ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 76
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 76 กรณีร้อนหญิงเก็บบัว
ตอนที่ 76 กรณีร้อนหญิงเก็บบัว
โดย
Xiaobei
สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งเขียวคล้ำ เสิ่นจั้งเฟิงเองก็จะร้องไห้ก็ไม่ใช่หัวเราะก็ไม่เชิง เขาตบหลังมือภรรยาเป็นการปลอบโยน แล้วหันไปส่ายหน้าให้หญิงเก็บบัวผู้นั้นพลางว่า “น้ำใจของแม่นาง ข้ารับไว้ด้วยใจแล้ว เพียงแต่ยามนี้ข้ามีภรรยาที่แสนดีแล้ว ฝักบัวนี้คงรับไว้ไม่ได้” พูดพลางรับฝักบัวจากมือของเว่ยฉางอิ๋งมาแล้วโยนกลับไปในถังไม้
หญิงเก็บบัวยอมให้เขาโยนกลับมาโดยไม่ได้โกรธใดๆ แต่ยังคงหัวเราะฮิๆ บอกว่า “คุณชายรักใคร่ฮูหยินยิ่งนัก ข้าน้อยล้วนมองเห็นอยู่ในสายตา ยิ่งไปกว่านั้นฮูหยินก็มีรูปโฉมมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา ใบหน้าจันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง แต่ข้ากลับมีหน้าตาพื้นๆ ต่ำต้อยนัก ยิ่งไม่กล้าคิดฝันสิ่งใด เพียงแต่ฝักบัวนี้เดิมทีเป็นคุณชายต้องการเก็บให้ฮูหยิน แต่กลับถูกข้าน้อยแย่งไปก่อนก้าวหนึ่ง หากคุณชายและฮูหยินรู้สึกว่าไม่พอใจ ไยจึงไม่คิดว่านี้เป็นการส่งมอบของกลับคืนไปเล่า?”
นางเอ่ยเป็นเชิงล้อเล่นว่า “ฝักบัวแถบใกล้ๆ นี้ ถูกข้าน้อยเก็บไปจนแทบหมดแล้ว หากทั้งสองท่านอยากจะกินเม็ดบัว นอกจากฝักนี้แล้ว หากไม่ไปถึงฝูหรงโจว ก็ไม่มีอีกแล้วล่ะ!”
ว่าแล้วก็หยิบฝักบัวฝักนั้นมาแล้วโยนไปทางเรือลำน้อย
เสิ่นจั้งเฟิงยกมือขึ้นรับ แล้วมองไปทางเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางอิ๋งส่งเสียงหึออกมาหนหนึ่ง รับฝักบัวมาแล้วโยนกลับไปในถังไม้อีกครั้ง บอกว่า “ผู้ใดต้องการของที่เจ้าเก็บมากัน? เดิมทีข้าก็มิได้ชอบกินของนี่นัก” พลันหน้าตาหนักอึ้งและสั่งความเฉาอิงเม่ยไปเสียงดังว่า “ไปฝูหรงโจวกันเถิด อย่าได้เสียเวลาระหว่างทางเลย”
หญิงเก็บบัวผู้นั้นไม่ได้โยนกลับมาอีก หากแต่กุมแก้ม ยิ้มแฉ่งมองเรือลำน้อยถอยออกไป รอจนเรือเล็กถอยห่างออกไประยะหนึ่งแล้ว และร่างของนางก็ถูกใบบัวดอกบัวบดบังจนมิด เว่ยฉางอิ๋งจึงหันหน้ากลับมา กำลังจะพูดกับเสิ่นจั้งเฟิงเรื่องนี้ ก็ได้ยินเสียงร้องเพลงของหญิงเก็บบัวผู้นั้นดังลอดออกมาจากดอกบัวใบบัว น้ำเสียงกังวาน อ่อนหวานเสนาะหู… ปัญหาคือ นางร้องออกมาว่า “บนเขามีต้นไม้เอย ต้นไม้มีกิ่งก้านเอย ใจหมายปองชายเอย ชายมีภรรยา!”
สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งเขียวคล้ำ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “ยะ…หญิงผู้นี้ เหตุใดจึงไร้ยางอายเช่นนี้?!”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มปลอบประโลมนาง กล่าวว่า “เจ้าสนใจนางรึ ดีชั่วก็เป็นเพียงหญิงเก็บบัวผู้หนึ่ง”
เว่ยฉางอิ๋งถลึงตาใส่เขาหนหนึ่ง แค่นเสียงว่า “ชาวบ้านเขาชอบเจ้ายิ่งนัก มีหญิงผู้หนึ่งหน้าไม่อายมาแสดงไมตรีจิตต่อเจ้าต่อหน้าธารกำนัล เจ้าย่อมไม่ถือสานางเรื่องใดอยู่แล้ว!”
“ที่แท้อิ๋งเอ๋อร์หวงแหนสามีเชนนี้ สามีมิได้สนในนางแต่อย่างใด อิ๋งเอ๋อร์ก็ยังกังวลเพียงนี้” เสิ่นจั้งเฟิงได้ยินก็หัวเราะเสียงดังออกมา ลูบผมนาง แล้วเย้าหยอกว่า “สามียังนึกว่าอิ๋งเอ๋อร์ทุบตีสามี ความจริงแล้วมิได้สนใจสามีเท่าใดเสียอีก?”
เว่ยฉางอิ๋งถูกเขาพูดจาเช่นนี้ใส่ก็รู้สึกโทษว่าเขาไร้เหตุผลนัก พลันมีท่าทีอ่อนลง แล้วไปหยิกที่หน้าเขาเป็นทีต่อว่าครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ก็เพราะใบหน้านี้ล่ะ ที่คอยยั่วผึ้งยั่วผีเสื้อ ไม่รู้จักทำเรืองดีๆ!”
เสิ่นจั้งเฟิงลูบใบหน้าตน หัวเราะเสียงลั่นว่า “สามีเติบโตมาหลายปีนี้ เคยได้ยินแต่เพียงคนชมว่าสามีหน้าตาหล่อเหลา ยังมิเคยได้ยินผู้ใดบอกว่าสามียั่วผึ้งยั่วผีเสื้อเลย…อืม ที่ว่ายั่วผึ้งยั่วผีเสื้อนี่ ยามนี้อิ๋งเอ๋อร์ก็มิใช่เป็นคนที่สามีคอยยั่วยวนเป็นที่สุดหรอกหรือ? แต่กลับมิรู้ว่าอิ๋งเอ๋อร์เป็นผึ้ง หรือเป็นผีเสื้อ?”
ไม่รอให้เว่ยฉางอิ๋งตอบคำ เสิ่นจั้งเฟิงกลับหัวเราะออกมาเสียก่อน แล้วไปแตะที่หว่างคิ้วของนาง กล่าวว่า “สามีเห็นว่าเป็นผึ้งตัวน้อย พอยั่วจนโมโหก็จะต่อยคน ดุร้ายเสียยิ่ง!”
“เชอะ เจ้าน่ะสิเป็นผึ้ง คอยส่งเสียงหึงๆ อยู่ทั้งวันน่ารำคาญนัก!” เว่ยฉางอิ๋งบ่นเขาไปคำหนึ่ง ก็กลับโกรธเขาไม่ลงอีก และหัวเราะฮ่าๆ ออกมา นางลูบแก้มของตนถามยิ้มๆ ว่า “ที่นี่มีหญิงเก็บบัว กลับไม่รู้ว่ามีชายเก็บบัวบ้างหรือไม่? อีกสักพักข้าก็จะได้ฝักบัวสองอันโดยไม่ต้องจ่ายเงินเช่นกัน!”
เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะครึ่งไม่หัวเราะครึ่งกล่าวว่า “เมื่อก่อนนี้ข้าไม่เคยไปที่ฝูหรงโจวในฤดูร้อน จึงไม่รู้ชัดนัก ทว่าต่อให้มีชายเก็บบัว และกล้ามาเกี้ยวพาอิ๋งเอ๋อร์ต่อหน้าสามี แม้วันนี้สามีจะไม่ได้พกดาบมา แต่ก่อนที่เขาจะโยนฝักบัวเข้ามา เพียงกระบี่อ่อนที่พกอยู่ที่เอวก็สามารถฟันถังไม้ของเขาเป็นสิบแปดชิ้นได้แล้ว! ถึงยามนั้นก็คอยดูซิว่าจะมีผู้ใดกล้ามอบฝักบัวให้อิ๋งเอ๋อร์โดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินหรือไม่?”
