ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 64
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 64 พวกบุตรสาวจอมก่อเรื่อง
ตอนที่ 64 พวกบุตรสาวจอมก่อเรื่อง
โดย
Xiaobei
…ไม่ว่าระว่างนั้นจะมีจุดพลิกผันกี่หน ที่สุดงานเลี้ยงวันประสูติขององค์หญิงหลินชวนก็มาถึงยามเลิกรา
ไม่รู้เช่นกันว่าสนมเอกเติ้งถูกทำให้โมโหหนัก หรือเพราะคิดจะไปทูลฟ้องฮ่องเต้ ก่อนจะสิ้นสุดงานเลี้ยงนางจึงใช้ข้ออ้างว่าจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่ห้องทรงพระอักษรสักหน่อยและออกไปก่อน ทุกคนจึงต้องลุกขึ้นมาคำนับส่งสนมเอกออกจากที่นั่งไป และจำเป็นต้องให้ทั้งเติ้งวานวานและเว่ยฉางอิ๋งไปคอยปรนนิบัติอีก พวกนางจึงกลับลงไปยังที่นั่งข้างล่างบัลลังก์ ยามลงมานั้นเว่ยฉางอิ๋งฉวยโอกาสนี้มองไปคราหนึ่ง… คุณหนูตระกูลเติ้งผู้นี้มีคิ้วโค้งดังวงพระจันทร์เหมือนความหมายชื่อวานวานของนาง ดวงตาโตสุกใส คงเพราะวัยของนาง สองแก้มจึงดูอวบอิ่ม ไม่แต่งแต้มชาดและแป้ง แต่กลับดูแดงระเรื่ออย่างเป็นธรรมชาติ ดูมีท่าทีเอียงอายเล็กน้อย
เดิมทีนั้น สนมเอกเติ้งและเติ้งจงฉีล้วนมีหน้าตาที่ไม่เลวเลย เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่ได้กังขาแม้แต่น้อยว่าเติ้งวานวานจะเป็นสาวน้อยแสนงดงาม ทว่าหลังจากที่นางมาถึงเมืองหลวง เด็กสาวที่นางได้เห็น เช่นเสิ่นจั้งหนิง ซูอวี๋เฟย ซูอวี๋อินสองสามคนนี้ แม้จะงดงามไม่ธรรมดา ทว่าแต่ละคนล้วนชอบแต่งหน้าประหลาด และแต่งตัวพะรุงพะรังส่งเดชไปหมด
ยามนี้ได้เห็นใบหน้าที่เป็นธรรมชาติของเติ้งวานงานจึงรู้สึกว่ารื่นตายิ่งนัก… พลันทำให้นางนึกถึงเว่ยฉางเอ๋อลูกผู้น้องฝั่งบิดาที่อยู่ไกลถึงเฟิ่งโจว จะว่าไปแล้วเด็กสาวทั้งสองคนหน้าตาไม่เหมือนกัน ทว่ากลับเป็นคนประเภทเดียวกัน ก็คือไม่ได้มีรูปโฉมงดงามเลิศเลอ ทั้งมิได้จับตาหรือสูงส่งเป็นที่สุด แต่ไม่ว่าจะมองอย่างก็รู้สึกสบายยิ่งนัก
เว่ยฉางอิ๋งลอบยิ้มอยู่ในใจว่า คงมิใช่เพราะหลังจากซ่งไจ้สุ่ยมาถึงเมืองหลวงแล้ว นานๆ ทีจะได้พบเห็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ดูเหมาะสมกับอายุและงดงามเป็นธรรมดาเช่นเดียวกันกับตนเอง จึงได้ชื่นชอบเติ้งวานวานเป็นพิเศษ?
