…เฮ่อ พูดไปเสียไกล…ข้าน้อยจักบอกว่า น้องเฮ่อเป็นคนใจร้อน อาจไม่สามารถเข้ากับลูกเลี้ยงได้ดีนัก คงต้องเลือกคนที่ไม่มีลูก วันหน้าทั้งคู่จักได้ร่วมแรงร่วมใจกันวางแผนให้ลูกๆ ได้เจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งรู้ถึงความหมายของนาง นางเฮ่อดูไปแล้วเป็นคนร้ายกาจ ยามจัดการบ่าวไพร่ก็ทำอย่างรุนแรง สาวใช้ทุกคนไม่มีผู้ใดไม่กลัวนาง… เพียงแต่นางร้ายกาจแต่เพียงภายนอก เพื่อให้คนมองออกในทันทีว่าใช่จะหาเรื่องนางได้ง่ายๆ หากพอแต่งงานไปก็ต้องไปเป็นแม่เลี้ยงของผู้อื่น ถ้าได้เจอลูกเลี้ยงที่ซื่อตรงบอบบางเช่นคุณหนูสิบตระกูลหลิวก็แล้วไป แต่หากไปเจอคนแข็งกร้าว ลำพังแค่ลักษณะภายนอกที่ชวนให้คนรู้สึกว่านางเป็นคนปากร้ายใจร้าย นางก็จะต้องเสียเปรียบแน่
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่นางหวงกล่าวก็มีเหตุผลงอย่างมาก หากเป็นลูกต่างมารดา แล้วผู้เป็นพ่อเกิดลำเอียงขึ้นมาก็ยากจะไม่ทำให้เกิดความร้าวฉานได้ ที่ยามนี้ทั้งสองคนปรึกษากันว่าจะเกลี่ยกล่อมให้นางเฮ่อแต่งงานใหม่ ว่ากันจริงๆ ก็หวังจะเห็นนางมีชีวิตที่ดี วันหน้ายามบั้นปลายชีวิตจักได้มีความสุขที่มีลูกๆ คอยห้อมล้อม มิใช่ว่าให้เกิดเรื่องในบ้านเสียใจอยู่อย่างไม่สงบ
เช่นนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงว่า “คนเช่นนี้เกรงว่าจะหายาก เพียงแต่พ่อบ้านของเราก็มีไม่น้อย หากคนของเราไม่มี เมืองหลวงใหญ่โตถึงเพียงนี้ ก็อาจมองไปยังชาวบ้านข้างนอก ขอเพียงเป็นคนซื่อตรงรู้จักทะนุถนอมคน ทั้งไม่มีลูก หากเขายากจนสักหน่อย รอจนพวกเขาแต่งงานกัน จึงค่อยจัดหาหน้าที่การงานที่เป็นหน้าเป็นตาให้ก็ใช้ได้แล้ว”
เมื่อพูดเรื่องของนางเฮ่อจบแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็เป็นห่วงเรื่องแผนการของบ้านใหญ่ขึ้นมา “พี่สะใภ้ใหญ่ทุ่มเทกับคุณหนูสิบตระกูลหลิวมากจริงๆ แผนจัดการคุณหนูสิบเอ็ดตระกูลหลิวครานี้ หากถูกคนจับได้ พี่สะใภ้ใหญ่คงจบเห่แน่… และไม่รู้ว่าคุณหนูสิบจะสามารถแต่งเข้าวังตะวันออกได้อย่างราบรื่นปลอดภัยหรือไม่?”