“เจ้ายังกล้าพูด!” เว่ยฉางอิ๋งบันดาลโทสะขนานใหญ่ขึ้นมาทันใด และเมื่อไปจับที่เอวเขาก็ปรากฏว่าเขาซ่อนกลไกเอาไว้จริงๆ และภายในซ่อนกระบี่อ่อนด้ามหนึ่งสำรองเอาไว้ใช้ จึงยิ่งอดจะโกรธหนักไม่ได้ พลับเข้าไปดึงหูเขาอย่างแรง ร้องเสียงดังไปว่า “ในเมื่อเจ้ามีกระบี่อ่อนอยู่ในมือ เมื่อครู่นี้ยามหญิงเก็บบัวผู้นั้นมาให้ท่าเจ้า ไยไม่เอาออกมาเล่า? หลงกลิ่นหอมหลงหยกงาม[1]ใช่หรือไม่? แต่กลายเป็นว่าหากมีชายเก็บบัวมาให้ท่าข้าบ้าง เจ้าก็กลับยอมไม่ได้เสียแล้ว? เจ้านี่มัน…เจ้านี่มันพวกคนเจ้าชู้!”
แล้วเอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “เมื่อครู่นี้ข้าเอาแต่ลังเลทำสิ่งใด? เมื่อครู่นี้ข้าก็ไม่ควรสงสารว่านางยังเด็ก จึงได้ปล่อยหญิงเก็บบัวผู้นั้นไป แต่ควรจะซัดนางสักตั้งหนึ่งจึงจะดี!”
เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะพลางเข้าไปกอดนาง แล้วร้องขอความเมตตาว่า อ
“หญิงเก็บบัวผู้นั้นต้องกรำแดดอยู่ทุกวี่วัน แม้จะมีหมวกใบหลิวบังแดด แต่ผิวพรรณก็ดำดังถ่าน หน้าตาก็ยังไม่เข้าที่เข้าทางเท่าสาวใช้สองสามคนในเรือนของเราด้วยซ้ำ แล้วเจ้าจะนับว่าเป็นกลิ่นหอมใดเป็นหยกงามใดเล่า?” แล้วหยอดคำหวานไปอีกว่า “สามีมิได้ลงมือกับนาง นั่นเพราะนางรู้จักเรื่องควรไม่ควร ที่เอ่ยชมว่าอิ๋งเอ๋อร์งามจนมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง สามีชอบฟังคนชมเชยเจ้า เห็นแก่ที่นางพูดความจริงมาดังนี้ และรู้ว่าตนเองห่างไกลกับอิ๋งเอ๋อร์ราวฟ้ากับดิน จึงได้ปล่อยนางไป”
เว่ยฉางอิ๋งพูดด้วยใบหน้าบึ้งดึงว่า “ข้าไม่เชื่อหรอก! หญิงเก็บบัวผู้นั้นผิวพรรณค่อนข้างคล้ำก็จริง แต่ผู้ใดจักรู้ว่าเจ้าจะรู้สึกว่านางแปลกใหม่ดีหรือไม่?”
“แปลกใหม่?” เสิ่นจั้งเฟิงไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดีพลางยื่นนิ้วไปไล้ข้างแก้มนาง กล่าวอย่างขำขันว่า “ดำจนขึ้นเงาเช่นนั้นมีสิ่งใดแปลกใหม่กัน? หากจะดูของแปลกใหม่ไม่สู้ข้าไปดูทาสคุนหลุน[2]ที่ตลาดเสียยังดีกว่า!”