เมื่อคิดถึงท่าทางยามฮูหยินซูถูกเสิ่นจั้งหนิงยั่วโมโหเสียจนต้องกระทืบเท้า เว่ยฉางอิ๋งก็ต้องออกแรงเม้มปากเอาไว้เพื่อไม่ให้หัวเราะออกมา เวลานี้นางกลับมาอยู่ข้างกายฮูหยินซูแล้ว เพราะงานเลี้ยงกำลังจะจบลง จึงมิได้เรียกให้นางกำนัลยกอาหารมาเพิ่มอีก นางตวนมู่ที่นั่งอยู่ในที่นั่งรองเรียกให้ตวนมู่อู๋เซ่อซึ่งเป็นน้องสาวร่วมตระกูลของนางมานั่งร่วมโต๊ะสนทนาด้วย นางหลิวจึงเรียกเว่ยฉางอิ๋งมานั่งกับตน
หากหัวเราะออกมาแล้วให้นางหลิวเห็นเข้าก็จะต้องหาคำมาอธิบายอีก
ทว่า แม้นางหลิวจะไม่เห็นว่ามุมปากของนางมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา แต่หลังจากเว่ยฉางอิ๋งนั่งลง นางหลิงก็กลับเอียงตัวมาหา แล้วสอบถามเสียงเบาว่า “น้องสะใภ้สามเมื่อครู่เจ้าไปหอเชียนชิวมา ใช่หรือไม่?”
นางหลิวถามเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงพลันเข้าใจว่านางต้องการจะถามถึงผู้ใด จึงกล่าวว่า “พี่สะใภ้ใหญ่จะถามถึงน้องรั่วอวี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ? เมื่อครู่ตอนเพิ่งจะเข้าไปในหอเชียนชิวยังเห็นนางอยู่ เพียงแต่ตอนนั้นฮูหยินน้อยใหญ่ของจือเปิ่นถังเรียกข้าออกไปคุยสองสามประโยค พอกลับมาก็พบว่านางไม่อยู่แล้ว เหตุใดระหว่างนี้น้องรั่วอวี้จึงยังไม่กลับเข้ามาในท้องพระโรงอีก?”
“ไม่มีนี่!” สีหน้าของนางหลิวเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวว่า “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? อย่าได้ไปหกล้มชนนั่นนี่เข้าเสียเล่า?” แล้วถามว่า “ยามนั้นนางอยู่กับผู้ใด? หรือว่าเป็นรั่วเหยีย?”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยปลอบไปว่า “ที่นี่เป็นตำหนักเว่ยยาง มีตำหนักที่บรรทมขององค์ฮองเฮาอยู่ แล้วจะเกิดเรื่องได้อย่างไรเจ้าคะ? ต่อให้หกล้มชนนั่นนี่ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ไปขอให้นางในช่วยเหลือ” แม้นางจะไม่เอ่ยถึงหลิวรั่วเหยีย แต่ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดก็ชัดเจนยิ่งแล้ว นั่นก็คือ แม้หลิวรั่วเหยียจะไม่ปรารถนาดีต่อหลิวรั่วอวี้ ทว่าในยามนี้ตระกูลหลิวยังคงวาดหวังให้บุตรสาวที่เกิดจากอดีตภรรยาผู้นี้เสกสมรสกับองค์รัชทายาทคาวโลกีย์ เพราะบุตรสาวจากภรรยาเอกของบ้านอื่นๆ ในตระกูลหลิวไม่ยอมแต่งงานกับองค์รัชทายาท จึงต้องถึงคราวของหลิวรั่วอวี้ที่ไร้มารดาปกป้องและไม่ได้รับความรักใคร่จากบิดา แต่หากหลิวรั่วเหยียก็ยังจะมาทำร้ายหลิวรั่วอวี้ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ หรือว่าเมื่อเกิดสิ่งใดขึ้นมา แล้วหลิวรั่วเหยียคิดจะให้ตัวเองไปแต่งงานกับองค์รัชทายาทเพื่อเป็นการทดแทนให้แก่ราชสำนัก?
หลิวรั่วเหยียเองก็หาใช่คนโง่ไม่ แล้วจักทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? ครานี้หากผู้ใดต้องการทำร้ายหลิวรั่วอวี้ นางจึงมีแต่เหตุผลที่จะช่วยขวางไว้ให้เท่านั้น
นางหลิวฟังความหมายของนางออก จึงถอนหายใจแล้วว่า “เด็กคนนี้ แต่ไรมาก็มิใช่คนที่ออกไปเดินเรื่อยเปื่อยไม่กลับมาที่โต๊ะเช่นนี้นี่!”
