ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 38
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 38 ถอยเพื่อรุก
ตอนที่ 38 ถอยเพื่อรุก
โดย
Xiaobei
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งพูดมาดังนี้ ฮูหยินซูเองรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก บอกว่า “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าเป็นคนมีจิตใจกว้างขวางมาแต่ไร ยิ่งไปว่านั้นเรื่องนี้เป็นหนิงเอ๋อร์ทำไม่ถูก แต่คนในห้องครัวก็เลอะเลือนจนเกินไป! ทั้งที่ก็รู้ดีว่าหนิงเอ๋อร์เป็นคนชอบก่อเรื่องวุ่นวายเหลวไหล แต่ยังไม่สอบถามดูให้แน่ก็ลงมือเสียแล้ว! หากไม่ได้ท่านยายของพวกเจ้าออกหน้าพูดจา ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าก็จะไม่มีวันปล่อยพวกนางไปหรอก! ก่อนนี้ข้าบอกว่ามีรอยร้าวระหว่างท่านป้าสะใภ้และท่านน้าสะใภ้ของพวกเจ้าทั้งสอง ก็เป็นเพียงช่วงก่อนที่ท่านน้าสะใภ้สามของพวกเจ้าจะไปอธิบาย แต่ท่านน้าสะใภ้สามก็ไปพูดกับท่านป้าสะใภ้ใหญ่จนกระจ่างแล้ว ท่านป้าและน้าสะใภ้ทั้งสองของพวกเจ้าล้วนเป็นคนที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม แล้วจะวางตัวกันไม่ถูกได้อย่างไร?”
…เว่ยฉางอิ๋งแต่งเข้าตระกูลเสิ่น จึงต้องทำความเข้าใจเรื่องญาติคนสำคัญๆ ที่แต่งเข้ามาในตระกูลเสิ่นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลซูยังเป็นบ้านสามีของท่านอาหญิงแท้ๆ ของนางด้วย
สายหลักของตระกูลซูนั้นคือฝูเฟิงถัง ท่านประมุขอาวุโสของตระกูลในยามนี้คือซูผิงจ่าน เป็นหนึ่งในหกเสาหลักของต้าเว่ย ดำรงตำแหน่งคังเล่อโหว และรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาฝ่ายราชองครักษ์ ภรรยาเอกก็คือแม่เฒ่าเติ้งที่ล้มป่วยในครานี้
บุตรที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ของซูผิงจ่านเป็นชายสามหญิงสอง บุตรสาวคนโตจากภรรยาเอกนามว่าซูซิ่วม่าน ซึ่งก็คือฮูหยินซู บุตรสาวคนเล็กจากอนุมีนามว่าซูสาว แต่งออกไปไกลกับลูกหลานตระกูลซ่งแห่งเจียงหนาน และมิได้กลับเมืองหลวงกว่าสิบปีแล้ว
ส่วนบุตรชายทั้งสามของตระกูลซูนั้น บุตรชายคนรองซูเม่าเป็นบุตรของอนุ แม้เขาจะมีบุตรชายและบุตรสาวแต่ก็ไม่อาจฝากความหวังใดๆ ได้ บุตรชายจากภรรยาเอก คนโตคือซูซิ่วหมิงและบุตรชายคนที่สามคือซูซิ่วเวย เดิมทีนั้นนับว่ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เพียงแต่คุณชายรองตระกูลซูนามว่าซูอวี๋เซียนซึ่งเป็นบุตรชายคนรองจากภรรยาเอกของซูซิ่วหมิงเสียไปเร็ว ภรรยาสกุลเสิ่นของเขาก็คือเสิ่นจั้งจูซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตจากภรรยาเอกของเซียงหนิงปั๋ว