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังเอะอะกันอยู่นั้น เรือลำน้อยก็ออกห่างจากสถานที่เมื่อครู่นี้มาระยะหนึ่งแล้ว เพราะใบบัวดอกบัวขึ้นแน่นขนัดเกินไปจึงไปได้ไม่เร็วนัก ขณะที่ทั้งสองคนทะเลาะเอะอะกันก็แบ่งสมาธิมาคอยสังเกตดูภาพรอบๆ ตัว ปรากฏว่าระหว่างทางมองเห็นแต่ก้านที่หักแล้วจำนวนมาก แต่กลับไม่เห็นร่องรอยของฝักบัวเลย คิดๆ ไปแล้วเรื่องที่หญิงเก็บบัวผู้นั้นบอกว่าฝักบัวแถบนี้ถูกนางเก็บไปก่อนแล้วคงจะเป็นเรื่องจริง
ที่สุดเสิ่นจั้งเฟิงก็ปลอบเว่ยฉางอิ๋งให้สงบลงได้ ทั้งสองคนรินน้ำเฉินเซียงมาดื่มด้วยกัน เว่ยฉางอิ๋งเหลือบตามองออกไปแวบหนึ่ง เห็นใบบัวข้างนอกที่กำลังแห่แหนกันเคลื่อนผ่านไปนั้นยังสูงกว่าหลังคาเรือเสียอีก จึงเอ่ยถามไปว่า “ฝูหรงโจวยังต้องไปอีกไกลเท่าใด?”
“ในฤดูเช่นนี้เข้าเองก็คะเนไม่ใคร่ได้” เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งคิดสักพัก จึงว่า “คาดว่ายังคงอีกสักพักกระมัง?”
แล้วว่า “หากว่าอ่อนล้าแล้ว ก็…”
คำพูดต่อไปว่า “มาซบที่อกสามีสักพัก” ยังมิทันพูดจบ ก็พลันเห็นว่าใบบัวดอกบัวรอบทิศเกิดสั่นไหวขึ้นมา แล้วมีหัวหนึ่งหัวโผล่ออกมาห่างออกไปเพียงฉื่อเดียว หัวนั้นสวมหมวกกิ่งหลิวบนตัวสวมเสื้อหรูตัวสั้น พอดีโผล่เข้ามาตรงเสื่อบังแดดข้างลำเรือผืนหนึ่งซึ่งกำลังเปิดขึ้นอยู่ พลางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พี่ใหญ่เหม่ยพูดไว้ไม่ผิดเลย ปรากฏว่าที่ฝูหรงโจววันนี้มีคุณชายรูปงามผู้หนึ่งมาเยือนจริงๆ หล่อเหลาดังเทพบุตร… พี่สาวน้องสาวเอย ออกมาดูกันเร็ว! คุณชายที่หล่อเหลาปานนี้ หาใช่ว่าจะพบเจอได้บ่อยครั้งนะ”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำนางประโยคแรกก็กำลังจะเกิดโทสะ แต่เมื่อได้ยินนางเรียกผู้คนมา ก็อดจะนิ่งอึ้งไปไมได้ แล้วมองไปท่ามกลางใบบัวดอกบัวใกล้ๆ ปรากฏว่ามีถังไม้ค่อยๆ ลอยออกทีละอัน ภายในมีฝักบัวมากบ้างน้อยบ้างบรรจุอยู่ ด้านหลังของถังล้วนมีเด็กสาวที่อายุมากที่สุดเพียงสิบหกปีนั่งอยู่คนหนึ่ง คนที่อายุน้อยกว่านั้นด็ไปแล้วก็เพียงแปดเก้าขวบเท่านั้น ทุกคนล้วนจับจ้องมาในเรือด้วยสายตาที่ทั้งอยากรู้อย่างเห็นและได้อกได้ใจ…