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าแม้พี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้จะมีจิตใจที่ยากแท้หยั่งถึง แต่ก็ยังคงจดจำบุญคุณของท่านอาสะใภ้ห้าของนางเอาไว้อย่างลึกซึ้ง ฟังน้ำเสียงเช่นนี้แทบจะเรียกว่านางเลี้ยงหลิวรั่วอวี้เป็นเหมือนบุตรสาวเสียอย่างนั้น นางครุ่นคิดอยู่พักใหญ่จึงกล่าวว่า “อาจเพราะวันนี้ดอกทับทิมงดงาม น้องรั่วอวี้ชมเพลินจนลืมเวลากระมังเจ้าคะ”
“…นั่นก็ใช่” นางหลิวได้ยินคำ สีหน้าพลันเศร้าสลดลง ดอกทับทิม… หลังจากงานรื่นเริงคราวนี้แล้ว ฐานะพระชายาองค์รัชทายาทของหลิวรั่วอวี้ก็เกือบจะมั่นคงแล้วเช่นกัน เพียงคิดก็รู้ว่าในตำหนักเว่ยยางที่วันนี้เต็มไปด้วยต้นดอกทับทิม มีแต่บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุข แต่ในสายตาของหลิวรั่วอวี้แล้วกลับเป็นเหมือนยันต์เร่งให้นางตายเช่นนั้น หากนางมีความสุขก็แปลกแล้ว
ว่ากันตามนิสัยของลูกผู้น้องผู้นี้ หากนางจะไปหลบร้องไห้ที่มุมใดมุมหนึ่งก็ไม่แปลก… นางหลิวทั้งเป็นทุกข์และกังวลอยู่ในใจ “ใกล้จะกลับกันแล้ว รั่วอวี้ยังไม่กลับมา หากมาไม่ทันการกล่าวอำลาในอีกสักพัก หากถูกองค์ฮองเฮาสังเกตเห็น ก็จะต้องไม่พอใจนางแน่… หรือต่อให้องค์ฮองเฮาไม่สังเกตเห็น ยามนี้รั่วเหยียและนางจางก็ล้วนอยู่ในท้องพระโรง แล้วแม่ลูกคู่นี้จะไม่ไปกล่าวเตือนฮองเฮาหรือ?”
ในขณะที่นางกำลังกังวลใจอยู่ เว่ยฉางอิ๋งก็พลันตบที่หลังมือนางเบาๆ เป็นการบอกให้นางมองไปที่มุมข้างๆ
เมื่อนางหลิวหันหน้าไปมองก็พลันยินดีขึ้นมา… เป็นหลิวรั่วอวี้นั่นเอง นางพาสาวใช้มาเพียงคนเดียว ในมือของสาวใช้ถือดอกทับทิมสองสามดอก หลิวรั่วอวี้เองก็เอานิ้วคีบอยู่หนึ่งดอก นายบ่าวทั้งสองค่อยๆ เยื้อระยาดเดินกลับไปที่โต๊ะ หลิวรั่วอวี้เองก็มองมาหานางหลิวทางนี้เช่นกัน พลางเอาดอกทับทิมไปปักใส่มวยผมของหลิวรั่วเหยีย คล้ายว่ากำลังแย้มยิ้มและเอ่ยปากสิ่งกับนาง
ท่ามกลางสายตาของผู้คน หลิวรั่วเหยียย่อมมีท่าทีเป็นมิตรและรักใคร่กับพี่สาวเป็นพิเศษ นางเอื้อมมือไปลูบดอกไม้ แล้วเงยหน้าขึ้นมาสนทนากับหลิวรั่วอวี้…มองเห็นพวกนางสองพี่น้องรักใคร่ปรองดอกกันดังนั้น นางหลิวถึงกับนิ่งอึ้งไปเป็นนาน แล้วจึงพูดกับตัวเองว่า “เด็กคนนี้…” ยังไม่ทันพูดจบ เกรงว่าแม้แต่ตัวนางหลิวเองก็ยังไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใดดี?
เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกเกินคาดเล็กน้อย ‘ดูไปแล้วหลิวรั่วอวี้จะเปลี่ยนไปไม่น้อย… ทว่าก็ไม่น่าแปลก ไม่ว่าเป็นผู้ใดเมื่อถูกบีบจนอับจนหนทาง อย่างไรก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง’
ดีชั่วพี่น้องคู่นี้จะต่อสู้กันอย่างไรก็ตามแต่ หากหลิวรั่วอวี้เอาชนะหลิวรั่วเหยียได้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี หากสู้ไม่ได้ เว่ยฉางก็มิได้เป็นกังวลหากต้องลงมือเอง… นางหันสายตากลับมา เอียงหน้าไปถามนางหลิวว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ พวกของน้องสี่ก็ไม่เห็นว่าอยู่ในท้องพระโรงเช่นกันนะเจ้าคะ?”