ในขณะที่พวกนางนายบ่าวกำลังคาดเดากันไปต่างๆ นานาอยู่นั้น ในบ้านใหญ่ นางหลิวสั่งให้ทุกคนออกไปและสั่งความกับหลิวรั่วอวี้เพียงลำพัง “…รั่วเหยียชื่นชอบย้าวเหยี่ย หากนางมาแล้ว นางก็จักต้องคิดหาวิธีเชิญเว่ยฉางอิ๋งมาพบสักหน เพื่อจักได้ดูว่าหญิงที่ย้าวเหยี่ยถึงกับขัดคำสั่งบิดามารดาว่าจะต้องแต่งเข้าบ้านให้จงได้นั้นเป็นคนเช่นไร ดังนั้นข้าจึงจะจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ในวันนั้น เจ้าจงคอยดูไว้ให้ดี เมื่อเว่ยฉางอิ๋งมาก็ให้เจ้าแสร้งทำเป็นว่าไม่สบายและออกไปเสีย”
หลิวรั่วอวี้เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เหตุใด? ข้าอยากจะเห็นด้วยตาตนเองว่านังคนชั่วนั่น…” เดิมทีนางถูกแม่เลี้ยงรังแกเสียชนเคยชินแล้ว ทั้งนางยังเป็นคนอ่อนแอ แม้จะรู้สึกอิจฉาน้องสาวต่างมารดาที่ได้รับความรักใคร่จากแม่เลี้ยง แต่กลับไม่อาจเกลียดนางได้ลง แต่ในเมื่อรู้ว่าแม่เลี้ยงร้ายกาจกับตนถึงเพียงนี้ ในขณะที่รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ และสั่นสะท้านอยู่ภายในใจ จึงพาลไปโกรธน้องชายและน้องสาวด้วย ดังนั้นยามเอ่ยถึงหลิวรั่วเหยียขึ้นมาจึงไม่มีคำพูดดีๆ อีกแล้ว
นางหลิวยิ้มเยาะพลางว่า “ในเมื่อนางจางใช้กระเรียนระทมทำร้ายเจ้า แล้วบุตรสาวของนางจะไม่ระวังยาชนิดนี้ได้อย่างไร?”
“เช่นนั้นพี่เจ็ดจักลงมืออย่างไรเจ้าคะ?” หลิวรั่วอวี้ตื่นตกใจ
“รอจนรั่วเหยียมาแล้ว ข้าก็จะบอกกล่าวเรื่องความรักใคร่ที่ย้าวเหยี่ยมีต่อเว่ยฉางอิ๋งให้นางฟังอย่างละเอียด” นางหลิวพลันมีแววตาเจ้าเล่ห์ฉายออกมา กดเสียงลงต่ำ กล่าวว่า “รั่วเหยียเป็นคนหยิ่งทะนงตนมาแต่ไร ก่อนนี้เมื่อนางหมายปองย้าวเหยีย ก็หาได้คำนึงว่าย้าวเหยี่ยหมั้นหมายมาแต่เล็กแล้ว… ภายหลังนางจึงรบเร้านางจาง อาศัยข้ออ้างว่าคำนึงถึงอนาคตของน้องยี่สิบสาม และเกลี่ยกล่อมให้ท่านอาห้าจัดการเรื่องที่มีชาวเฟิ่งโจวไปขวางเกี้ยวอดีตท่านเสนาบดีฝ่ายปกครองเว่ยฉีเพื่อร้องเรียน และให้ร้ายว่าเว่ยฉางอิ๋งสูญเสียความบริสุทธิ์ จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปทั่วเมือง… เดิมทีนึกว่าเมื่อเป็นดังนี้แล้วนางก็จะได้มาแทนที่เว่ยฉางอิ๋งสมดังหวัง แต่กลับไม่คิดว่าย้าวเหยี่ยมีจิตใจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเกินกว่าที่นางจะจินตนาการได้ นอกจากจะไม่ทอดทิ้งเว่ยฉางอิ๋งแล้ว เขากลับยิ่งทะนุถนอมคู่หมั้นผู้นี้มากขึ้นเป็นทวีคูณ ไม่เกรงกลัวแม้ต้องขโมยกระบี่ของท่านพ่อและไล่ตามไปถึงเฟิ่งโจว…”