“เป็นคุณชายรูปงามจริงๆ แต่เหตุใดในเรือจึงมีเพียงเครื่องดื่มไร้ผลหมากรากไม้? เห็นแก่ที่คุณชายหล่อเหลาจับตา ข้าจะกำนัลท่านเป็นฝักบัวสองสามฝัก” แล้วมีเด็กสาวคนหนึ่งหัวเราะฮิๆ เงื้อมือขึ้นโยนฝักบัวสี่ห้าฝักเข้ามา เสิ่นจั้งเฟิงเอี้ยวตัวซ้ายขวาไปรับ ฝักสุดท้ายใช้สองมือประกบกันจึงรับเอาไว้ได้ แล้วขมวดคิ้วกล่าวว่า “แม่นางทุกท่าน ข้าน้อยพาภรรยามาท่องทะเลสาบ ไม่อยากถูกรบกวน”
“ยังเป็นสามีแสนดีเสียด้วย!” บรรดาหญิงสาวส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจ “ทั้งหล่อเหล่าทั้งรักหนักแน่น นี่เป็นคุณชายและฮูหยินบ้านใดกัน? ฮูหยินผู้นี้ก็ช่างโชคดีเสียจริง”
เว่ยฉางอิ๋งที่ถูกเรียกขานว่ามีโชคดีพลันกำหมัดแน่น ในชั่วขณะที่นางกำลังลังเลระหว่าง “ข้ามีฐานะใด พวกหญิงเก็บบัวที่ไม่รู้จักมียางอายเหล่านี้คู่ควรให้ข้าไปถือสาได้อย่างไร” กับ “กล้าให้ท่าสามีข้าต่อหน้าข้า เอาข้าไปไว้เสียที่ใด ไม่เห็นภรรยาเช่นข้าอยู่ในสายตารึ” สุดท้ายนางเลือกที่จะตอบโต้ นางแย่งฝักบัวในมือของเสิ่นจั้งเฟิงมาในคราวเดียว พอสะบัดมือ พลันมีฝักบัวหนึ่งฝักพุ่งตรงไปที่ใบหน้าของเด็กสาวผู้นั้น!
เดิมทีเด็กสาวผู้นั้นเห็นนางเข้าไปแย่งฝักบัวด้วยความโมโหก็ยังมิได้สะทกสะท้านใดๆ แต่เมื่อเห็นว่าฝักบัวพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็วจึงตกใจจนหน้าถอดสี… ถังไม้ก็ใหญ่เพียงเท่านี้ ทั้งยังใส่ฝักบัวเอาไว้ครึ่งถัง แล้วนางจะหลบไปที่ใดได้?
เคราะห์ดีที่นางยังสาว จึงตอบสนองได้อย่างว่องไว พลันพลิกตัวกระโดดลงทะเลสาบไปโดยไม่ต้องคิด แต่กลับเห็นว่าคนเพิ่งจะลงน้ำไป ฝักบัวฝักนั้นก็เฉียดแผ่นหลังนาง แล้วพุ่งลงบนผิวน้ำตรงที่นางเอียงตัวลงในน้ำ พลันมีน้ำกระเด็นสูงขึ้นมา ซึ่งทำให้เห็นว่านางตกลงไปแรงเพียงใด!
“พี่สวี่ ท่านไม่เป็นไรเช่นหรือไม่?” บรรดาหญิงเก็บบัวที่เดิมทีคอยดูเรื่องสนุกและหัวเราะเปรมปรีดิ์กันอยู่ล้วนตื่นตกใจ และพากันรีบร้อนพายถังไม้ล้อมเข้าไปดู
พี่สวี่ผู้นี้ลอยขึ้นมาเหนือน้ำ ยังคงตื่นตระหนกยากสงบลงได้ มือไปคว้าเอาขอบถังไม้ของตน… เพราะความเร็วที่นางพลิกตัวลงทะเลสาบก่อนหน้านี้ทำให้ถังไม้เอียงไปด้วย มีฝักบัวจำนวนมาตกลงในน้ำ แต่ยามนี้นางก็ไม่มีเวลามาห่วงแล้ว รีบเอื้อมมือไปปาดน้ำออกจากหน้า แล้วตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจว่า “ฮูหยินท่านนี้ร้ายยิ่งนัก! พวกเราก็มิได้ทำสิ่งกับสามีท่านสักหน่อย ก็เพียงเย้าหยอกเล่นไม่กี่คำ ผู้ใดจะจะวิ่งรี่ไปเป็นอนุที่บ้านท่านจริงๆ เล่า? แต่ท่านก็กลับทนยอมไม่ได้เช่นนี้!”