นางหลิวมีท่าทีตื่นตกใจนัก เมื่อได้ยินคำนี้ก็กล่าวไปทันใดว่า “น้องสะใภ้สามเจ้าไม่รู้ เมื่อครู่นี้น้องสี่ให้คนมาบอกว่านางจะไปเล่นซ่อนหากับองค์หญิงชิงซิน!”
แล้วเอ่ยอย่างมีนัยยะว่า “หากมิใช่ว่าน้องสี่มาบอกก่อน ข้าหรือจะไม่ถามถึงน้องสี่ก่อน? แต่ว่าน้องสะใภ้สามเจ้าเอ่ยมายามนี้ก็ถูกเวลาพอดี ยามนี้น้องสี่ยังไม่กลับมา ก็ควรจะให้คนไปเตือนนางสักหน่อย เพื่อมินางหลงลืมเวลา”
เว่ยฉางอิ๋งอึ้งอยู่สักพักถึงได้เข้าใจขึ้นมา จึงอดจะหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิงไม่ได้ ความจริงแล้วนางก็เพียงเหลียวซ้ายแลขวาแล้วไม่เห็นเสิ่นจั้งหนิง จึงเอ่ยปากถามไปลอยๆ เท่านั้นเอง ดูท่าว่าคงจะถูกนางหลิวทึกทักเอาว่านางต้องการจะถามให้ฮูหยินซูที่อยู่ในที่นั่งหลักได้ยิน ด้วยต้องการชี้ให้เห็นชัดเจนว่านางหลิวให้ความสำคัญกับน้องสาวร่วมตระกูลแต่กลับไม่เป็นหวงน้องสาวของสามี นางจึงรีบพูดดักเอาไว้เสียก่อน
เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าต่อให้อธิบายไปนางหลิวก็จะไม่เชื่อ กลับยิ่งเป็นการแสดงออกชัดเจนว่าตนมีเจตนาอื่น นางจึงคร้านจะไปร่ำรี้รำไร กล่าวว่า “กลับไม่รู้ว่าพวกของน้องสี่ไปเล่นกันที่ใด? หากทางที่ไปไม่ได้ซับซ้อนนัก ก็ให้ฉินเกอวิ่งไปสักรอบ ดีชั่วนางก็วิ่งเร็วนัก”
ฉินเกอเป็นคนที่ฝึกวรยุทธ ฝีเท้าย่อมคล่องแคล่วกว่าคนทั่วไป
นางหลิวกลับมิได้แย่งงานนี้ แต่กลับเอียงหน้าไปทางที่นั่งหลักเพื่อไปเอ่ยถามฮูหยินซู ผ่านไปสักพักจึงหันมาถ่ายทอดคำพูดของฮูหยินซู “อยู่ที่ฝั่งตะวันตกข้างนอกตำหนัก เป็นคุณหนูกลุ่มใหญ่ คาดว่าคงจะหาได้ง่ายดายนัก”
ในเมื่อสามารถหาได้โดยง่าย ฉินเกอที่เพิ่งเข้าวังมาเป็นคราวแรกจึงไม่กลัวว่จะหาไม่พบ เว่ยฉางอิ๋งจึงให้นางไปหา… เพียงแต่ไม่คิดว่าเมื่อฉินเกอกลับมา ฮองเฮาก็กำลังเริ่มกล่าวถ้อยแถลงก่อนจบงานเลี้ยงแล้ว มองเห็นว่าข้างหลังของฉินเกอว่างเปล่าไม่มีใคร ฮูหยินซู นางหลิว นางตวนมู่ต่างงงงันกันหมด กล่าวว่า “นี่มันเรื่องใดกัน?”
