ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 33
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 33 พี่สะใภ้น้องสะใภ้
ตอนที่ 33 พี่สะใภ้น้องสะใภ้
โดย
Xiaobei
จากนั้นหลายวันก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตวนมู่ซินเหมี่ยวอดรนทนไม่ได้ที่มักถูกตระกุลซูเชิญไปที่จวนอยู่บ่อยครั้ง ทั้งทางจี้ชวี่ปิ้งนั้นกลับมิได้ยี่หระแม่เฒ่าเติ้งผู้นี้แต่อย่างใด จึงทำให้นางเกิดมีน้ำใจขึ้นมา… เมื่อรอจนได้รับข่าวว่าอาการป่วยของแม่เฒ่าเติ้งคงที่แล้ว และต่อไปก็เพียงต้องพักรักษาตัวระยะยาวเท่านั้น ในที่สุดฮูหยินซูที่ยามนี้ผายผอมลงไปมากจึงได้กลับบ้านเสียที
ส่วนเว่ยฉางอิ๋งที่เสพสุขกับการตื่นตอนตะวันขึ้นหรือสายกว่านั้น และอยู่ว่างๆ ไปวันๆ มาเกือบครึ่งเดือนก็เริ่มใช้ชีวิตในวันคืนที่อยู่ภายใต้การดูแลควบคุมของแม่สามีอย่างจริงจังแล้ว
ในวันที่ฮูหยินซูกลับมา สะใภ้ทั้งสามคนย่อมต้องไปต้อนรับด้วยตนเอง เห็นชัดว่าฮูหยินซูที่ลงมาจากรถดูอิดโรยและผายผอมลงไม่น้อย นางหลิวเป็นคนแรกที่น้ำตาร่วง “ไยท่านแม่จึงเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้? และไม่ยอมเรียกพวกสะใภ้ไปคอยปรนนิบัติดูแลเจ้าคะ!”
นางตวนมู่ก็รีบเอ่ยทักทายตามไปในทันที “หลายวันมานี้ท่านแม่อ่อนเพลียมามาก รีบเข้าไปนั่งในห้องเถิดเจ้าค่ะ!” ดูคล้ายเป็นการแสดงความห่วงใช้ต่อจากนางหลิว แต่ความจริงแล้วกลับเป็นการแอบเหยียบเท้านางหลิวว่า… เจ้าก็ไม่รู้จักดูเสียบ้างว่าแม่สามีทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งอ่อนล้าเพียงนี้แล้ว แล้วยังไปคอยยืนพูดขวางทางอยู่ข้างรถอยู่ได้ ไม่รู้จักเชิญแม่สามีเข้ามานั่งในเรือนก่อนค่อยพูดจารึ? ดูท่าว่าเจ้าแค่อยากแสดงความกตัญญูของตน มีหรือจะเหมือนข้าที่เป็นห่วงเป็นไยด้วยใจจริง?
นางหลิวพลันมีสีหน้าแข็งกร้าวขึ้นมา จากนั้นจึงรีบกุลีกุจอเข้าไปประคองฮูหยินซูในทันใด “น้องสะใภ้รองกล่าวถูกแล้ว ดูสิสะใภ้เอาแต่สงสารท่านแม่เสียจนเลอะเลือน ถึงกลับลืมเขาไปประคองท่านเข้าไปข้างในเสียก่อน”
เว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นสะใภ้ใหม่และยังเป็นสะใภ้คนเล็กที่สุดในตอนนี้ จึงไม่เหมาะจะเข้าไปแย่งพวกพี่สะใภ้ประคองฮูหยินซู ทำได้เพียงก้มหน้าตามองจมูก จมูกมองหัวใจ ประสานมือยืนรออยู่ข้างๆ อย่างนอบน้อม และกล่าวไปประโยคหนึ่งอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านแม่ เชิญเข้าไปนั่งข้างในห้องเจ้าค่ะ สะใภ้สั่งให้คนเตรียมชาโสมเอาไว้แล้ว เพิ่งจะคั่วมาเมื่อครู่นี้เองเจ้าค่ะ หม่านโหลวบอกว่าท่านแม่ชอบดื่มชาโสมเติมน้ำผึ้งเล็กน้อย สะใภ้เติมน้ำผึ้งมาหนึ่งช้อน แต่ก็ไม่ทราบว่าจะมากหรือน้อยเกินไปเจ้าค่ะ?”
สำหรับการแสดงออกของสะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองนั้น ฮูหยินซูมองเห็นอยู่ในสายตาจึงมิได้รู้สึกว่าเกิดคาดใดๆ… ดีชั่วอย่างไรสะใภ้ทั้งสองคนก็แต่งเข้าบ้านมาหลายปีแล้ว ที่ใดดีที่ใดไม่ดี นางก็รู้ดีอยู่เต็มอก ฮูหยินซูเองก็เคยเป็นสะใภ้มาก่อน ระหว่างสะใภ้ด้วยกันย่อมมีการแก่งแย่งเพื่อให้ได้เป็นที่รัก ขอเพียงไม่เกินเลยเกินไป นางก็จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเสีย ก็มิใช่ว่ากันว่าหากไม่หูหนวกไม่เบาปัญญาก็เป็นผู้ใหญ่ในบ้านไม่ได้หรอกหรือ?
ดังนั้นผู้ที่ฮูหยินซูสังเกตมากที่สุดก็คือเว่ยฉางอิ๋งสะใภ้สามที่เพิ่งเข้าบ้านมา เมื่อเห็นนางมิได้เข้ามาแย่งพี่สะใภ้ทั้งสองกล่าวคำทักทาย พลันคิดในใจว่านางกลับรู้จักระงับอารมณ์ได้ดี ภายหลังยามนางหลิวประคองฮูหยินซูที่แขนข้างหนึ่ง ฮูหยินซูจึงจงใจเดินไปสองก้าว แล้วเอียงตัวให้ระยะห่างระหว่างตัวนางกับเว่ยฉางอิ๋งใกล้เคียงกับนางตวนมู่ แต่แล้วเว่ยฉางอิ๋งกลับมีแสดงอาการถ่อมตนโดยปล่อยให้พี่สะใภ้รองเข้าไปประคองแม่สามี และมิได้มีท่าทีจะแก่งแย่งแต่อย่างใด
นี่นางกลับมีความถ่อมตนอยู่ไม่น้อย!
ฮูหยินซูนึกพยักหน้าอยู่ในใจ สะใภ้ที่เพิ่งเข้าบ้านมาใหม่โดยมากแล้วมักจะรีบเข้ามาแสดงท่าทีเอาอกเอาใจ เพียงแต่หากรีบเข้ามาแสดงออกในยามนี้แล้วต้องมาแก่งแย่งกับพวกพี่สะใภ้ เช่นนั้นก็เห็นได้ชัดว่านางแข็งกร้าวเกินไป ไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน
เวลานี้ยังได้ยินอีกว่าเว่ยฉางอิ๋งอาศัยจังหวะที่นางหลิวบอกว่าจะประคองฮูหยินซูเข้าไปในเรือน เข้ามากล่าวคำเอาอกเอาใจตน ทั้งยังเป็นคำพูดดูเหมือนไม่มีสิ่งใดแต่กลับน่าตื่นตะลึง ฮูหยินซูอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ว่า ข้ายังนึกว่าสะใภ้สามผู้นี้จะรอให้เข้าเรือนมาแล้วจึงค่อยเข้ามาประจบ ไม่คิดว่าครานี้นางก็มีคำพูดรออยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดนี้ก็กลั่นกรองออกมาด้วยความตั้งอกตั้งใจ ชาโสมสามารถช่วยบรรเทาความอ่อนล้า เสริมกำลังแรงกาย ทำให้เห็นถึงความเอาใจใส่ของเว่ยฉางอิ๋ง และที่ใส่ใจเสียยิ่งกว่านั้นนางยังไปสอบถามจากทางหม่านโหลวสาวใช้ที่อยู่เฝ้าเรือนหลักมาด้วยว่าฮูหยินซูดื่มชาโสมอยู่เป็นประจำ