คราก่อนครั้งเว่ยฉางอิ๋งไปยกน้ำชาในวันที่สอง และเข้าคารวะเซียงหนิงปั๋วที่จวนนั้น เสิ่นจั้งจูที่กลับมาอยู่ที่บ้านเดิมของตน เพราะนางเป็นแม่ม่ายเกรงว่าจะขัดกับสิริมงคลของคู่แต่งงานใหม่จึงจงใจไม่ออกมาพบ และได้นางว่านมาบอกกล่าวเป็นการส่วนตัวจึงได้รู้เรื่อง
แม้จะบอกว่าซูซิ่วหมิงยังมีบุตรชายจากภรรยาเอกหนึ่งคนซึ่งก็คือคุณชายสี่ซูอวี๋เหลียง ทว่ายังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเขามีอายุห่างจากบุตรชายคนเดียวของซูซิ่วเวยซึ่งก็คือคุณชายห้าซูอวี๋อู่เพียงแค่สองเดือน ซูอวี๋เหลียงเป็นคนที่มีจิตใจค่อนข้างโลเลไม่เด็ดขาด ทั้งตนเองก็มิได้ทะเยอทะยานในสิ่งใด เดิมทีเมื่อซูอวี๋เซี่ยนยังอยู่ แม้จะไม่ได้เอ่ยชัด แต่ก็กลับเป็นผู้ที่ยอมรับกันโดยปริยายว่าจะเป็นผู้สืบทอดฝูเฟิงถังคนต่อไป แม้ซูอวี๋เหลียงไม่ค่อยมีความสามารถ ความทะเยอทะยานก็มีน้อยเกินไป แต่พวกญาติผู้ใหญ่ก็มิได้รู้สึกผิดหวังเกินไปนัก เพราะอย่างไรก็ดีกว่าพี่ชายน้องชายที่มีความสามารถแต่ภายหลังกลับมาห้ำหั่นกันเอง
แต่เมื่อซูอวี๋เซี่ยนเสียไป จึงพากันมองว่าซูอวี๋เหลียงเห็นทีจะไม่ได้การ แม้ซูอวี๋อู่จะไม่ได้มีความสามารถโดดเด่นหลากหลาย แต่ก็มีความเด็ดขาดกว่าซูอวี๋เหลียงมาก ความสามารถในตัวของซูซิ่วหมิงและซูซิ่วเวยก็มิได้แตกต่างกันเท่าใด… ซูผิงจ่านมองการณ์ไกลเพื่ออนาคตของวงศ์ตระกูล จึงอดไม่ได้ที่จิตใจจะโน้มเอียงไปทางบ้านสาม
สำหรับบ้านใหญ่ของตระกูลซูแล้ว การไม่มีบุตรชายที่มีความสามารถก็นับเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากอยู่แล้ว ปรากฏว่าแต่ตำแหน่งประมุขของตระกูลก็จะมาถูกบ้านสามแย่งไปอีก แล้วจักให้ไม่รู้สึกคับแค้นใจได้อย่างไร?
สำหรับบ้านสามแล้ว เรื่องของบุตรชายของบ้านใหญ่ก็หาใช่พวกเขาเป็นคนทำร้ายไม่ การที่บุตรชายอีกคนของบ้านใหญ่ไม่มีปัญญาทำหน้าที่นี้ แล้วจะยังไม่ยอมให้บุตรชายของพวกเขาไร้ความสามารถไปด้วยหรือ?
ความขัดแย้งของบ้านใหญ่และบ้านสามของตระกูลซูจึงเริ่มมานับแต่นั้น และมิได้เป็นความลับใดในบรรดาญาติๆ ด้วยกัน… เรื่องภายในบ้านเช่นนี้ยากจะควบคุมและทำให้ยุติลงได้ แม้แต่ซูผิงจ่านและแม่เฒ่าเติ้งเองก็ยังจนปัญญา แล้วประสาอะไรกับคนรุ่นหลังตัวเล็กๆ คนหนึ่ง?
สำหรับฮูหยินซูแล้ว ความขัดแย้งกันของพี่น้องในตระกูลของนาง เดิมทีก็มิใช่เรื่องน่าภาคภูมิใจใดๆ อีกประการหนึ่งเรื่องของตระกูลซูนั้น แม้แต่นางเองซึ่งเป็นบุตรสาวที่แต่งออกมาแล้วยังไม่เหมาะจะไปพูดสิ่งใด แล้วจักให้สะใภ้ของตนต้องไปวุ่นวายกับเรื่องนี้ได้ที่ใด? เมื่อมีสะใภ้หลายคน เรื่องการขัดขา ชิงดีชิงเด่นระหว่างกันนับเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทว่าการมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องบ้านฝั่งตระกูลของนางต่อหน้านางเช่นนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่เกินไปแล้ว!