พูดถึงตรงนี้ นางหลิวก็ยิ้มเยาะแล้วว่า “จะว่าไปการกระทำของรั่วเหยียครานี้กลับเป็นการช่วยเหลือเว่ยฉางอิ๋งอย่างใหญ่หลวง เพียงแต่เกรงว่าจนยามนี้เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า… เดิมทีหลังจากที่สามีของนางถึงวัยเกล้าผมแล้ว ท่านแม่ก็ตระเตรียมสาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มหลายคนมาคอยปรนนิบัติเขาเอาไว้แล้ว ก่อนนั้นสาวใช้ข้างกายย้าวเหยี่ยสองคนที่มีชื่อว่าเฉี่ยนฉ่าวและเฉี่ยนเสีย ล้วนมีหน้าตาอย่างที่เขาว่ากันว่างดงามดังดอกไม้ขาวดังหยก! ตามหลักแล้ว เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเข้าบ้านมาก็จะต้องรับพวกนางเข้าบ้านอย่างเป็นทางการ แต่ปรากฏว่าด้วยเรื่องชื่อเสียงของเว่ยฉางอิ๋งเสียหาย ย้าวเหยี่ยเป็นกังวลว่าหลังจากนางเข้าบ้าน หากยังมีพวกของเฉี่ยนฉ่าวอยู่ก็จะต้องได้รับความเมตตาจากมารดาและหันไปดูแคลนเว่ยฉางอิ๋ง นับจากเขากลับมาจากเฟิ่งโจวเมื่อปีก่อนจึงยกพวกนางให้แก่ผู้อื่น! พร้อมทั้งสาวใช้ที่ดูแลย้าวเหยี่ยมาแต่เล็กจนโต หากมีผู้ใดที่หน้าดีสักหน่อย หากไม่หาคู่ครองให้ก็ยกให้แก่ผู้อื่นจนหมด เพื่อมิให้เว่ยฉางอิ๋งต้องลำบากในการเป็นนายผู้หญิงยามเข้าบ้านมา… หาไม่แล้วสาวใช้ที่มีอยู่แต่เดิมในเรือนจินถง มีหรือจะเหลือแค่ถวนเยวี่ยและซินเยวี่ยซึ่งมีหน้าตาอัปลักษณ์อยู่เพียงสองคน?”
หลิวรั่วอวี้พลันมีความอิจฉาฉายออกมาในแววตา “พี่เว่ยช่างโชคดีจริงๆ”
นางหลิวถอนหายใจ บอกว่า “แม้นางจะได้สามีที่ดี มีย้าวเหยี่ยคอยปกป้องนางทุกอย่าง แต่ยามนี้ก็ยังไม่ครบเดือน ยังไม่ทันได้ไปมากับภายนอก… วันหน้าย้าวเหยี่ยก็ไม่อาจคอยอยู่ช่วยนางได้ตลอดเวลา” เมื่อพูดถึงตรงนี้จึงถือโอกาสสอนน้องสาวว่า “หลังจากเจ้าออกเรือนแล้วก็เช่นกัน แม้ข้าจะช่วยเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ แต่เรื่องที่ข้าสามารถช่วยได้ก็มีเพียงเท่านี้แล้ว! อย่างไรก็ยังต้องให้เจ้ารู้จักตัดสินใจเอง! หาไม่แล้ว ต่อไปหากเจ้ายังคงเป็นคนที่นี่ก็ไม่กล้านั่นก็ใจไม่แข็ง… ต่อให้คนข้างกายมีความสามารถ แต่ไม่ได้เจ้าเอ่ยปากก็จะเอาแต่พากันนิ่งเฉยเสีย แล้วจะต้านทานเรื่องต่างๆ ได้สักเท่าใด?”
ดวงตาหลิวรั่วอวี้พลันแดงก่ำขึ้นมา “ข้ารู้แล้ว ก่อนนี้ล้วนเพราะข้าไม่ดี พี่เจ็ดคอยตักเตือนข้าทุกเรื่อง แต่ข้ากลับเอาแต่คิดว่าอย่างไรนางจางก็เป็นภรรยาของท่านพ่อ หากนางไม่ชอบข้า ขะ…ข้าก็อดทนเอาสักหน่อยก็พอ อย่างมากต่อไปเมื่อออกเรือนแล้ว ข้าก็จักไปมาหาสู่กับที่บ้านน้อยลงเอง แต่กลับไม่คิดว่าที่ข้าอดทนตลอดมานี้นางก็ยังไม่ละเว้นข้า! ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วข้ายังจะทนต่อไปเพื่อสิ่งใด?”
“เพราะเหตุนี้อย่างไรเล่า!” นางหลิวมองไปยังน้องสาวร่วมตระกูลผู้น่าสงสารที่ยามนี้คิดได้เสียที ไม่รู้ว่าจริงๆ ว่าควรจะดีใจจนร้องไห้หรือว่าเสียใจดี ที่นางมารู้ตัวก็สายเกินไปแล้วสักหน่อย… เมื่อแต่งเข้าตำหนักตะวันออกไป หรือว่าจะเป็นการพ้นจากขุมนรกในบ้านหลิวแต่กลับเข้าไปในขุมนรกในตำหนักตะวันออกแทน?
นางเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับที่หางตาแล้วเอ่ยว่า “วันหยุดครานี้ข้าจะเป็นคนบอกกับรั่วเหยียเองว่า ตั้งแต่ต้นจนจบนั้นนางช่วยเว่ยฉางอิ๋งเรื่องใดบ้าง ด้วยนิสัยของรั่วเหยีย มีหรือนางจะทนไหว?”
หลิวรั้วอวี้ขบริมฝีปากแล้วว่า “แม้นางจะทะนงตน แต่ท่านพ่อก็เอ่ยชมว่านางเฉลียวฉลาดเสมอมา… นางก็คงไม่ถึงกับไปหาเรื่องกับพี่เว่ยในบ้านเสิ่นหรอกกระมังเจ้าคะ? โดยเฉพาะ… เมื่อมีคุณชายสามตระกูลเสิ่นคอยปกป้องพี่เว่ยอยู่เช่นนั้น!”
“เด็กโง่ นางย่อมไม่แสดงออกชัดเจนว่านางจงใจหาเรื่องพี่เว่ยของเจ้าผู้นั้นหรอก” นางหลิวชี้นิ้วไปแตะที่หน้าผากนาง พลางกล่าวด้วยความรักและเวทนาว่า “เจ้าคงจะลืมไปแล้วว่าถูกรังแกเสียหนักหนาสาหัสถึงเพียงใด? หากมิใช่ท่านอาหวงผู้นั้น ก็เกรงว่าจนยามนี้พวกเราคงยังนึกว่าเจ้าตรอมใจจนทำให้ร่างกายอ่อนแออยู่เลย!”
หลิวรั่วอวี้ฟังความหมายของนางออก พลันสะดุ้งอยู่ในใจ “เหตุใดรั่วเหยียนางจึง…จึงกล้าเอากระเรียนระทมมาใช้กับพี่เว่ย?”
“จักไม่กล้าได้อย่างไร?” ริมฝีปากของนางหลิวแผงไว้ด้วยรอยยิ้มเยาะ “พวกเราก็ไม่รู้ว่าท่านหมอเทวดาจี้สามารถถอนพิษของกระเรียนระทมได้หรือไม่นี่? นางจางวางยาพิษกระเรียนระทมกับเจ้า ก็มิใช่เพราะมั่นอกมั่นใจว่าต่อให้เจ้ารู้ก็ยังไม่อาจถอนพิษได้หรอกหรือ? ยามนี้เจ้าได้รับข่าวว่าจี้ชวี่ปิ้งจะรักษาเจ้า ข้าก็สั่งมิให้คนแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป! รั่วเหยียวางแผนจัดการเว่ยฉางอิ๋งไม่สำเร็จ แต่กลับกลายเป็นช่วยเหลือศัตรูหัวใจเสียใหญ่หลวง นางถูกนางจากเอาใจมาจนโต ย่อมต้องถือดีในตนเองเป็นที่สุด ที่นางไม่อาจแต่งงานกับน้องสาม นางก็ไม่พอใจมากพออยู่แล้ว เมื่อพวกเราก็บอกกับนางเป็นนัยๆ ไปว่านางขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือ [1]แล้วนางจะทนไหวได้อย่างไร?”
นางหลิวกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เมื่อนางทนไม่ไหว ก็ย่อมต้องลงมือกับเว่ยฉางอิ๋งเป็นการระบายความแค้น… โอ๊ะ วานนี้ข้าสั่งให้คนส่งของเล็กๆ น้อยๆ ไปให้นางจาง เป็นดังที่คาดไว้ คนที่ไปส่งของพอไปถึงกลางทางก็ถูกคนสนิทของรั่วเหยียรั้งตัวเอาไว้ ดึงเข้าข้างทางให้เงินไปหนึ่งตำลึง แล้วเลียบๆ เคียงๆ ถามว่าย้าวเหยี่ยปฏิบัติต่อเว่ยฉางอิ๋งอย่างไรบ้าง… ไม่แน่ว่า ยามนางมา นางก็อาจเตรียมตัวเอาไว้แล้ว!”
หลิวรั่วอวี้ตกตะลึงไปพักใหญ่ กล่าวว่า “เช่นนั้น… เหตุใดข้าต้องหลบออกไปเล่าเจ้าคะ?”
