ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 86 หมั้นหมาย
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 86 หมั้นหมาย
ตอนที่ 86 หมั้นหมาย
โดย
Xiaobei
นับแต่ลาออกมาจากจวนตระกูลซูและกลับมาที่จวนราชครูในวันนี้ เว่ยฉางอิ๋งคำนึงถึงว่าวันนี้ฮูหยินซูคงจะเหนื่อย เรื่องจะขอไปเยี่ยมเยือนท่านอาหญิงใหญ่เว่ยเซิ่งเซียนค่อยพูดพรุ่งนี้เถิด แต่กลับไม่คิดว่าแม้สีหน้าของฮูหยินซูจะยังคงอ่อนล้า แต่เมื่อถูกประคองเข้าไปในเรือนหลังแล้วกลับไม่ได้สั่งให้เหล่าสะใภ้กลับไปเพื่อตนจะได้พักผ่อน แต่กลับสั่งความว่า “อี๋เอ๋อร์ อีกประเดี๋ยวเจ้าไปร่างบัญชีของหมั้นมาชุดหนึ่ง เอาเทียบกับของพวกเจ้าเมื่อก่อนนี้ หากมีของที่จำได้ไม่ชัดเจน ก็ไปเปิดหาดูในคลัง”
เมื่อจู่ๆ สะใภ้ทั้งสามได้ยินคำนี้ก็อดจะตกตะลึงไมได้ เพราะคุณชายสี่เพิ่งจะแต่งนางเผยเข้าบ้าน ยามนี้หากเอ่ยถึงของหมั้นหมายก็ต้องเป็นคุณชายห้าเสิ่นจั้งจี… ซึ่งก็คือบุตรชายคนเล็กที่ฮูหยินซูรักใคร่เป็นที่สุดแล้ว
เพียงแต่… ยังไม่เคยได้ยินเรื่องดูตัวเจ้าสาวให้เสิ่นจั้งจีเลยนี่?
ปีก่อนกลับมีอยู่ครั้งหนึ่ง ก็คือเว่ยลิ่งเยวี่ยผู้นั้น ทว่าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งแต่งเข้าบ้านมาแล้ว และรุ่ยอวี่ถังกับจือเปิ่นถังก็คบหากันเพียงฉากหน้าแต่ภายในขัดแย้ง คราก่อนในงานเลี้ยงวันประสูติขององค์หญิงหลินชวน ยังไม่ทันเข้าคารวะฮองเฮาเลย เว่ยฉางอิ๋งก็จัดการเว่ยลิ่งจือลูกผู้น้องของเว่ยลิ่งเยวี่ยไปเสียแล้ว ภายหลังจางอวิ้นชิวมารดาของเว่ยลิ่งเยวี่ยมาฟ้องกับฮูหยินซู แม้ว่าฮูหยินซูจะพูดจากลบเกลื่อนให้พอผ่านไป แต่ก็รู้แล้วว่าสะใภ้สามของตนผู้นี้ไม่ถูกกับบรรดาคุณหนูฝั่งจือเปิ่นถังเพียงใด
ยังไม่ทันได้เป็นคู่สะใภ้ เว่ยฉางอิ๋งก็แอบลงมือด้วยการบีบข้อมือของคุณหนูมีตระกูลจนเป็นรอยช้ำแถบใหญ่ทั้งยังโต้กลับไปอย่างหนัก แล้วนี่หากให้เสิ่นจั้งจีแต่เว่ยลิ่งเยวี่ยเข้าบ้าน สะใภ้สามและสะใภ้ห้าจะไม่ทะเลาะกันทุกวันไม่เลิกไม่แล้วหรอกหรือ? การแต่งงานที่ไม่เป็นไปตามความต้องการของเสิ่นเซวียนและเสิ่นโจ้วว่าให้บุตรหลานสมานสามัคคีกันย่อมไม่สามารถให้เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว
นอกจากเว่ยลิ่งเยวี่ยแล้ว แม้แต่นางหลิวก็ยังไม่รู้ว่าฮูหยินซูมองหาคุณหนูบ้านอื่นไว้ให้เสิ่นจั้งจีด้วย เมื่อมาได้ยินฮูหยินซูสั่งในยามนี้ จึงรีบถามไปว่า “ท่านแม่ดูตัวน้องสะใภ้ห้าให้พวกเราแล้วรึเจ้าคะ? เช่นนั้นเมื่อเรากลับไปก็ต้องไปแสดงความยินดีกับน้องห้าแล้ว…แต่กลับไม่ทราบว่าเป็นคุณหนูบ้านใดเจ้าคะ?”