เมื่อเห็นว่ามีความไม่พอใจอยู่ในถ้อยคำของฮูหยินซู นางหลิวและนางตวนมู่จึงพากันรีบขอขมา นางตวนมู่รีบบอกว่า “ท่านแม่เจ้าคะ เป็นสะใภ้ไม่ดีเอง เพียงเอ่ยถึงท่านป้าสะใภ้ใหญ่และท่านน้าสะใภ้สามขึ้นมาลอยๆ ไม่กี่คำ แต่กลับทำให้น้องสะใภ้สามเข้าใจผิดไปเสียได้! สะใภ้หรือจะกล้าส่งเสริมให้น้องสะใภ้สามเข้าไปก้าวก่ายเรื่องภายในของตระกูลซู? สะใภ้ก็เพียงคิดจะเชิญน้องสะใภ้สามออกหน้าไปโน้มน้าวลูกผู้น้องห้าเท่านั้นเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินซูพูดอย่างเย็นชาว่า “หากจะไปโน้มน้าวลูกผู้น้องห้าของพวกเจ้าก็เป็นเรื่องของเขา แล้วไปเกี่ยวกับท่านป้าสะใภ้และน้าสะใภ้ทั้งสองของพวกเจ้าที่ใด!”
นางตวนมู่พลันขอขมาไปอีกหลายครั้ง อย่างไรเสียฮูหยินซูก็เห็นแก่ที่นางช่วยไปเชิญตวนมู่ซินเหมี่ยวมา และสอนสั่งไปอย่างไม่เบาไม่หนักไปไม่กี่ประโยคก็นับว่าเลิกแล้วต่อกันแล้ว หนนี้นางหลิวจึงว่า “เช่นนั้น ท่านแม่เจ้าคะ ทางลูกผู้น้องห้านั้น?”
“…ฉางอิ๋งเพิ่งจะเข้าแต่งเข้าบ้านมา เกรงว่ายังไม่รู้จักนิสัยใจคอของลูกผู้น้องห้าของพวกเจ้า อีกประเดี๋ยวข้าจะบอกกับนางสักหน่อย” ฮูหยินซูนิ่งคิดอยู่เป็นนาน แต่ก็ยังคงยอมรับความคิดนี้
เมื่อเห็นดังนี้ นางหลิวและนางตวนมู่พลันสบตากันหนหนึ่ง คล้ายมีแววตาอย่างว่าตนได้โอกาสในวิกฤต
เว่ยฉางอิ๋งอดรู้สึกสะท้านขึ้นมาในใจไม่ได้… หากไม่ต้องก้าวก่ายไปถึงผู้ใหญ่แล้ว งานพูดโน้มน้าวไกล่เกลี่ยเช่นนี้ก็ทำได้ไม่ยากเช่นนั้นหรือ? เหตุใดพี่สะใภ้ทั้งสองจึงมีท่าทีว่าได้โอกาสในวิกฤตเช่นนี้? หรือลูกผู้น้องของตนผู้นี้เป็นคนใจคอคับแคบนัก หรือว่าเขาจะเห็นนกแก้วตัวนี้เป็นของสำคัญเหลือแสนจริงๆ?
ในขณะที่นางกำลังคิดอยู่นั้น ก็เห็นฮูหยินซูสอบถามเรื่องต่างๆ ภายในบ้านสองสามประโยค แล้วให้นางหลิวและนางตวนมู่ออกไป จากนั้นจึงเรียกตนเข้ามาใกล้ๆ “จะว่าไปเจ้าก็เข้าบ้านมาแล้ว แต่ยังไม่เคยได้พบกับบุตรชายและบุตรสาวทั้งคู่ของท่านอาหญิงของเจ้าใช่หรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งรีบบอกว่า “จนวันนี้ในเมื่อสะใภ้ก็มาถึงเมืองหลวงแล้ว ทั้งบ้านที่ท่านอาหญิงแต่งเข้าก็ยังเป็นบ้านฝั่งของท่านแม่ ดังนั้นโอกาสที่จะได้พบกันในภายหลังก็คงไม่น้อยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูพยักหน้ากล่าวว่า “นั่นก็ใช่” นิ่งเงียบอยู่สักพักนางก็โบกมือให้คนข้างกายซ้ายขวาออกไป และพูดเข้าประเด็นว่า “พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองร่วมมือกันมอบหมายงานไปพูดโน้มน้าวนี้แก่เจ้าก็มิใช่ว่าไม่มีสาเหตุ นิสัยใจคอของอวี๋อู่นี้ไม่นับว่าหนักแน่นนัก แต่ก็ไม่ใช่คนใจคอคับแคบ ถ้าเพียงแค่ขอให้เขาอย่าได้ไล่เรียงเอาความกับน้องสี่ของพวกเจ้า เรื่องนี้ก็ไม่ยากเย็นเลย แต่ว่า หากเพียงเรื่องแค่นี้ พี่สะใภ้ทั้งสองคนของเจ้าก็จะไม่คิดหาหนทางผลักให้เจ้ามารับเรื่องนี้ไปหรอก”