เว่ยฉางอิ๋งมองนางด้วยสายตาเย็นชา ในมือกลับบีบฝักบัวอีกฝักจนเละและมีเม็ดบัวหลุดออกมา พลางกล่าวอย่างเย็นเฉียบว่า “ไสหัวไปเดี๋ยวนี้! หายังอยู่ต่ออีกแม้อึดใจเดียว คอยดูข้าจะตีพวกเจ้าจนฟันหลุดหมดปาก!”
พูดพลางงอนิ้วดีดเม็ดบัวให้พุ่งออกไปเหมือนลูกกระสุน เสียงดังพุ… หญิงเก็บบัวทุกคนมองตามไปพลางพากันร้องอ่ะออกมา เห็นว่าเมื่อเม็ดบัวนุ่มๆ ถูกดีดไปดังนี้ กลับเข้าไปฝังอยู่ข้างถังไม้ของพี่สวี่ผู้นั้น
การลงมือครานี้ทำให้พวกนางล้วนมีสีหน้าหวาดกลัว!
ถังไม้ยังเป็นเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งบอกว่าจะตีให้ฟันพวกนางหลุดยังนับว่าเบามากแล้ว แต่หากยั่วให้ฮูหยินวัยสาวใจโหดผู้นี้โมโหขึ้นมาจริงๆ ไม่แน่ว่าวันนี้อาจถึงขั้นต้องถึงแก่หลายชีวิตอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้!
หลังจากสีหน้าของพี่สวี่ผู้นี้เปลี่ยนไป นางพลันหันหน้าไปหาเสิ่นจั้งเฟิง แล้วเอ่ยคำอย่างน่าสงสารว่า “คุณชายท่านนี้ พวกเราก็หาได้มีเจตนาร้าย ทั้งยังกำนัลฝักบัวให้ดีๆ เหตุใดฮูหยินของท่านจึงอดทนไม่ได้เช่นนี้…”
เสิ่นจั้งเฟิงยิกมือขึ้นหยุดคำนาง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “เรื่องที่ตนไม่พึงใจ อย่ายัดเยียดให้ผู้อื่น แม่นางสองสามท่านปีนี้อายุยังน้อยมิรู้ความ วันหน้าเมื่อออกเรือน หากมีคนมาเย้าหยอกกับสามีของเจ้าต่อหน้า ก็จักรู้ว่าที่พวกเจ้าทำในวันนี้เกินเลยอย่างไรแล้ว”
“คุณชายใจแข็งยิ่งนัก” พี่สวี่ผู้นั้นสบตากับพวกพ้อง พลันกล่าวออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “เพียงแต่ แค่มองดูก็รู้ว่าคุณชายและฮูหยินร่ำรวยสูงศักดิ์ พวกข้าก็เป็นเพียงหญิงเก็บบัวเท่านั้น แต่กลับกล้าเย้าหยอกคุณชายอย่างออกหน้า คุณชายเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าพวกข้าก็หาได้ไร้ที่มาที่ไป?”
เสิ่นจั้งเฟิงกำลังจะพูด แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับหมดความอดทนเสียตั้งนานแล้ว จึงตะโกนไปว่า “ช่างหัวพวกเจ้าว่าเป็นนางบำเรอบ้านใด?!” เมื่อนางขยับนิ้ว พี่สวี่ผู้นั้นพลันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แล้วเอื้อมมือไปปิดปากไว้ พลันเห็นว่ามีเลือดค่อยๆ ไหลอาบลงมาตามข้อมือของนาง แล้วไหลลงน้ำในทะเลสาบไป น่ากลัวเหลือที่
หญิงเก็บบัวคนอื่นๆ พากันตกใจจนหน้าถอดสี! แล้วมีคนกรีดร้องขึ้นมาว่า “พวกเราล้วนเป็นคนขององค์รัชทายาท พวกเจ้าบังอาจนัก!”