สิ่งนี้ก็เป็นการแสดงออกโดยนัยแล้วว่านางได้รับการยอมรับจากหม่านโหลวซึ่งเป็นสาวใช้ที่มักจะปิดปากเงียบ จึงยอมเล่าเรื่องความเคยชินเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันของฮูหยินซูให้ฟัง และที่บอกว่าไม่รู้ว่าต้องเติมน้ำผึ้งมากน้อยเพียงใด กลับยังเป็นการบอกเป็นนัยว่านางก็เพียงไปสอบถามเรื่องความเคยชินเล็กๆ น้อยๆ ของฮูหยินซูด้วยความใส่อกใส่ใจ หากด้ไปถามลงลึกถึงเรื่องที่ไม่ควรถาม
ไม่ว่าจะเป็นท่านอาข้างกายเป็นคนชี้แนะ หรือว่าเป็นนางเองที่มีความคิดฉลาดหลักแหลม ในเสียงร่ำเสียงลือบอกว่าด้วยเหตุที่นางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของบิดามารดา ทั้งยังเป็นบุตรสาวที่เพิ่งจะมีเมื่อบิดามารดาแต่งงานแล้วเกือบสิบปี จึงเป็นที่รักใคร่ของญาติผู้ใหญ่เป็นนักหนา เป็นศูนย์รวมความรักใคร่ของคนทั้งบ้านมาแต่เล็ก…เมื่อมุกในฝ่ามือเช่นนางสามารถปฏิบัติตนได้ถึงขั้นนี้ ในสายตาของฮูหยินซูก็ให้นางผ่านแล้ว
เพียงแต่ความมึนตึงบางเบาที่ยากจะสัมผัสได้ระหว่างสะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองที่กำลังประคองตนอยู่นั้น ฮูหยินซูกลับสัมผัสได้ไม่ยากเย็น นางพลันแย้มยิ้มออกมา ต่อหน้าแม่สามีเช่นนาง สะใภ้สามถือว่าผ่านแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าสะใภ้ผู้นี้จะรับมือกับสะใภ้อีกสองคนได้เช่นไร? นางหลิวและนางตวนมู่หาใช่คนที่คบหาได้โดยง่ายไม่…
เสิ่นจั้งเฟิงเป็นผู้สืบสกุลที่ตระกูลเสิ่นฝึกฝนมาเพื่อเป็นประมุขตระกูลคนต่อไป เช่นนั้นแล้วฮูหยินซูย่อมต้องฝึกฝนภรรยาเอกของเขาเพื่อให้มีคุณสมบัติของนายหญิงของบ้านเสิ่นในอนาคต แม้จะรู้ว่าต่อไปนี้ทั้งสะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองต้องมีการตอบโต้น้องสะใภ้ผู้นี้อย่างแน่นอน แต่ฮูหยินซูก็มิได้คิดจะก้าวก่ายใดๆ วันหน้าเว่ยฉางอิ๋งยังต้องจัดการกับการยั่วยุที่เป็นดังคลื่นใต้น้ำเช่นนี้อีกมากมายนัก เวลานี้ก็ถือเป็นการฝึกฝนฝีมือก็แล้วกัน ดีชั่วอย่างไรยังมีนางซึ่งเป็นแม่สามีคอยดูอยู่ เรื่องต่างๆ ล้วนมีขีดจำกัด จึงไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องจนถึงขั้นควบคุมไม่ได้
