ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 84 นางเฉียน
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 84 นางเฉียน
ตอนที่ 84 นางเฉียน
โดย
Xiaobei
วันรุ่งขึ้นหลังจากนำเรื่องหญิงเก็บบัวไปทูลฟ้องกับฮองเฮากู้ก็เป็นวันเกิดของซูอวี๋อู่ ฮูหยินซูไปอวยพรถึงบ้านด้วยตนเองเป็นการพิเศษ …ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ข้ออ้าง วันเกิดอายุสิบแปดปีของคนในรุ่นหลานคนหนึ่ง เดิมทีก็ไม่จำเป็นให้ท่านป้าต้องกลับมาบ้านมารดาเป็นกรณีพิเศษ สาเหตุที่แท้จริงก็เรื่องคือคำพูดที่ซูผิงจ่านเอ่ยเมื่อคราวก่อน ว่าให้ลูกหลานอยู่กันอย่างสงบสักหน่อยและห้ามไม่ให้ต่อสู้กันภายในครอบครัวอีก หลังจากฮูหยินซูฟังเว่ยฉางอิ๋งอธิบายแล้วก็ยังคงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจ และวางแผนว่าจะอาศัยโอกาสนี้กลับมาบ้านและอธิบายต่อหน้าบิดาด้วยตนเองสักหน เพื่อมิให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความขุ่นข้องหมองใจกัน
ฮูหยินซูเดินทางกลับมาบ้านมารดาด้วยตนเอง เหล่าสะใภ้ย่อมต้องมากับนางด้วย แต่ก็ไม่อาจมาด้วยได้ทุกคน ครานี้นางให้นางตวนมู่อยู่คอยดูแลบ้าน และพานางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งมาด้วยกัน… เสิ่นจั้งหนิงที่เดิมทีไม่ว่าอย่างไรก็ควรตามมาด้วยนั้น แต่เพราะเรื่องที่นางไปหลอกองค์ชายสิบเอ็ดเมื่อคราวก่อน ทำให้ฮูหยินซูรู้สึกว่าบุตรสาวก็อายุไม่น้อยแล้ว ทว่าก็ยังมีนิสัยนอกลู่นอกทางนับเป็นเรื่องที่ใช้การไม่ได้จริงๆ จึงขืนขังนางเอาไว้ในเรือนไม่อนุญาตให้ออกนอกบ้าน และตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะดัดนิสัยนางให้ได้
ส่วนพวกคุณชาย ฮูหยินซูสั่งความพวกเขาว่าหลังจากเลิกงานแล้วตนก็จะไปจวนตระกูลซู และพาสะใภ้ใหญ่และสะใภ้สามออกข้างนอก เหตุที่นางพาสะใภ้ทั้งสองไปก็ด้วยพิจารณาแล้วว่า อาหญิงแท้ๆ ของเว่ยฉางอิ๋งคือฮูหยินบ้านสามตระกูลซู และวันหน้าบ้านสามตระกูลซูก็อาจมีอำนาจยิ่งใหญ่ ฮูหยินซูพานางไปด้วยนอกจากเพราะเข้าใจและเห็นใจนางแล้วก็ยังเป็นการแสดงไมตรีต่อน้องสะใภ้เว่ยเจิ้งอินด้วย
ส่วนนางหลิวนั้น…นับแต่วันที่หลิวรั่วอวี้ได้รับพระราชโองการให้เป็นว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท หลังจากฮูหยินน้อยใหญ่ผู้นี้ฝืนตัวเองช่วยงานแต่งที่จวนเซียงหนิงปั๋วจนเรียบร้อย พอกลับมาที่เรือนซินอี๋ก็ดูกลัดกลุ้มไม่สบายใจ ภายหลังยังถูกฮูหยินซูตำหนิยกใหญ่เพราะเรื่องของเผยเหม่ยเหนียง จึงทำให้นางยิ่งดูไม่สดชื่นลงทุกวัน