“พวกเราคิดจะอาศัยโอกาสนี้วางยากระเรียนระทมแก่รั่วเหยีย ข้าบอกนางหวงไปเช่นนั้น” นางหลิวกล่าวเสียงต่ำว่า “ดังนั้นเมื่อเจ้าไป เว่ยฉางอิ๋งทั้งนายบ่าวที่พวกเราเชิญมา ย่อมต้องนึกว่าพวกเราจะลงมือกับรั่วเหยีย หรือไม่ก็ลงมือไปแล้ว จึงจงใจให้เจ้าหลบออกไปเพื่อมิให้เป็นที่สงสัย!”
“แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?” หลิวรั่วอวี้เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
นางหลิวถอนหายใจ “ข้าบอกแล้วอย่างไร นางจางใช้กระเรียนระทมกับเจ้า แล้วบุตรสาวของนางมีหรือจะไม่ระวังตัวว่าจะถูกคนใช้ยาชนิดเดียวกันทำร้ายเอา? ยาชนิดนี้คนบ้านอื่นมีใช้กันน้อยมาก แต่ในบ้านเรากลับมิได้เป็นของหายาก! ทั้งพวกเรายังไม่รู้เรื่องการแพทย์ใดๆ เจ้านึกว่าลำพังแค่อาศัยพวกเราเอง แล้วจักมั่นอกมั่นใจว่าจะปิดบังรั่วเหยียและวางยานางได้สักเท่าใด? ถึงเวลานั้น นางจางจะไม่ใช้วิธีเดิมมาหาเรื่องหาราวเอากับเจ้าก็แปลกแล้ว! อย่างไรนางก็เป็นแม่เลี้ยง ต่อให้มีราชโองการลงมาเรียบร้อยแล้ว ตราบใดที่เจ้ายังไม่ออกเรือนเจ้าก็จะถูกนางบีบอยู่ในกำมือ!”
หลิวรั่วอวี้โพล่งถามออกไปว่า “ท่านอาหวงรู้เรื่องการแพทย์นี่เจ้าคะ…”
“นางหวงรู้เรื่องการแพทย์ แต่นางจะไม่ลงมือเพื่อเจ้า!”
ดวงตาหลิวรั่วอวี้พลันมีแววแห่งความผิดหวัง กำลังจะพูด ไม่คิดว่านางหลิวกลับเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาว่า “แต่หากว่าเพื่อเว่ยฉางอิ๋งแล้ว นางหวงจักต้องลงมือเป็นแน่!”
นางมองไปทางหลิวรั่วอวี้ “เหตุใดข้าจึงบอกว่าวันนั้นจะเตรียมจัดงานเลี้ยงเล็กๆ? ก็เพราะมีเพียงวิธีนี้เท่านั้น รั่วเหยียจึงจะมีโอกาสยกสุราให้เว่ยฉางอิ๋ง… ไม่ว่านางจะลงไม้ลงมือในสุรานั้นหรือไม่ อย่างไรเสียสุราที่นางส่งถึงมือของเว่ยฉางอิ๋งจักต้องไม่มีทางสะอาดบริสุทธิ์ไปได้!”
หลิวรั่วอวี้สะดุ้ง กล่าวว่า “พี่เจ็ด! พี่เว่ยให้ท่านอาหวงช่วยข้านะเจ้าคะ!”
“เจ้าก็ยังคงใจอ่อนเช่นนี้! แล้วจักให้ข้าวางใจให้เจ้าเข้าตำหนักตะวันออกไปได้อย่างไรกัน?” นางหลิวถอนหายใจพลางกล่าว “เจ้าฟังคำข้า… ข้ามิได้ต้องการทำร้ายเว่ยฉางอิ๋ง แม้แต่ทำร้ายรั่วเหยียก็ยังไม่อาจมั่นใจได้ ประสาอะไรที่ยังมีนางหวงคอยตามติดเว่ยฉางอิ๋ง? เพียงแต่อยากให้ทั้งเว่ยฉางอิ๋งและนางหวงรู้สึกว่ารั่วเหยียใจกล้านัก หมายปองสามีของเว่ยฉางอิ๋งยังไม่พอ มาพบกันหนแรกก็ถึงกลับกล้าลงมือกับเว่ยฉางอิ๋ง!”