รอกระทั่งฮูหยินซูถูกประคองทั้งหน้าทั้งหลังจนเข้าไปภายในห้องและนั่งลงแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงยกชาโสมเข้ามาให้ด้วยตนเองด้วยท่าทีนอบน้อมเป็นที่สุด ฮูหยินซูจิบไปอึกหนึ่งแล้วพยักหน้าแสดงความชื่นชม รอจนเว่ยฉางอิ๋งกำลังจะยิ้มออกมา นางจึงกล่าวไปอย่างราบเรียบว่า “เติมน้ำผึ้งลงไปมากไปหน่อย คราวหน้าเปลี่ยนมาใช้ช้อนที่เล็กกว่านี้กว่านี้สักหน่อยนะ”
เว่ยฉางอิ๋งรีบน้อมตัวรับ พลางว่า “เจ้าค่ะ ต้องโทษสะใภ้ที่ไม่ได้ถามอย่างละเอียด ให้สะใภ้ไปเปลี่ยนมาให้ท่านแม่ใหม่ถ้วยหนึ่งดีหรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่เป็นไร” ฮูหยินซูเห็นว่ากริยาท่าทีของนางไม่เลวเลย หาได้มีสีหน้าน้อยอกน้อยใจหรือไม่พอใจแสดงออกมาเลย จึงหาทางลงให้นาง “หลายวันมานี้ทั้งเป็นกังวลทั้งวุ่นวาย ปากคอจึงขมไปหมด กินหวานสักหน่อยกลับกลายเป็นกำลังดี คราวหน้าเจ้าปรุงชานี้อีก ค่อยใส่ให้น้อยลงก็พอ ถ้วยนี้ข้าดื่มแล้วรู้สึกว่ากำลังดี”
นางหลิวกล่าวพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ครั้งท่านแม่ให้คนนำปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้คู่นั้นส่งไปน้องสะใภ้สามที่เฟิ่งโจวก่อนหน้านี้ พวกเราบรรดาสะใภ้ยังออกจะรู้สึกอิจฉา แต่กลับมิได้พูดเป็นอื่นใด หลังจากพวกเราแต่งเข้าบ้านมา ท่านแม่ก็ปฏิบัติกับเราประหนึ่งบุตรสาวแท้ๆ เพียงแต่ก่อนพวกเราจะแต่งเข้าบ้านกลับมิเคยได้รับของใดจากท่านแม่เลย ไม่กลัวว่าท่านแม่จะถือโทษ ครานั้นสะใภ้รู้สึกอิจฉาน้องสะใภ้สามเอามากๆ! ยามนี้เห็นน้องสะใภ้สามละเอียดลออและใส่ใจต่อท่านแม่เพียงนี้ แม้แต่ตัวสะใภ้เองและน้องสะใภ้รองสองคนซึ่งเป็นสะใภ้ที่แต่งเข้าบ้านมาหลายปียังเทียบไม่ได้เลย! จึงเพิ่งรู้ว่าท่านแม่หาได้รักใคร่น้องสะใภ้สามไปเปล่าประโยชน์ น้องสะใภ้สามมีคุณธรรมเพียบพร้อมทั้งช่างใส่ใจ จนสะใภ้และน้องสะใภ้รองไม่อาจเทียบได้จริงๆ เจ้าค่ะ!”
นางตวนมู่หลบอยู่ในเรือนอู๋ฮวาหลายวัน ที่สุดก็รักษารอยแผลบนหน้าจนหายดี ยามนี้นางยิ้มน้อยๆ ด้วยสีหน้าสงบพลางกล่าวต่อนางหลิงไปว่า “สายตาของท่านแม่ เคยมองผิดยามใดกัน?”