อย่างไรก็เป็นสะใภ้ใหญ่ ครั้งนั้นฮูหยินซูอบรมสอนสั่งนางหลิวชนิดพาจับมือทำมาด้วยตนเอง ตลอดหลายปีมานี้นางหลิวก็ดูแลบ้านเรือนอย่างหมั่นเพียรซื่อตรง แม้หลังจากที่นางรู้ว่าอนาคตของเสิ่นจั้งลี่สามีของนางซึ่งเป็นบุตรชายคนโตจะไม่เทียบเท่าเสิ่นจั้งเฟิงผู้เป็นน้องสามี แต่ก็ไม่เคยเอาเรื่องนี้ไประบายอารมณ์ในการดูแลบ้านเรือน ทั้งยังไม่เคยเอ่ยปากว่าไม่พอใจในเรื่องนี้ต่อหน้าผู้ใดมาก่อน …เวลานี้เห็นนางเป็นกังวลกับลูกผู้น้องร่วมตระกูลจนถึงขั้นนี้ อีกทั้งฮูหยินซูก็เพิ่งจะบอกให้นางมอบอำนาจการดูแลบ้านให้แก่เว่ยฉางอิ๋งอีก ในใจจึงอดสงสารสะใภ้ผู้นี้ขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน
ดังนั้นฮูหยินซูจึงตั้งใจให้นางตวนมู่ผู้เป็นสะใภ้รองดูแลบ้านเช่นเคยไปก่อน แล้วพาสะใภ้ใหญ่มาที่บ้านซู และถือโอกาสให้นางมาพักผ่อนหย่อนใจไปด้วย
วันนี้บ้านซูก็ไมได้จัดงานใหญ่โตแต่อย่างใด ตลอดทางที่เข้ามายังเรือนหลังล้วนมองไม่ออกเลยว่าจะเป็นวันเกิดของใคร
แม่เฒ่าเติ้งเห็นบุตรสาวกลับมาบ้านก็แปลกใจเอาการ “เหตุใดเจ้าจึงได้มาด้วยตนเองเล่า?”
“หลังจากกลับไปคราก่อนก็ไม่ได้กลับมาเยี่ยมท่านแม่หลายวันแล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินซูไม่อยากพูดความจริงกับมารดา จึงเลือกพูดแต่คำที่นางชอบฟัง “ข้ารู้สึกคิดถึง และวันนี้ก็เป็นวันเกิดของอวี๋อู่ด้วย จึงถือโอกาสนี้กลับมาเยี่ยมท่านแม่สักหน่อยเจ้าค่ะ”
แม่เฒ่าเติ้งได้ยินแล้วก็รู้สึกดีใจนัก เพียงแต่ปากก็ยังบอกไปว่า “ยามนี้เจ้าก็เป็นคนดูแลบ้านเรือนแล้ว แต่กลับวิ่งกลับมาบ้านแม่เพราะวันเกิดของหลานชายคนหนึ่ง ทั้งยังพาเหล่าสะใภ้กลับมาด้วยอีก ทำเช่นนี้ไม่ดี”
ฮูหยินซูเอ่ยพลางหัวเราะว่า “ท่านแม่ก็ไม่ใช่ไม่ทราบว่าลูกไม่ต้องดูแลบ้านเรือนแล้ว ยามนี้หลานสะใภ้ก็แต่งเข้าบ้านมาแล้ว ทั้งสองจวนล้วนมีคนดูแล ต่อให้ลูกไม่กลับมา ก็ได้แต่อยู่บ้านว่างๆ ไม่มีสิ่งใดทำเจ้าค่ะ”
“นี่ก็เป็นวาสนาของเจ้า ที่สะใภ้ล้วนเรียบร้อยดีงามทั้งเก่งกาจ” แม่เฒ่าเติ้งเป็นคนใจกว้าง เว้นแต่ยามโมโหหนักเท่านั้น โดยปกติแล้วล้วนมองคนในแง่ดี แต่ไรมาจึงเห็นว่าบุตรชายและสะใภ้ของฮูหยินซูล้วนไม่เลวเลย จึงเอ่ยชมบรรดาสะใภ้บ้านเสิ่นไปคำหนึ่ง เมื่อมองเห็นนางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งจึงขาดเสียมิได้ที่จะสนทนากับพวกนางสักคำสองคำ เพียงแต่เพียงประโยคแรกที่เอ่ยกับนางหลิวก็ทำเอานางหลิวเกือบยิ้มไม่ออก “ได้ยินว่าลูกผู้น้องฝั่งบิดาของเจ้าได้รับสมรสพระราชทานเป็นพระชายาองค์รัชทายาท?”