“ต้องขอให้ท่านแม่ชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ!” แม้เว่ยฉางอิ๋งจะรู้สึกว่าเหนือความคาดหมายที่ฮูหยินซูพูดเรื่องการสู้รบปรบมือระหว่างสะใภ้ออกมาตรงๆ ทว่านางก็เข้าใจว่า ที่เป็นเช่นนี้กลับมิได้หมายถึงว่าตนจะถือโอกาสไปฟ้องหรือไปคร่ำครวญว่าถูกรังแกได้เรื่อยเปื่อย… ที่ฮูหยินซูบอกเช่นนี้ หาได้เป็นการปลอบโยนตน สิ่งที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าก็คือนี่เป็นการบอกเป็นนัยว่าการสู้รบปรบมือกันเช่นนี้ แม้ฮูหยินซูจะมองเห็นอยู่ในสายตาแต่ก็จะไม่ออกมาเป็นคนกลางตัดสินให้ทุกครั้งไป
เมื่อเห็นนางมิได้ร้องขอให้ตนจัดการเรื่องนี้ให้ ทั้งมิได้หาทางจะผลักไสเรื่องนี้ในทันใด ฮูหยินซูจึงแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา นางนิ่งเงียบไปสักพักจึงว่า “ข้าเองจะไม่ปิดบังเจ้า หนิงเอ๋อร์ก็อายุสิบสี่แล้ว ถึงเวลาที่ควรพูดเรื่องแต่งงานแล้ว”
เมื่อนางว่ามาดังนี้ เว่ยฉางอิ๋งพลันเข้าใจขึ้นมาในบัดดล ปรากฏว่าฮูหยินซูก็พูดออกมาว่า “นางมีนิสัยเกเรเจ้าเล่ห์ หากแต่ออกไปไกลข้าก็ไม่วางใจ จึงอยากให้แต่งอยู่ในเมืองหลวงด้วยกัน เช่นนั้นแล้วมิสู้แต่งกับลูกผู้พี่แท้ๆ ของนาง จักได้เป็นญาติซ้อนญาติกันไปอีก”
เว่ยฉางอิ๋งกำลังคิดว่าจะตอบกลับคำพูดนี้อย่างไร ฮูหยินซูก็พูดต่อไปอีกว่า “หนนี้ที่ขาพานางกลับไปด้วย ข้าอาศัยช่วงหลายวันที่ท่านยายของพวกเจ้าอาการค่อยๆ ดีขึ้นไปเอ่ยปากกับท่านอาหญิงของเจ้าเป็นการส่วนตัวแล้ว นางเองก็เห็นงามด้วย แล้วนางก็หยิบเอาปิ่นหยกเขียวรูปนกเป็ดน้ำอันหนึ่งมาให้เพื่อเป็นหลักประกัน ปรากฏว่าข้ายังไม่ทันเก็บปิ่นนกเป็ดน้ำดีๆ เลย… หนิงเอ๋อร์… เจ้าตัวแสบก็เอานกแก้วของอวี๋อู่ไปกินเสียแล้ว!”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยปากอย่างระมัดระวังว่า “อย่างไรเสียนกแก้วก็เป็นเพียงของเล่นเท่านั้นนะเจ้าคะ…”
“ของเล่นก็จริงอยู่ว่าเป็นของเล่น” ฮูหยินซูกุมขมับแล้วกล่าวอย่างอ่อนใจว่า “เพียงแต่อย่างไรเสียอวี๋อู่ก็เลี้ยงมาสิบกว่าปี แล้วหากเป็นคนที่รู้ความสักหน่อยก็จะไม่มีทางเสียมารยาทถึงเพียงนี้ ทั้งที่รู้ว่าเป็นของรักของหวงของลูกผู้พี่ ก็ยังกล้าลงมืออีก! เดิมทีข้าคิดว่านางอายุยังน้อย บางทีเมื่อโตขึ้นสักหน่อยก็จะรู้เรื่องเอง คิดไม่ถึงว่านางจะไม่เอาไหนถึงเพียงนี้ เป็นญาติพี่น้องกันอยู่ดีๆ แท้ๆ กลับถูกนางล่วงเกินจนเป็นเช่นนี้! ต่อให้อวี๋อู่ใจกว้างปานใด วันหน้าหากเขาจะปฏิบัติต่อนางเช่นลูกผู้น้องก็คงไม่ยากเย็น แต่หากจะมาเป็นภรรยา… คนเช่นนาง จะไปเป็นภรรยาที่ดีได้ที่ใดกัน?”