ฮูหยินซูกล่าวว่า “ก็คือลูกผู้น้องหญิงสี่ของพวกเจ้า”
“อวี๋อิน?” เหล่าสะใภ้ตกตะลึง นางหลิวโพล่งออกไปว่า “เป็นลูกผู้น้องหญิงสี่รึเจ้าคะ? เป็นญาติซ้อนญาตินับว่าเป็นเรื่องที่ดีไปกว่านี้ไม่มีแล้ว… เพียงแต่ลูกผู้น้องหญิงใหญ่และรองล้วนหมั้นหมายไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าเพราะบ้านน้องเขยใหญ่เกิดเรื่องต้องรอจนครึ่งปีหลังจึงจะแต่งงานได้ แม้แต่งานแต่งของลูกผู้น้องหญิงรองก็ทำได้เพียงต้องเลื่อนเวลาออกไป แต่คล้ายว่าลูกผู้น้องหญิงสาม…ยังมิได้หมั้นหมายกระมังเจ้าคะ?”
คุณหนูสามตระกูลซู ซูอวี๋เฟยเป็นพี่สาวแท้ๆ ของซูอวี๋อิน ตามหลักแล้วก็ต้องจัดการเรื่องราวของคนที่โตกว่าก่อนจึงค่อยถึงคราวของคนเล็ก ฮูหยินซูบอกว่าหมั้นหมายให้ซูอวี๋อินแล้ว นี่ก็หมายความว่าตกหล่นซูอวี๋เฟยไปเสียแล้ว?
“บ้านสามีของลูกผู้น้องหญิงสามของพวกเจ้าก็หาได้แล้ว” ปรากฏว่าฮูหยินซูพยักหน้า แล้วหันมามองนางตวนมู่และเว่ยฉางอิ๋งพลางว่า “พวกเจ้าก็เคยได้ยินได้พบมาก่อนแล้ว ก็คือตวนมู่อู๋ยิวแห่งบ้านตวนมู่ สิ้นปีนี้ตวนมู่อู๋ยิวก็จะสวมหมวกแล้ว ภายในเดือนนี้บ้านตวนมู่ก็จะมาหมั้นหมาย ดังนั้นบ้านเราก็ต้องรีบเตรียมการเอาไว้ให้พร้อม เมื่อครู่นี้ข้าไปดูฤกษ์ที่บ้านท่านยายของพวกเจ้ามาแล้ว ช่วงสิบวันสุดท้ายของเดือนนี้มีวันฤกษ์ดีอยู่หลายวัน เมื่อตระกูลตวนมู่มาหมั้นหมาย บ้านเราก็จะส่งคนไปหมั้นหมายเช่นกัน รู้แล้วหรือไม่?”