สะใภ้ทั้งสอง คนหนึ่งว่าคนหนึ่งเสริม ซึ่งเจตนาที่แฝงอยู่ในคำพูดก็คือกำลังบอกว่าความกระตือรือร้นของเว่ยฉางอิ๋งในวันนี้ ก็ทำไปเพียงเพราะฮูหยินซูลำเอียงเข้าข้างนาง โดยเฉพาะเรื่องของปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้คู่นั้นเท่านั้นเอง
ฮูหยินซูเองก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแต่ยิ้มจางๆ พลางค่อยๆ ลิ้มรสชาโสม
เว่ยฉางอิ๋งหันหน้ามามองพี่สะใภ้ทั้งสองหนหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างใจกว้าง “สายตาของท่านแม่จะไม่ดีได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ? ด้วยเรื่องที่พี่สะใภ้ใหญ่เอ่ยถึงนี้ หากเป็นบ้านอื่น ท่านแม่เอ็นดูข้าถึงเพียงนี้ ทั้งพี่สะใภ้ก็ยังเป็นสะใภ้มาก่อนข้า อย่างไรก็ต้องเกิดความกลัว แต่พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองกลับมีจิตใจกว้างขวางไม่ถือสา นี่ล้วนเป็นเพราะท่านแม่มีสายตาหลักแหลม ที่เลือกพี่สะใภ้ที่ดีให้ข้าสองคนเจ้าค่ะ! ไม่ปิดบังท่านแม่และพี่สะใภ้ทั้งสอง คราแรกเมื่อข้าออกเรือน ท่านแม่ของข้าก็บอกกับข้าว่า หากข้าแต่งเข้าบ้านอื่น ห่างไกลออกไปนับพันลี้ บ้านเราก็อดจะเป็นกังวลเรื่องระหว่างสะใภ้ไม่ได้ แต่ด้วยความที่เป็นทั้งสะใภ้และเป็นมารดา ท่านแม่ของข้าจึงเคยบอกเอาไว้ ว่าท่านแม่เป็นผู้ที่เคร่งครัดเรื่องกฎระเบียบเป็นที่สุด ทั้งยังมีสายตาสูงส่ง บรรดาพี่สะใภ้และน้องสะใภ้ของข้าที่ข้าจะมีในวันหน้า ย่อมต้องเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม มีจิตใจงดงามและอยู่ด้วยกันได้เป็นอย่างดีแน่นอนเจ้าคะ! ยามนี้ก็มิใช่ว่าเป็นดังคำของท่านแม่ของข้าแล้วหรือเจ้าคะ?”
นางหลิวและนางตวนมู่สะอึกขึ้นมาทันใด… ‘เกิดความกลัว’?
เว่ยฉางอิ๋งใช้คำคำนี้ ควรค่าแก่การนำมาวิเคราะห์เสียเหลือเกิน นางบอกไปก่อนว่าฮูหยินซูรักใคร่เอ็นดูนาง แล้วจึงชี้ชัดไปว่านางหลิวและนางตวนมู่ล้วนอยู่ที่นี่มาก่อนนาง จากนั้นจึงบอกว่าเกิดความกลัว… นี่หมายความว่าอย่างไร? มิใช่กำลังหมายความว่า ฮูหยินซูซึ่งเป็นแม่สามีมองข้ามหัวพวกเจ้าซึ่งเป็นสะใภ้ที่แต่งเข้าบ้านมาก่อนหลายปีทั้งยังมีบุตรธิดาแล้ว แต่กลับยอมมอบสินตัวตัวซึ่งเป็นเครื่องประดับสำคัญล้ำค่าให้แต่เพียงเว่ยฉางอิ๋ง ที่ครานั้นยังมิทันได้แต่งเข้าบ้านเสียด้วยซ้ำ พวกเจ้าซึ่งเป็นสะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเป็นเพราะพวกเจ้าทำดีไม่พอ ไม่พอจนกระทั่งทำให้เวลาที่อยู่มานานกว่านั้นเปล่าประโยชน์ จนทำให้แม่สามียอมมอบเครื่องประดับนี้ให้แก่ว่าที่สะใภ้ที่ยังไม่ทันแต่งเข้าบ้านแต่กลับไม่ยอมมอบให้พวกเจ้า!
แล้วพวกเจ้าจักไม่รู้สึกกลัวหรือ???
ไม่ควรต้องกลัวหรอกหรือ?
ดังนั้นที่กล่าวในภายหลังว่า “จิตใจกว้างขวางไม่ถือสา” ดูคล้ายเป็นการเอ่ยชมนางหลิวและนางตวนมู่ แต่ความจตริงแล้วกลับเป็นคำพูดประชด!