ดูไปคล้ายฮูหยินซูจะเอาแต่ด่าทอบุตรสาวว่าไม่ดี และพูดช่วยหลานชายไปทุกเรื่อง แต่ความจริงแล้วก็ยังคงเป็นเพราะนางเป็นห่วงบุตรสาว นั่นเพราะ…
แม้จะเป็นลูกผู้พี่ลูกผู้น้องกันโดยตรง แต่นกแก้วหลากสีหางยาวที่เลี้ยงมาเป็นสิบกว่าปีกลับถูกคนกินเสียแล้ว ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ย่อมไม่พอใจ ทั้งยามนี้ยังต้องมาหมั้นหมายกับลูกผู้น้องที่กินนกแก้วของตนไปอีก ดูจากปฏิกิริยาที่ซูอวี๋อู่ลงมือเฆี่ยนตีคนครัวที่ลงมือกับนกแก้ว ทั้งยังไปอาละวาดให้ญาติผู้ใหญ่ไล่คนในครัวออกจนหมดก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อคำนึงถึงเรื่องที่เป็นญาติกัน บางทีเขาจะไม่ทำสิ่งใดกับเสิ่นจั้งหนิง แต่หากหนนี้ยังจะให้เขาหมั้นหมายกับเสิ่นจั้งหนิง เขาต้องไม่ยินยอมเป็นแน่แท้
ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงเวลาก็ช่างบังเอิญเสียจริงๆ ฮูหยินซูเพิ่งจะตกลงกับเว่ยเจิ้งอินเรื่องการแต่งงานของบุตรชายและบุตรสาวไปเรียบร้อย บุตรชายและบุตรสาวของตนก็มีเกิดเรื่องบาดหมางกันเสียแล้ว หากมิใช่ว่าเสิ่นจั้งหนิงวิ่งไปกินนกแก้วของซูอวี๋อู่ ในทางกลับกันหากซูอวี๋อู่เกิดไปทำเรื่องใดกับของรักของเสิ่นจั้งหนิง ฮูหยินซูก็คงต้องสงสัยว่าเว่ยเจิ้งอินไม่อยากจะให้มีการแต่งงานหนนี้แต่ก็ไม่อยากจะปฏิเสธตนต่อหน้า จึงจงใจทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา!
แต่ด้วยเหตุที่ฮูหยินซูเป็นเอ่ยปากเรื่องแต่งงานคราวนี้เอง ทั้งฝ่ายของฮูหยินซูก็เป็นฝ่ายหญิง เว่ยเจิ้งอินจึงไม่ถึงกับสงสัยว่าฮูหยินซูต้องการประวิงเวลา เพียงแต่ว่าเพิ่งตัดสินใจให้หลานสาวมาเป็นสะใภ้ แต่หลานสาวคนนี้ก็กลับก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้… แม้เว่ยเจิ้งอินจะไม่พูดออกมาต่อหน้า แต่ในใจจะสุขสงบได้หรือ? อย่างไรเสียความคาดหวังที่มีต่อหลานสาวและลูกสะใภ้นั้นย่อมต่างกัน… ตัวฮูหยินซูเองมีทั้งบุตรสาวมีทั้งลูกสะใภ้ แล้วจะยังไม่เข้าใจถึงความรู้สึกของเว่ยเจิ้งอินในยามนี้หรือ?