…ในพริบตานั้นเว่ยฉางอิ๋งนึกไปถึงซ่งไจ้สุ่ย นางหลิวในเวลานี้คงไม่ได้อยู่ในสภาพการณ์ที่ดีไปกว่าเมื่อครั้งซ่งไจ้สุ่ยอยู่ที่จวนจิ้งผิงกงเท่าใดนัก นางฝืนยิ้มและเอ่ยว่า “ท่านยายกล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ”
ดีที่แม่เฒ่าเติ้งไม่ได้ไม่รู้กาลเทศะเหมือนเว่ยฉางเอ๋อ ที่รู้ทั้งรู้ว่ารู้ตำหนักตะวันออกไม่น่าวางใจ บ้านที่รักใคร่บุตรสาวอย่างจริงใจล้วนไม่ยอมส่งบุตรสาวที่ดีๆ อยู่ของตนเองเข้าไปถูกหยามเกียรติหรอก ยิ่งไปกว่านั้นสีหน้าของนางหลิวในเวลานี้ก็ไม่น่าดูเพียงนั้น แม่เฒ่าเติ้งรู้อยู่แก่ใจ จึงพูดปลอบใจไปว่า “ข้าก็เคยได้ยินว่าลูกผู้น้องของเจ้าผู้นี้มีนิสัยอ่อนโยน เจ้าก็คงกลัวว่าเมื่อนางแต่งเข้าตำหนักตะวันออกแล้วจะดูแลจัดการพวกอนุที่มีบุตรธิดาแล้วพวกนั้นไม่ไหว? เพียงแต่เวลาก็ล่วงเลยมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นฮองเฮาก็ทรงปราดเปรื่อง จักต้องไม่เอาแต่ทรงนั่งดูพวกคนมีชาติกำเนิดต่ำต้อยเหล่านั้นไม่ทำตามระเบียบประเพณีหรอก”
นางหลิวได้ยินแล้วจึงโล่งใจ ดีชั่วนี่ก็ไม่ใช่คำพูดว่ายินดีที่ตนเองใกล้จะเป็นลูกผู้พี่ของพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว อย่างไรเสียเมื่อตระกูลหลิวมีพระชายาองค์รัชทายาท ไม่ว่าจะโดยน้ำใจไมตรีหรือโดยหลักการ เมื่อได้พบนางก็ควรต้องถามสักคำหนึ่ง คำพูดนี้ของแม่เฒ่าเติ้งก็นับว่าเข้าใจความรู้สึกของนางแล้ว
นางจึงคำนับแล้วกล่าวว่า “ท่านยายกล่าวถูกต้องยิ่งเจ้าค่ะ” แล้วพูดต่อว่า “สองสามวันมานี้ข้าเป็นกังวลกับเรื่องนี้จริงๆ วันนี้ได้ยินคำท่านยาย กลับรู้สึกว่าสงบลงแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูยิ้มอ่อนๆ กล่าวว่า “เพราะข้าเห็นว่าสองสามวันมานี้เจ้าดูมีท่าทีไม่สบายใจ ต้องการให้มีคนพูดปลอบใจ ข้าคิดดูแล้วจึงคิดว่าพาเจ้ากลับมาเยี่ยมท่านยายของพวกเจ้าดีกว่า เมื่อมีเรื่องไม่สบายใจ แต่ไรมาไม่เคยมีเรื่องใดที่ท่านยายของพวกเจ้าช่วยปลอบโยนไม่ได้”
แม่เฒ่าเติ้งยิ้มพลางทำทีไม่พอใจนาง “ข้าก็อายุปูนนี้แล้ว! เจ้ายังจะมาว่าข้าอีก”
“ทุกวันนี้ท่านแม่ยังแข็งแรงดีอยู่เลย จะเรียกว่าแก่ได้อย่างไร?” ฮูหยินซูหัวเราะ “ลูกยังคงหวังให้ได้กลับมาอยู่ในอ้อมอกท่านแม่อยู่ตลอดเวลา”
แม่เฒ่าเติ้งกำลังจะเอ่ยคำ จู่ๆ นางเฉียนก็เข้ามาจากข้างนอกโดยไม่เอ่ยทักทายสักคำ นางพลางก้าวข้ามธรณีประตู พลางเอ่ยคำอย่างมีนัยยะแฝงว่า “โอ๊ะ ที่นี่คึกครื้นกันจริง”