ผู้สืบสกุลของตระกูลซูมีไม่มาก อีกทั้งแม่เฒ่าเติ้งก็เป็นคนใจดี ก่อนนี้จึงคอยตามใจคุณหนูสามอวี๋เฟย คุณหนูสี่อวี๋อินสองคนนี้มาอย่างไม่ได้อาทรร้อนใจ ไม่ว่าพวกนางจะไปเรียนการแต่งหน้าแปลกๆ ชอบเล่นพิเรนทร์ซุกซน แม่เฒ่าเติ้งก็เพียงกึ่งตักเตือนกึ่งล้อเล่นและปล่อยพวกนางตามใจ แต่ยามนี้กลับมาหมั้นหมายให้พวกนางอย่างรีบร้อน กระทั่งตกลงหมั้นหมายหลานสาวสองคนในคราวเดียว ไม่ต้องถามก็รู้ได้ว่าเพราะกังวลว่าทางองค์ชายสิบเอ็ดจะพบว่าถูกเสิ่นจั้งหนิงหลอกเอา แล้วกลับมาขอฮ่องเต้อภิเษกกับซูอวี๋เฟยอีก
และเพราะคำนึงถึงว่า ในเมื่อองค์ชายสิบเอ็ดสามารถไปหมายตาซูอวี๋เฟยที่ชอบแต่งหน้าแบบน้ำตาเลือดและชอบแต่งตัวพะรุงพะรังได้ ก็ไม่แน่ว่าซูอวี๋อินที่มีเค้าหน้าแทบไม่ต่างกับพี่สาวก็อาจจะไปเข้าตาองค์ชายพระองค์นี้ด้วย จึงได้หมั้นหมายหลานสาวทั้งสองไปพร้อมกันเสียเลย เช่นนี้บ้านซูก็จะสามารถวางใจได้…
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินว่าจะยกซูอวี๋เฟยให้แก่ตวนมู่อู๋ยิว นางกลับต้องนึกสักพักจึงนึกขึ้นได้ว่าตวนมู่อู๋ยิวก็คือหนึ่งในราชองครักษ์อี้ที่เดินทางไปรับครอบครัวของสนมจงที่ชิงโจวเมื่อปีก่อน นางไม่เคยพบตวนมู่อู๋ยิวมาก่อน ทว่ากลับเคยได้ยินเว่ยฉางเฟิงเอ่ยถึง ว่าตวนมู่อู๋ยิวผู้นี้รูปร่างหน้าตาอย่างสาวพรหมจรรย์ แต่กลับอารมณ์ร้อนมุทะลุโกรธง่าย ราชองครักษ์อี้และองครักษ์ตระกูลเว่ยเกิดเรื่องขัดแย้งกันในครานั้น โดยเฉพาะตวนมู่อู๋ยิวผู้นี้ เป็นคนที่มีโทสะเดือดดาลที่สุด เมื่อเขาได้พบกับเว่ยฉางเฟิงแล้วก็ถึงขั้นขอให้เว่ยฉางเฟิงลงโทษองครักษ์ตระกูลเว่ยให้หนักเพื่อให้เขาได้ระบายความแค้นในอก… ซึ่งแน่นอนว่าเว่ยฉางเฟิงหาได้สนใจเขาไม่
แม้ว่าเรื่องนี้เป็นเพราะเว่ยฉางเฟิงไม่ชอบตวนมู่อู๋ยิวผู้นี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นเวลาเล่าจึงอดจะมีอคติไม่ได้ แต่ก็ทำให้เห็นได้ว่าตวนมู่อู๋ยิวคงจะมีรูปร่างหน้าตาหมดจดอ่อนโยน แต่นิสัยกลับตรงกันข้าม นิสัยของลูกผู้น้องซูอวี๋เฟยผู้นี้ ดูจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับเสิ่นจั้งหนิง ที่แม้จะมีนิสัยเอาแต่ใจนอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่หากจะบอกว่าเป็นคนนิสัยไม่ดีก็ไม่ใช่ เพียงแต่ห่างไกลกับความอ่อนโยนเป็นกุลสตรีอยู่สักหน่อย… และไม่รู้ว่าคนสองคนที่มีนิสัยเป็นดังนี้ อีกทั้งต่างฝ่ายต่างมีคนคอยหนุนหลังที่มีฐานะเท่าเทียมกัน วันหน้าจะเข้ากันได้หรือไม่