ในยามนี้ คำพูดนี้ไม่เพียงกำลังเป็นการเยาะหยันคนทั้งสองว่า พวกเจ้ายังมีหน้ามาเอ่ยถึงปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีเกาะกิ่งไม้คู่นั้นอีกหรือ? หากมิใช่เป็นเพราะพวกเจ้าทำดีไม่พอ แล้วปิ่นคู่นี้จะตกมาอยู่ในมือข้าได้อย่างไร? ตนเองไม่รู้จักมานะพยายาม แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าน้อยอกน้อยใจอีกหรือ!
นางหลิวและนางตวนมู่ล้วนเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง สีหน้าของพวกนางจึงเปลี่ยนไปทันใด!
เพียงแต่ด้วยปัญญาเฉพาะหน้าของพวกนาง จู่ๆ จึงไร้คำพูดจะมาโต้แย้ง เพราะเว่ยฉางอิ๋งยกฮูหยินซูไปดักไว้ข้างหน้าแล้วว่า ปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีเกาะกิ่งไม้คู่นั้นเป็นฮูหยินซูมอบแก่เว่ยฉางอิ๋ง สำหรับผู้ที่เป็นสะใภ้แล้วพวกนางไม่อาจพูดออกมาตรงๆ ได้ว่าฮูหยินซูลำเอียง เช่นนั้นฮูหยินซูก็ต้องเป็นกลาง!
แล้วฮูหยินซูที่เป็นกลางเช่นนี้ เหตุใดจึงมิได้มอบเครื่องประดับสำคัญล้ำค่าให้แก่สะใภ้ใหญ่หรือสะใภ้รอง แต่กลับมอบให้แก่สะใภ้สามที่ครานั้นยังมิทันแต่งเข้าบ้านเลย? ดังนั้นเมื่อสรุปกันได้ดังนี้ ก็คือนางหลิวและนางตวนมู่ยังทำไม่ดีพอ ไม่ดีจนกระทั่งทำให้ฮูหยินซูผิดหวัง และทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่สะใภ้สามเท่านั้น!
ฮูหยินซูค่อยๆ ละเลียดจิบน้ำชาและหันไปสบตากับแม่นมเถาหนหนึ่ง แล้วพากันยิ้มออกมาอย่างรู้กันในทีว่า สะใภ้ทั้งสามคนไม่มีสักคนที่ธรรมดาเลยจริงๆ ลือกันว่าสะใภ้สามผู้นี้เป็นคุณหนูใหญ่จอมเจ้าเล่ห์เอาแต่ใจที่ถูกย่าเอาใจจนเสียคน ทั้งยังมีวรยุทธ์เก่งกาจนัก ก่อนหน้านี้ฮูหยินซูเป็นกังวลที่สุดว่าสะใภ้ผู้นี้จะเอาแต่หัวรั้นแต่กลับไม่มีสติปัญญาเพียงพอ ยามนี้ดูไปแล้ว นับว่านางเป็นเด็กสาวที่แม่เฒ่าซ่งอบรมเลี้ยงดูมาด้วยตนเองจริงๆ หาใช่ผู้ที่ไม่รู้จักหลักการของเรือนหลังแต่อย่างใด
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ยังนับได้ว่าเป็นการโจมตีได้อย่างเด็ดขาดเสียจริงๆ สามารถตัดรากถอนโคนเพื่อไม่ให้มีผู้ใดเอาเรื่องที่นางยังมิทันแต่งเข้าบ้านก็ได้รับปิ่นหยกคู่สีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีเกาะกิ่งไม้มาพูดมากอีกในภายภาคหน้า… วันหน้าหากมีใครยังเอ่ยถึงอีกก็เท่ากับเป็นการบอกว่านางหลิวและนางตวนมู่ไม่เพียบพร้อมเพียงพอ จนทำให้แม่สามีผิดหวัง ซึ่งก็คือจงใจยุยงให้แม่สามีและสะใภ้บ้านเสิ่นแตกคอกันนั่นเอง