ฉินเกอเอ่ยอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า “ข้าน้อยหาจนทั่วฝั่งตะวันตกเป็นวงกว้างแล้วเจ้าค่ะ ทว่านอกจากนางกำนัลสองคนที่กำลังดายหญ้าอยู่แล้ว กลับไม่เห็นคุณหนูท่านใดเลยสักคนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินเอ่ยถามอย่างตกใจว่า “แล้วเจ้าถามนางกำนัลสองคนนั่นหรือไม่ว่าเห็นพวกของจั้งหนิงหรือไม่?” ด้วยเสิ่นจั้งหนิงเป็นคนมีนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจมาแต่ไร ฮูหยินซูจึงมิได้สงสัยแม้แต่น้อยว่าฉินเกอไม่ตั้งใจหา และเชื่อไปแล้วว่าเสิ่นจั้งหนิงหลอกตน สีหน้าของนางจึงไม่ดีแล้ว…
“ข้าน้อยถามแล้วเจ้าค่ะ นางกำนัลสองคนบอกว่าก่อนหน้านี้ไม่นานคุณหนูสี่บ้านเราและคุณหนูบ้านซูสองท่าน ยังมีองค์หญิงชิงซินเล่นอยู่ที่นั่นจริงๆ เจ้าค่ะ แต่ภายหลังองค์หญิงชิงซินตรัสว่าอยากจะไปดูดอกบัวในอุทยานอวี้ฮวา จึงพาคุณหนูทั้งหลายไปด้วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูพลันมีสีหน้าหม่นขึ้นมา… แม้เว่ยฉางอิ๋งและฉินเกอไม่รู้ แต่ฮูหยินซูกลับรู้ว่า อุทยานอวี้ฮวานั้นหาได้อยู่ใกล้กับตำหนักเว่ยยางไม่ ต่อให้ยามนี้ส่งคนไปที่อุทยานอวี้ฮวาแล้วพบตัวเสิ่นจั้งหนิงทันที แต่ก็ไม่อาจพาคนกลับมาได้ทันก่อนงานเลี้ยงจะจบ… ลูกสาวคนเล็กผู้นี้หรือจะเป็นศัตรูคู่แค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน? เหตุใดทุกๆ วันหากไม่หาเรื่องหาราวให้นางสักหน่อยก็จะไม่ยอมหยุดพัก แม้แต่เข้าวังก็ยังไม่ละเว้น
ทางนี้นางโมโหโกรธาไม่เบา ส่วนฮองเฮากู้ซึ่งอยู่ข้างบนบัลลังก์นั้น ด้วยฐานะที่แตกต่างกันแม้นางจะพบว่าธิดาองค์เล็กไม่อยู่เช่นกัน และค้นหาภายในตำหนักหลายหนก็ยังหาไม่พบ นางจึงประกาศจบงานเลี้ยงไปเสียเลย เพื่อจะได้ออกไปหาบุตรสาวอีกครั้ง
เมื่อฮูหยินซูเห็นฮองเฮาและองค์หญิงหลินชวนล้วนไม่มีท่าทีจะไล่เรียงถามหาคนที่หายไปจากงานเลี้ยง นางจึงแอบปาดเหงื่อ พึมพำเสียงต่ำกับบรรดาสะใภ้ว่า “รีบไปบอกกับนางกำนัลที่หน้าประตูว่าให้ไปเรียกเจ้าตัวแสบนั้นกลับมาให้ข้า!”
ความจริงแล้วตอนนี้ภายในท้องพระโรงก็ไม่ได้มีฮูหยินซูที่กำลังร้อนใจอยู่ผู้เดียว ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ยังมิใช่คนที่ร้อนใจที่สุด เพราะว่ากันตามจริงแล้วฮูหยินซูก็รู้ว่าบุตรสาวของนางอยู่ที่ใดแล้ว น่าสงสารก็แต่นางจางฮูหยินรองตระกูลซูที่แทบจะทึ้งผ้าเช็ดหน้าในมือจนขาด ขณะที่กำลังสั่งความกับบ่าวข้างกายด้วยเสียงสั่นว่า “รีบไปถามดู เจ้าเด็กสองคนนั้นไปที่ใดกันแน่?!”