“นางหวงผู้นั้นแม้จะไม่ได้รับการยอมรับจากท่านหมอเทวดาจี้ แต่ในความจริงนางถูกมองว่าเป็นศิษย์ของเขากว่าครึ่งหนึ่งแล้ว! เช่นนั้นต่อให้เว่ยฉางอิ๋งพลั้งเผลอดื่มสุรานั้นเข้าไป เพียงนางหวงหันหน้ามาก็สามารถช่วยนางถอนพิษได้แล้ว!” นางหลิวแค่นเสียงแล้วว่า “แต่นางหวงหรือจะทนเห็นนายของตนต้องเสียเปรียบเช่นนี้? คนที่รู้จักวิชาแพทย์ทั้งยังมีท่านหมอเทวดาจี้คอยหนุนหลังเช่นนาง หากต้องการจะทำร้ายรั่วเหยีย ขอเพียงพวกเราเชิญรั่วเหยียเข้ามาที่จวนบ่อยๆ ให้นางได้มีโอกาสสักหน่อย ต่อให้มีรั่วเหยียร้อยคนก็ยังตายไม่พอเลย… ผู้คนที่เคยบีบบังคับจี้อิงทั้งครัวเมื่อก่อนนี้ก็มิใช่เป็นตัวอย่างที่ดีแล้วรึ!”
“ไม่เพียงแค่นางหวงเท่านั้น ยังมีย้าวเหยี่ย… เจ้าไม่รู้ น้องชายสามีข้าผู้นี้ดูท่าทีเป็นคนจิตใจกว้างขวาง ความจริงแล้วจักเป็นเช่นนี้กับคนของตนเท่านั้น เขาแบ่งแยกคนในและคนนอกชัดเจนยิ่งนัก! ตอนแรกนั้นเขายืนกรานจะแต่งเว่ยฉางอิ๋งเข้าบ้านเสียให้ได้ก็เพราะเว่ยฉางอิ๋งถูกกำหนดให้เป็นภรรยาของเขาตั้งแต่ยังอยู่ในผ้าอ้อม เขาจึงมองนางเป็นคนของตนเองมาตั้งนานแล้ว เขาเป็นคนใจกว้างกับคนของตัวเองยิ่งนัก เขายอมถูกผู้คนเย้ยหยันแต่จะไม่ยอมซ้ำเติมนาง แต่หากเป็นคนนอกแล้ว…เฮอะๆ! เขาเป็นถึงว่าที่ประมุขคนต่อไปซึ่งเป็นความหวังอันใหญ่หลวงของตระกูลเสิ่น หากไม่มีเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายสักหน่อยแล้วจะกำราบบ่าวไพร่ได้อย่างไร? โดยเฉพาะยามนี้เว่ยฉางอิ๋งแต่งเข้าบ้านมาแล้ว หากกล้าเอื้อมมือมาแตะต้องภรรยาหลวงของเขา… ไม่เห็นหรือไรว่า แม้แต่น้องสิบหกที่ไม่ยอมศิโรราบแก่เขาถึงเพียงนั้น ทว่าแต่ต้นจนจบก็ยังไม่เคยเอ่ยปากว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่ดีแม้สักคำ?”
นางหลิวกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เมื่อสร้างความแค้นกับบ้านสาม นางจางหรือจะมีเวลาไปสนใจเจ้าอีก? จะรีบร้อนมาปกป้องบุตรสาวสุดที่รักของนางก็ยังไม่ทันแล้ว! เช่นนี้ เจ้าก็สามารถออกเรือนได้อย่างวางใจเสียที เพียงแต่… หลังจากออกเรือน อย่างไรก็ยังต้องให้เจ้ายืนหยัดด้วยตนเอง! เพราะว่าในตำหนักตะวันออกก็มีเรื่องภายในมากมาย ต่อให้ไม่มีบ้านเดิมคอยแทงเจ้าข้างหลัง ผู้คนที่มีพระนัดดาให้แก่ฮ่องเต้แล้วพวกนั้น ก็มีเหตุจูงใจเพียงพอที่จะหันมาเล่นงานเจ้าแล้ว…”
เมื่อได้ยินพี่สาวร่วมตระกูลกำชับสอนสั่ง หลิวรั่วอวี้ก็ขัดเคืองในดวงตาคล้ายจะหลั่งน้ำตาออกมา…
_____________________________
[1] ขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือ หมายถึง ทำการไม่สำเร็จและยังต้องมีเสียผลประโยชน์อีก