ทว่าการกระทำเช่นนี้ แม้ยามนี้จะรู้สึกสาแก่ใจ แต่ก็เป็นการสร้างความแค้นแก่พี่สะใภ้ทั้งสองคนแล้ว
ฮูหยินซูจึงคิดว่าสะใภ้ใหม่ยังมีความวู่วามอย่างเด็กน้อย ไม่รู้จักค่อยๆ คิดวางแผน ในขณะที่กำลังคิดจะเอ่ยปากช่วยนางรอมชอมสถานการณ์อยู่นั้นเอง นางตวนมู่ก็เอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับที่หางตาแล้วสะอื้นไห้ว่า “น้องสะใภ้สามพูดถูกไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว! ท่านแม่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมมีจิตใจดีงาม โดยทั่วไปแล้ว ต่อให้พวกเราทำสิ่งใดให้ท่านแม่ผิดหวัง ท่านแม่ก็คอยอดทนไม่พูดออกมา ด้วยเกรงว่าจะทำให้พวกเราเสียหน้า! ปรากฏว่าพวกเรากลับถูกท่านแม่รักใคร่เสียจนเคยตัว ประหนึ่งมุกในฝ่ามือก็ไม่ปาน จึงทะนงตนขึ้นมาทีละน้อย! เดิมทีครั้งท่านแม่ส่งปิ่นหยกคู่สีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีเกาะกิ่งไม้ไปเฟิ่งโจว พวกเราก็ควรรู้ตัวได้แล้ว ไม่คิดว่ายังต้องให้น้องสะใภ้สามมาชี้ให้เห็นในวันนี้ ถึงได้เข้าใจความลำบากใจของท่านแม่!”
นางหลิวก็ขอขมาตามไปว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านแม่ใจกว้างเกินไป จึงทำให้ผู้เป็นสะใภ้เช่นพวกเราอดเพิกเฉยในบางเรื่องมิได้ ยามนี้คิดขึ้นมา ความทุ่มเทของท่านแม่ล้วนทำเพื่อบรรดาสะใภ้ แต่สะใภ้เช่นเรากลับโง่เง่าจนไม่รู้สึกเลย! เคราะห์ดีที่น้องสะใภ้สามหลักแหลม พอแต่งเข้ามาก็มองเห็นว่าพวกเราสะใภ้ยังมีเรื่องขาดตกบกพร่อง หาไม่แล้วสะใภ้เช่นเราก็ยังไม่รู้ว่าจะทำให้ท่านแม่เสียใจไปอีกนานเท่าใด!”
สะใภ้ทั้งสองคนไม่พูดพร่ำทำเพลงก็คุกเข่าลงขอขมา พากันพร่ำพรรณนาออกมาว่าก่อนนี้เคยทำเรื่องขาดตกพร่อง จนทำให้ฮูหยินซูเสียใจผิดหวัง จึงได้นำปิ่นหยกคู่สีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีเกาะกิ่งไม้ไปมอบให้แก่ว่าที่สะใภ้เพื่อเป็นการเตือน แต่กลับยังโฉดเขลาไม่รู้ จนเพิ่งจะมาตระหนักเอาก็วันนี้…
ฮูหยินซูปลอบโยนพวกนางด้วยเสียงอ่อนโยน และอดจะบอกเว่ยฉางอิ๋งด้วยสายตาไม่ได้ว่า ‘เรื่องที่เจ้าเป็นคนก่อ ยามนี้ดูซิว่าเจ้าจะเก็บกวาดอย่างไร?’