“พี่สะใภ้ใหญ่มาแล้ว” เมื่อได้ยินคำของนางเฉียนก็รู้ว่านางไม่ใคร่พอใจนัก ฮูหยินซูยิ้มอยู่ในใจ ทว่าต่อหน้ากลับไม่ได้มีท่าทีเฉยชาแต่อย่างใด รีบพาสะใภ้ทั้งสองเข้ามาต้อนรับพร้อมกัน นางเฉียนพลันโบกมือบอกให้พวกนางไม่ต้องเกรงใจ “นี่มิใช่วันตรุษวันสารท เหตุใดน้องหญิงใหญ่จึงกลับมาเล่า? ทั้งยังพาสะใภ้ของเจ้ามาด้วย”
ฮูหยินซูกำลังจะตอบ นางเฉียนกลับตอบเสียเองว่า “โอ๊ะ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันนี้น่ะ เป็นวันเกิดของอวี๋อู่กระมัง?” พลันมีสีหน้ารังเกียจออกมา และเอ่ยกับฮูหยินซูว่า “เมื่อวันเกิดของอวี๋เหลียงคราวก่อนก็ไม่เห็นน้องหญิงใหญ่กลับมา ข้าว่าแต่ไรมาน้องหญิงใหญ่ล้วนมิใช่คนช่างลำเอียง… วันนี้กลับมาคงเพราะมีเรื่องอื่นกระมัง?”
ฮูหยินซูออกจะรู้สึกไม่พอใจ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ามารดาและพวกสะใภ้ นางจึงไม่ควรมาทะเลาะกับพี่สะใภ้ใหญ่ …อีกประการหนึ่ง เดิมทีที่นางกลับมาหนนี้ก็ต้องการจะมาพูดจากับซูผิงจ่านผู้เป็นบิดาให้ชัดเจนว่านางไม่ได้ต้องการก้าวก่ายเรื่องภายในบ้านฝั่งมารดา ยิ่งไม่ได้ถูกเสิ่นเซวียนบงการให้มายุยงส่งเสริมให้พี่ชายน้องชายต้องขัดแย้งกัน เวลานี้หากยังไมได้พบกับซูผิงจ่าน แต่กลับมาทะเลาะกับพี่สะใภ้ใหญ่เสียก่อนแล้ว ก็จะไม่มีโอกาสได้พูดให้ชัดเจน
แม้ฮูหยินซูจะเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของซูผิงจ่าน ทั้งแม่เฒ่าเติ้งมารดาของนางก็ยังอยู่ ทว่าบุตรสาวที่แต่งออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปนอกบ้าน ไม่ว่าซูผิงจ่านจะรักใคร่บุตรสาวเพียงใดก็ไม่อาจรักมากกว่าวงศ์ตระกูล ประเด็นนี้ฮูหยินซูก็รู้ดีอยู่แก่ใจ เพื่อไม่ต้องทะเลาะจนผิดใจกับบ้านฝั่งมารดา เวลานี้จึงไม่อาจไม่อดทนเข้าไว้ นางกล่าวว่า “พี่สะใภ้กล่าวไม่ผิด ที่ข้ามาครานี้ก็เพื่อมาเยี่ยมท่านพ่อและท่านแม่เป็นสำคัญ”
นางเฉียนยิ้ม กล่าวว่า “ข้าก็ว่า น้องหญิงใหญ่เป็นกลางมาแต่ไร อีกประการอวี๋เหลียงก็ยังโตว่าอวี๋อู่สองเดือน ว่ากันว่าใหญ่เล็กตามลำดับ หากน้องหญิงใหญ่จะลำเอียงก็ควรลำเอียงมาหาอวี๋เหลียงจึงจะถูก” นางเอ่ยปากออกมาชัดเจนว่าฮูหยินซูควรลำเอียงไปทางซูอวี๋เหลียง ทว่าที่เอ่ยถึงใหญ่เล็กตามลำดับ กลับเป็นการเอ่ยถึงบ้านใหญ่และบ้านสาม