“องค์รัชทายาท?” เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง เดิมทีนางคิดว่าเด็กสาวเหลานี้ไม่รู้จักเกรงกลัวทั้งยังเปิดเผยเหลือทนดังนี้ คงเป็นนางบำเรอที่ชายเสเพลสักคนเลี้ยงดูเอาให้หาความสำราญ ไม่ว่าจะเป็นบุตรหลานบ้านใด ด้วยฐานะของเว่ยฉางอิ๋งจึงไม่จำเป็นต้องอาทรร้อนใจ ไม่คิดว่าเบื้องหลังของอีกฝ่ายกลับไม่ได้เล็กน้อยเลย… หญิงเก็บบัวหน้าตาพื้นๆ ที่องค์รัชทายาทเลี้ยงดูเอาไว้ทั้งกลุ่มนี้ เข้ามาขวางและเกี้ยวหนุ่มรูปงามที่ผ่านไปมา ทั้งยังยั่วยุสตรีชั้นสูงที่เดินทางมาในเรือด้วยจนบันดาลโทสะ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
และแน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานี้หาใช่เป็นพระประสงค์ขององค์รัชทายาท และแม้ว่าฐานะของฮองเฮากู้จะมิได้มั่นคงดังขุนเขาเหมือนก่อนมา แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังมองไม่ออกว่าฮองเต้จะเปลี่ยนพระทัยได้โดยง่าย องค์รัชทายาทก็ยังคงสูงส่งเกินเปรียบ หากทำให้คนของเขาบาดเจ็บ… ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังลังเลว่าจะจัดการอย่างไรอยู่นั้น กลับเห็นเสิ่นจั้งเฟิงพลันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลประโยคหนึ่งว่า “พี่สะใภ้เฉา ตั้งสติด้วย!”
พลันมีเสียงร้องโอ๊ะของเฉาอิงเม่ยที่อยู่ท้ายเรือนดังขึ้นมาคำหนึ่ง… เสิ่นจั้งเฟิงลุกพรวดพราดขึ้นมา เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกเพียงว่าตัวเรือเอียงไปทางเขา นางร้องอุ๊ยออกมาคำหนึ่งแล้วรีบเกาะโต๊ะตัวเล็กเอาไว้ ในขณะที่กำลังวุ่นวายอยู่นั้น พลันเห็นแสงสว่างวาบหนึ่งฉายออกมาจากเอวของเสิ่นจั้งเฟิง คล้ายเป็นเพียงประกายไฟจากหินจุดไฟ แล้วแสงสว่างวาบนั้นก็กลับเข้าไปภายในฝักอีกครั้ง!
ถึงยามนั้น จึงได้ยินเสียงกรีดร้องระงมของหญิงเก็บบัวทั้งกลุ่มดังอยู่ไม่หยุด!
เว่ยฉางอิ๋งมองไปอย่างไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด… แล้วอดสะท้านในใจไม่ได้! เมื่อเห็นพวกนางบ้างก็กุมหน้า บ้างก็เอามือปิดหน้าผาก แต่ละทีล้วนมีรอยเลือดไหลออกมา!
เสิ่นจั้งเฟิงเก็บกระบี่อ่อนกลับไป แล้วกลับลงมานั่งในเรือดีๆ ด้วยท่าทีสงบนิ่ง พลางกล่าวอย่างราบเรียบว่า “กระเซ้าผู้มาท่องเที่ยว เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แอบอ้างเป็นคนขององค์รัชทายาท ทำลายชื่อเสียงตำหนักตะวันออก ถือว่ามีใจคิดขู่เข็ญแล้ว! กระบี่นี้ถือเป็นการลงโทษสถานเบา เห็นแก่ที่พวกเจ้ายังเด็ก ครานี้จึงปล่อยพวกเจ้าไปเป็นการชั่วคราว หากยังเห็นแก่ความปลอดภัยของพ่อแม่และคนในครอบครัว… พวกเจ้าก็จงระวังเอาไว้ให้ดีเถิด!”
____________________________________
[1] หลงกลิ่นหอมหลงหยกงาม เป็นสำนวน หมายถึงชายที่ทะนุถนอมและอ่อนโยนกับหญิงสาว
[2] ทานคุนหลุน หมายถึง ทาสผิวดำที่มาจากต่างแดน ซึ่งก็คือคนแอฟริกาที่ถูกจับมาเป็นทาส