คนเป็นแม่ทั้งร้อนใจทั้งโมโหอยู่ทางนี้ สอบถามไปจนทั่วแล้วก็ยังจนปัญญาจะไปบอกให้บุตรสาวกลับมา ดีที่ทางองค์หญิงชิงซินกลับรู้จักคอยดูเวลา หลังจากบรรดาสตรีชั้นสูงต่างค่อยๆ ทยอยกันออกไปจากงานเลี้ยงสักพักหนึ่ง องค์หญิงชิงซินก็เสด็จกลับมาด้วยท่าทีได้อกได้ใจพร้อมกับมีคนจำนวนหนึ่งห้อมล้อมตัวนางอยู่… ทุกคนจึงได้มาพบกันที่หน้าตำหนักเว่ยยางพอดี
พอฮูหยินซูเห็นเสิ่นจั้งหนิงก็บันดาลโทสะขึ้นมายกใหญ่! หากไม่ได้นางหลิวและนางตวนมู่คอยดึงนางไว้คนละข้าง นางก็คงจะม้วนแขนเสื้อขึ้นไปจัดการบุตรสาวแล้ว นางหลิวและนางตวนมู่เอ่ยเตือนหนแล้วหนเล่าว่า “ท่านแม่โปรดระงับอารมณ์ ที่นี่เป็นตำหนักเว่ยยางนะเจ้าคะ! อีกประการวันนี้ก็ยังเป็นวันดีขององค์หญิงหลินชวนด้วย น้องสี่พลั้งเผลอผ่อนคลายเกินไปบ้างแต่ก็มิได้ทำให้งานพิธีเสียหาย… และวันนี้ก็มิได้มีเพียงน้องสี่ของเราที่ไปอยู่เล่นเป็นเพื่อนกับองค์หญิงชิงซินจนถึงยามนี้นี่เจ้าคะ?”
เมื่อเสิ่นจั้งหนิงเดินเข้ามาถึงใกล้ๆ และเห็นบรรดาพี่สะใภ้กำลังดึงมารดาตนเอาไว้ไม่กล้าปล่อยมือก็รู้ว่ามารดากำลังโมโหจริงจัง แม้จะไม่จัดการตนที่นี่ เมื่อกลับบ้านไปก็จะต้องไม่ได้รับผลกรรมดีเป็นแน่แท้… อย่างไรนางก็เป็นคนที่มักก่อเรื่องเดือดร้อนอยู่เป็นประจำ จึงชำชองในการหลบเลี่ยงภัยพิบัติผ่อนหนักเป็นเบายิ่งนัก พอนางกรอกตาก็เข้าไปคำนับต่อหน้าฮูหยินซูหนหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านแม่ มีเรื่องหนึ่งคล้ายไม่ใคร่ดีนักเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูทำหน้าเย็นชา กดเสียงต่ำบอกว่า “เจ้าวางใจเถิด พอกลับไปถึงจวนแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะยกท่านพ่อ ท่านยายเจ้ามาอ้างหน้าก็สุดแท้แต่ หรือพี่ชายพี่สะใภ้เจ้าทุกคนมาขวางอยู่หน้าเจ้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้!”
เสิ่นจั้งหนิงได้ยินดังนั้นก็พลันร้อนรนขึ้นมา ขยับเข้าไปข้างหูฮูหยินซู พึมพำไปประโยคหนึ่ง… เว่ยฉางอิ๋งกำลังเค้นหาคำมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ ก็เห็นว่าสีหน้าของฮูหยินซูพลันเปลี่ยนไปอย่างมาก! แล้วรีบเข้าไปหาในกลุ่มคนรอบหนึ่ง จนได้พบกับนางจางผู้เป็นน้องสะใภ้รองในบ้านฝั่งมารดาของตน พลางก็สังเกตดูหลานสาวทั้งสองคนที่กำลังถูกนางจางตำหนิอยู่ มือของนางสั่นอยู่น้อยๆ ที่สุดก็ไม่ได้มาห่วงเรื่องตำหนิเสิ่นจั้งหนิงแล้ว จากนั้นก็สั่งความเสียงหนักไปว่า “พวกเรากลับไปก่อน ไป!”
…น้องสามีผู้นี้พูดสิ่งใดกันแน่ เหตุใดจึงได้ผลชะงัดเช่นนี้?
เว่ยฉางอิ๋งมองเสิ่นจั้งหนิงอย่างประหลาดใจหนหนึ่ง กลับเห็นเสิ่นจั้งหนิงหัวเราะแฮะๆ แล้วกระโดดโหยงเหยงเดินตามมารดาไปด้วยท่าทีไม่ทุกข์ไม่ร้อนใดๆ เช่นนั้น…
___________________________________