ฮูหยินซูจึงกล่าวอย่างราบเรียบว่า “นี่ก็เป็นเรื่องประจวบเหมาะที่ที่บ้านเพิ่งจะเสร็จงานแต่งของจั้งฮุย และพอจะมีเวลาว่าง วันนี้จึงอยากกลับมาเยี่ยมเจ้าค่ะ ว่าไปแล้วเมื่อวันเกิดของอวี๋เหลียงปีนี้ ข้าก็กำลังเร่งเตรียมงานแต่งของเฟิงเอ๋อร์กับฉางอิ๋ง คนทั้งบ้านต่างยุ่งวุ่นวายกันทั่วไปหมด อย่าว่าแต่กลับมาอวยพรเขาด้วยตนเองเลย แม้แต่พวกสะใภ้ก็ยังหาเวลาว่างไม่ได้ จนปัญญาจริงๆ หากพี่สะใภ้ใหญ่เห็นว่าข้าละเลย ข้าก็ทำได้แต่เพียงรับโทษจากพี่สะใภ้ใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
แม่เฒ่าเติ้งเป็นคนใจดี… แต่นี่เป็นคำพูดให้ฟังดูไพเราะเท่านั้น เพราะความจริงแล้วแม่เฒ่าเติ้งเป็นคนหัวไม่ค่อยไวนัก สะใภ้และบุตรสาวขัดแข้งขัดขากันจนถึงเวลานี้ นางก็เพิ่งจะรู้สึกขึ้นมาได้ จึงรีบช่วยรอมชอมว่า “ต่างก็เป็นพวกเด็กๆ อีกทั้งทุกปีก็ล้วนมีวันเกิด แล้วก็ไม่ได้เป็นพิธีสวมหมวกที่ต้องให้อาหญิงใหญ่มาร่วมงานให้จงได้? ม่านเอ๋อร์ตั้งใจกลับบ้านมาเยี่ยมข้าและท่านพ่อของพวกเจ้า สะใภ้ใหญ่เจ้ามิใช่คนที่ไม่เคยเห็นน้องหญิงใหญ่น้องหญิงเล็กกลับมาบ้าน เหตุใดวันนี้จึงมากความนัก?”
แม้นางเฉียนจะไม่ได้เกรงกลัวแม่สามีนัก แต่ด้วยหน้าตาแล้วก็ไม่กล้าขัดคำของแม่เฒ่าเติ้ง จึงรีบยิ้มขอขมาว่า “ท่านแม่เจ้าคะ ข้าจะไม่เคยเห็นน้องหญิงใหญ่กลับมาบ้านได้อย่างไรกัน? นี่ก็มิใช่เพราะไม่ได้พบน้องหญิงใหญ่มาสักพักแล้ว เมื่อพบน้องหญิงใหญ่จึงรู้สึกดีใจ และพูดเล่นกับน้องหญิงใหญ่สักคำสองคำ? ไม่คิดว่าข้าโง่นัก นอกจากไม่ทำให้น้องหญิงใหญ่หัวเราะแล้ว ยังกลับทำให้น้องหญิงใหญ่และท่านแม่ล้วนเคืองข้าเสียแล้ว”
เมื่อเห็นนางพูดมาดังนี้ แม่เฒ่าเติ้งจึงมีสีหน้าผ่อนคลาย กล่าวว่า “เจ้าพูดเล่น ก็พูดเรื่องที่น่าสนใจหน่อย เอาอวี๋เหลียงและอวี๋อู่สองพี่น้องมาพูด พวกเขาก็อยู่ให้เห็นกันทุกวัน แล้วจะมีสิ่งใดแปลกใหม่?”
ฮูหยินซูไม่อยากโต้แย้งกับพี่สะใภ้ใหญ่ และทนเสแสร้งต่อหน้านางไม่ไหว จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “ระยะนี้น้องหญิงรองมีจดหมายมาหรือไม่เจ้าคะ?”
ดังนั้นแม่เฒ่าเติ้งจึงเริ่มเล่าเรื่องที่บุตรสาวบุตรอนุเขียนจดหมายมาฉบับหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ นางเฉียนเห็นดังนั้นพลันมีแววหงุดหงิดฉายวาบในดวงตา คิดอยากไปแต่ก็ไปไม่ได้ อยากอยู่ต่อก็ไม่มีเรื่องน่าสนใจ จึงหันไปเอ่ยยิ้มๆ กับนางหลิวว่า “ป้าสะใภ้ยังไม่ทันได้ยินดีกับเจ้าเลย …เวลานี้ลูกผู้น้องของเจ้าเป็นถึงว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทแล้วนี่!”