แม้เสิ่นจั้งหนิงจะเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกในสายหลักของตระกูลเสิ่น ทั้งเสิ่นจั้งเฟิงพี่ชายของนางก็ถูกกำหนดให้เป็นประมุขคนต่อไปของตระกูล หากซูอวี๋อู่แต่งงานกับบุตรสาวคนเล็กของป้าแท้ๆ ของตนแล้ว ในภายภาคหน้าฐานะของเขาในตระกูลซูก็จะมั่นคงมากยิ่งขึ้น ท่านปู่ซูผิงจ่านก็จะต้องให้ความสำคัญกับเขามากยิ่งขึ้นด้วย เรื่องนี้มีประโยชน์ต่ออนาคตของเขาเป็นอย่างมาก …แต่แล้วยามนี้เสิ่นจั้งหนิงกลับทำให้ทั้งน้าสะใภ้และลูกผู้พี่มีความรู้สึกไม่ดีต่อนางไปเสียแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าในภายภาคหน้าเมื่อฐานะของซูอวี๋อู่มั่นคงดีแล้ว เขาจะไปเสาะหาคนใหม่อีกคนหรือไม่?
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องความรู้สึกไม่ดียังเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดนั้น ก็เหมือนกับสิ่งที่แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งเคยกังวลกับเว่ยฉางอิ๋งมาก่อนหน้านี้ ฮูหยินซูต้องการให้บุตรสาวคนเล็กแต่งงานกับหลานชายซูอวี๋อู่ ก็ด้วยเกรงว่าเมื่อบุตรสาวที่เป็นคนถือดีเอาแต่ใจแต่งเข้าบ้านอื่นแล้วไปถูกรังแก แต่หากไปเป็นสะใภ้ของน้าแท้ๆ ก็ยังพอจะเห็นแก่ความเป็นญาติพี่น้องอยู่บ้าง ทว่าเรื่องนี้ก็หาใช่ว่าไม่ได้คำนึงถึงอนาคตของซูอวี๋อู่เลย ด้วยนางคิดจะใช้การแต่งงานเชื่อสัมพันธ์ช่วยผลักดันหลานชายอีกทางหนึ่ง ทั้งยังให้บุตรสาวคนเล็กได้มานั่งในตำแหน่งนายหญิงของตระกูลซู และนับเป็นการสร้างกำลังเสริมให้แก่เสิ่นจั้งเฟิงบุตรชายของตนอีกด้วย?
ปัญหาก็คือ เมื่อเสิ่นจั้งหนิงเป็นเสียเช่นนี้… วันหน้านางจะสามารถรับตำแหน่งนายหญิงแห่งตระกูลซูได้หรือ?
ยามนี้ติดอยู่แต่เพียงว่าเพิ่งจะมอบปิ่นหยกเขียวรูปนกเป็ดให้ไป เว่ยเจิ้งอินจึงไม่กล้าจะขอคืนมาในทันที หากประมุขตระกูลซู ซูผิงจ่านประสงค์จะสนับสนุนซูอวี๋อู่จริงๆ ไม่น่าว่าเขาอาจจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากแทนบ้านสามของตระกูลซูเพื่อขอปิ่นเล่มนั้นคืนไป!
เดิมทีฮูหยินซูก็เป็นฝ่ายเสนอเรื่องแต่งงานนี้ออกมาก่อน หากปิ่นหยกเขียวนกเป็ดน้ำนี้ถูกตระกูลซูริบกลับไป แม้คนนอกจะไม่รู้ เมื่อมาคิดๆ ดู วันหน้าฮูหยินซูเองก็ไม่มีหน้าจะกลับไปบ้านมารดาของตนแล้ว!