ในขณะที่พี่สะใภ้ทั้งสองกำลังขอขมาเว่ยฉางอิ๋งเองก็คุกเข่าตามลงมาด้วย เมื่อได้รับสายตาจากฮูหยินซู จึงกล่าวด้วยเสียงที่บางเบาว่า “แท้ที่จริงแล้วเป็นน้องสะใภ้ทำไม่ถูก ไม่รู้จักพูดจา จึงทำให้พี่สะใภ้ทั้งสองเข้าใจผิดเสียแล้ว!” จึงหันหน้าไปหาฮูหยินซูแล้วกล่าวว่า “เห็นทีว่าท่านแม่คงให้สะใภ้เป็นคนตัดสินใจ สะใภ้จะกล้าบอกว่าพี่สะใภ้ทั้งสองไม่ถูกได้อย่างไรเจ้าคะ? เมื่อครู่นี้สะใภ้ก็พูดไปชัดเจนแล้วว่าสายตาของท่านแม่จะผิดไปได้อย่างไร? เหล่าสะใภ้ล้วนเป็นคนที่ท่านแม่เลือกมา แล้วจักไม่ดีได้อย่างไรเจ้าคะ?”
แน่นอนว่านางหลิวและนางตวนมู่ย่อมไม่ปล่อยนางไปเพียงเท่านี้ จึงยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตา พลางว่า “น้องสะใภ้สามก็อย่าได้ให้อภัยพวกเราเลย เจ้าเองก็บอกไปแล้วว่าท่านแม่เป็นคนที่เคร่งครัดในกฎระเบียบเป็นที่สุด หากมิใช่ว่าพวกเราทำได้ไม่ดีพอ แล้วจะ…”
“พี่สะใภ้ทั้งสอง ก็มิใช่ว่าจะพูดเช่นนั้นนะเจ้าคะ!” เว่ยฉางอิ๋งกำผ้าเช็ดหน้าแน่น พลางเอ่ยขัดขึ้นมาด้วยท่าทีตื่นตระหนกร้อนรน “ท่านแม่ย่อมต้องเคร่งครัดในกฎระเบียบ แต่กฎระเบียบก็มิได้บอกว่า หากท่านแม่ให้ปิ่นแก่ข้า มิได้ให้แก่พวกพี่สะใภ้ ก็เพราะไม่ชอบใจพวกพี่สะใภ้นี่เจ้าคะ? ดังเช่นว่าซูจิ่งอายุมากว่าซูเหยียน ไม่คิดก็รู้ว่าในเวลาที่แม่นมให้นมซูเหยียนอยู่นั้น ซูจิ่งสามารถทานอาหารทานเนื้อเองได้แล้ว แต่ยามนี้ซูเหยียนยังทานเนื้อไม่ได้ หรือจะว่าในเมื่อเป็นบุตรสาวเช่นเดียวกัน พี่สะใภ้ใหญ่ให้ซูจิ่งทานอาหาร พี่สะใภ้รองกลับไม่ให้ซูเหยียนทาน ก็เพราะพี่สะใภ้รองไม่ชอบ จนถึงขั้นโหดร้ายกับซูเหยียนหรือเจ้าคะ?
นางหลิวและนางตวนมู่ได้ยินการเปรียบเทียบนี้ก็ยิ่งโกรธขึ้นมาไม่เบา หากว่ากันเรื่องอายุมากน้อย พวกนางก็ควรจะถูกเปรียบเป็นซูจิ่งกระมัง? แต่ไม่รอให้นางหลิวและนางตวนมู่เอ่ยคำ เว่ยฉางอิ๋งก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าวกับฮูหยินซูด้วยท่าทีรู้สึกผิดว่า “ต้องโทษสะใภ้ที่โง่เง่านัก อยากจะพูดคำดีๆ ให้ท่านแม่ได้คลายความอ่อนล้าสักน้อย! ไม่คิดว่ากลับพูดผิดความหมายไปเสีย จนทำให้พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองเข้าใจผิด และกลับยิ่งทำให้ท่านแม่ที่เพิ่งจะกลับมาต้องเป็นทุกข์อีก!”
นางก็พูดเช่นนี้แล้ว นางหลิวและนางตวนมู่จึงไม่อาจไม่แสดงท่าทีเอาอกเอาใจฮูหยินซูตามไปด้วย และไม่มีเวลาจะมาทวงถามกับนางให้ชัดเจนอีก…
_____________________________