นางหลิวแอบกระอักเลือด รู้สึกคับแค้นในใจนักหนา แต่กลับไม่อาจไม่ตอบได้ “นี่เป็นพระเมตตาของราชสำนักเพคะ”
“เด็กคนนั้นก็เป็นคนอาภัพ อายุน้อยๆ ก็ไม่มีแม่เสียแล้ว ดีที่นางมีวาสนาไม่เลว วันนี้ได้แต่งเข้าราชสำนัก วันหน้าย่อมมีอนาคตไกลเชียว!” นางเฉียนพูดอยู่ไม่ยอมหยุด นางหลิวฟังแล้วอยากจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไปเสียจริงๆ เหตุใดป้าสะใภ้ผู้นี้จะต้องเลือกพูดแต่เรื่องที่นางไม่อยากฟังเล่า? ทว่านางก็ไม่กล้าเสียมารยาทต่อหน้าผู้ใหญ่ที่อยู่กันเต็มโถง… ดังนั้นนางหลิวจึงพยายามอดทน อีกทางหนึ่งก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่า เป็นเพราะฮูหยินซูไม่สนใจนางหรือไม่ นางเฉียนจึงตั้งใจหันมาระบายเอากับตน?
เว่ยฉางอิ๋งแอบยินดีที่ซ่งไจ้สุ่ยรอดตัวออกมาแล้ว หาไม่คนที่จะถูกนางเฉียนดึงตัวมาพูดเช่นนี้ก็ต้องเป็นตนเองแล้ว พี่น้องที่สนิทกันมากกำลังจะต้องกระโจนเข้าไปในกองไฟ ท่านป้าใหญ่ก็ยังคอยรั้งตัวเจ้าไว้พูดนั่นนี่ คิดไปแล้วก็เป็นเรื่องไม่น่าสบายใจเอาเสียเลย เพียงแต่นางเพิ่งจะดีใจไปหยกๆ นางเฉียนพูดกับนางหลิวไปสองประโยคก็กลับไม่ลืมเว่ยฉางอิ๋งด้วย แล้วหันไปหาเว่ยฉางอิ๋ง “ได้ยินว่าสองวันก่อนเฟิงเอ๋อร์พาเจ้าไปทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิมารึ?”
“ท่านป้ากล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งพูดพลางคำนับและระวังตัวขึ้นมา
นางเฉียนอืมไปคำหนึ่ง กล่าวว่า “คล้ายว่าได้เจอกับกู้หน่ายเจิงมาด้วย? คนผู้นี้ออกจะมีนิสัยประหลาด ไม่ใคร่เป็นทำให้คนชื่นชอบนัก เพียงแต่หากเป็นผู้อื่นก็แล้วไป แต่เขากลับเป็นคู่หมั้นของอวี๋ลี่เสียนี่ ปีนี้ก็จะแต่งงานกันแล้ว เจ้าคงมิได้ไปล่วงเกินเขาหรอกกระมัง? หาไม่แล้วก็จะเป็นการทำร้ายอวี๋ลี่เอา!”
…หนนี้นี้ถึงคราวเว่ยฉางอิ๋งแอบกระอักเลือดบ้าง นางกำลังคิดจะลืมเรื่องแสนน่ากลัวว่าไอ้เจ้ากู้หน่ายเจิงผู้นี้กำลังจะมาเป็นพี่เขยหรือน้องเขยของตน อีกทั้งวันหน้าก็จะต้องได้ไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งไปเสีย เหตุใดพอท่านป้าสะใภ้ผู้นี้เอ่ยปากก็พูดถูกเผง และล้วนเป็นเรื่องที่พวกคนรุ่นหลังไม่อยากฟังมากที่สุดนะ?
ดีที่นางเฉียนมาช้าไปสักหน่อย เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยคำกลบเกลื่อนไปสองประโยค ที่สุดซูอวี๋อู่ก็เลิกงานกลับมาแล้ว จึงเข้ามาคารวะแม่เฒ่าเติ้ง
________________________________