ดังนั้นเวลานี้นางเองก็ไม่อาจไปสนใจเรื่องทำโทษเสิ่นจั้งหนิงแล้ว เมื่อบอกรายละเอียดทั้งหมดแก่เว่ยฉางอิ๋ง ในหน้าของนางก็ค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ที่พี่สะใภ้ทั้งสองคนของเจ้าพูดมาก็ไม่ผิด ท่านน้าสะใภ้สามของพวกเจ้า ความจริงแล้วก็เป็นท่านอาหญิงแท้ๆ ของเจ้า ทั้งนางก็ยังมีบิดาของเจ้าเป็นพี่ชายแท้ๆ เพียงผู้เดียว จึงไม่อาจไม่สนิทกับเจ้าได้ บางเรื่องนั้นจริงๆ แล้วก็มีเพียงแต่เจ้าไปทำจึงจะสะดวก…”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกชาไปทั้งหนังหัว คิดในใจว่าน้องสี่ก็ก่อเรื่องก่อราวจนขนาดนี้แล้ว ต่อให้ท่านอาหญิงรองเอ็นดูข้าเพียงใด อย่างไรเสียลูกผู้น้องต่างหากที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง แล้วนางจะไม่คำนึงถึงลูกผู้น้องก่อนหรือ? อีกประการหนึ่งเมื่อมานึกถึงพฤติกรรมต่างๆ ของเสิ่นจั้งหนิงที่ตนเคยเห็นมานับตั้งแต่แต่งเข้าบ้าน แม้แต่เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังจินตนาการไม่ได้เลยว่าน้องสามีตัวน้อยผู้นี้จะดูแลจัดการตระกูลซูออกมาเป็นเช่นไร! อย่างไรเสียก็เป็นท่านอาหญิงเพียงคนเดียว หรือว่าเพื่อจะเอาใจแม่สามีสักหน แล้วต้องทำลายชีวิตเว่ยเจิ้งอินทั้งชีวิต? เว่ยฉางอิ๋งพลันนึกด่าทอพี่สะใภ้สองคนอย่างเอาเป็นเอาตายขึ้นมาในใจ ในขณะที่กำลังขบคิดว่าจะผลักเรื่องนี้ให้พ้นตัวอย่างไร ดีที่ฮูหยินซูกลับมิได้ทำให้นางลำบากใจ และบอกว่า “เจ้าตัวแสบนั้นทำเรื่องเหลวไหลถึงขั้นนี้ เวลานี้ข้าก็ไม่มีหน้าจะไปถามความเห็นของท่านอาหญิงของเจ้าแล้ว จะว่าไปวันเกิดของอวี๋เฟยก็ใกล้จะมาถึงแล้ว พอพ้นวันเกิดนางของนางไป พวกเจ้าก็อยู่ครบเดือนพอดี ถึงยามนั้นก็ไปที่บ้านตระกูลซูสักหน จักได้ไปคารวะญาติผู้ใหญ่ และนำปิ่นหยกเขียวนกเป็ดน้ำนี้ส่งคืนไปเป็นการส่วนตัวด้วยเถิด อวี๋อู่เป็นเด็กดี เจ้าตัวแสบนี่… ดีชั่วข้าก็ไม่มีหน้าจะให้นางไปแต่งเข้าตระกูลซูแล้ว!”
พูดไป ฮูหยินซูก็หยิบปิ่นสีเขียวเข้มด้ามหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ หัวปิ่นสลักเป็นรูปนกเป็ดน้ำคล้องคอกัน เนื้อยกละเอียดอ่อนงดงาม ทั้งสะท้อนแสงมันวาว… เว่ยเจิ้งอินเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวที่สามารถมีชีวิตอยู่จนโตของแม่เฒ่าซ่ง แม้ทั้งดวงใจของแม่เฒ่าซ่งจะผูกไว้ที่ตัวบุตรชาย และค่อนข้างจะละเลยต่อบุตรสาว แต่ก็มิได้ลำเอียงเสียจนถึงขั้นทำให้เว่ยเจิ้งอินรู้สึกน้อยอกน้อยใจ ดังนั้นสินติดตัวของเว่ยเจิ้งอินย่อมไม่น้อยหน้า ปิ่นด้ามนี้แม้มิได้หายากเช่นปิ่นหยกคู่สีเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้ที่ฮูหยินซูมอบแก่เว่ยฉางอิ๋งก็ตามที แต่เมื่อพิจารณาจากเนื้อหยกแล้วก็เป็นหยกเขียวใสชั้นเลิศ เพียงพอจะเรียกขานได้ว่าสูงส่งล้ำค่า
เว่ยเจิ้งอินนำปิ่นหยกด้ามนี้มาให้เป็นหลักประกัน ก็นับเป็นการแสดงความจริงใจของนางแล้ว
เดิมทีทุกอย่างก็ดีอยู่แท้ๆ แต่เพราะตนสอนสั่งบุตรสาวไม่ดี จึงปล่อยให้เจ้าตัวแสบทำเรื่องแต่งงานที่เพียบพร้อมนี้ปั่นป่วนไปหมด!
ฮูหยินซูส่งปิ่นให้แก่สะใภ้สามด้วยท่าทีหมดอาลัยตายอยากและสีหน้าที่ขุ่นเคือง
แต่เว่ยฉางอิ๋งที่รับปิ่นหยกเขียวนกเป็ดนั้นมาเก็บอย่างระมัดระวังกลับกำลังคิดว่า นี่เป็นการถอยเพื่อรุก… และก็ไม่รู้ว่าท่านอาหญิงรองจะแสดงท่าทีตอบกลับมาเช่นไร?
_____________________________