พลันทำให้นางนึกถึงกู้หน่ายเจิงซึ่งเป็นคู่หมั้นของซูอวี๋ลี่ขึ้นมา กู้หน่ายเจิงไอ้เจ้าคนประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางบุตรหลานตระกูลใหญ่ผู้นี้ ไม่ว่าผู้ใดได้พบเจอก็ต้องได้ปวดหัวกันบ้าง ส่วนตวนมู่อู๋ยิวก็มีน้ำโหง่าย เว่ยฉางอิ๋งจึงอดจะเป็นห่วงลูกผู้พี่และลูกผู้น้องทั้งสองของตนไม่ได้ ซูอวี๋ลี่และซูอวี๋เฟยเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน วันหน้าย่อมต้องไปมาหาสู่กันอย่างขาดไม่ได้ ดังนั้นสามีของทั้งคู่ก็ต้องได้พบกัน
ทางนี้นางกำลังคิดไป ข้างฝ่ายนางหลิวซึ่งเป็นคนที่ดูแลบ้านเรือนมานานปี ทั้งยังเคยมีประสบการณ์จัดงานแต่งงานมานาน กลับไม่รอต้องจนถึงวันพรุ่ง เพียงพิจารณาสักครู่ก็สามารถรายงานสิ่งของต่างๆ ออกมามากมายด้วยวาจา กระทั่งเรื่องขนาด รูปร่าง คุณสมบัติของสิ่งของเหล่านั้นก็ล้วนเอ่ยออกมาได้อย่างชัดเจน ฮูหยินซูพึงพอใจนัก เอ่ยชมไปว่า “ไม่คิดว่าเจ้าจะตั้งอกตั้งใจเพียงนี้”
แม่สามีกับสะใภ้สองคนจึงพากันคัดเลือกสิ่งของขึ้นมาในทันใด… เพราะนางหลิวรู้ว่าฮูหยินซูรักบุตรชายคนเล็กเสิ่นจั้งจีเป็นที่สุด หนำซ้ำยามนี้เสิ่นจั้งจียังจะแต่งงานกับหลานสาวฝั่งบ้านมารดาของฮูหยินซูอีกด้วย ด้วยเหตุนี้นางจึงเลือกแต่ของดีๆ ให้ ของที่นางหลิวเสนอออกมานั้น แม้ทั้งนางตวนมู่และเว่ยฉางอิ๋งจะรู้จักครึ่งไม่รู้จังครึ่ง ทว่าเมื่อได้ยินว่าเป็นของดี ต่างก็พากันสนับสนุนให้ใส่ลงไปด้วย
ฮูหยินซูรู้สึกเปรมปรีดิ์ที่เห็นว่าเหล่าสะใภ้ล้วนไม่ได้ถือสาว่าของหมั้นของน้องสะใภ้ห้าจะเหนือกว่าสมัยของพวกนาง แต่คนที่มีชั้นเชิงอย่างฮูหยินซูย่อมไม่อาจทำเช่นนั้นได้จริงๆ ดังนั้นจึงตัดทอนสิ่งของหลายอย่างที่นางหลิวเสนอมาออก หรือไม่ก็เปลี่ยนให้ด้อยกว่านั้นหนึ่งขั้น เพื่อเป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติของการหมั้นหมายของบุตรชายบ้านใหญ่แห่งตระกูลเสิ่น
หารือกันไปเช่นนี้จนถึงเวลาจุดตะเกียง จึงพอจะกำหนดบัญชีออกมาได้ ฮูหยินซูจึงบอกว่า “ฟ้าก็มืดแล้ว เรือนของพวกเจ้าล้วนยังมีเรื่องที่ต้องทำ กลับไปดูแลกันก่อนเถิด บัญชีนี้เอาไว้ให้ข้าดูที่นี่ คืนนี้ข้าจะดูอีกครั้งหนึ่ง”
นางหลิวเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ดังนั้นท่านอาสะใภ้รองจะยกลูกผู้น้องหญิงสี่ให้กับน้องชายห้า เรื่องนี้ไม่เพียงดีต่อน้องชายห้าเท่านั้น ทั่วเมืองหลวงนี้มีผู้ใดที่เอาใจใส่สะใภ้ดังเช่นท่านแม่? แต่แรกท่านแม่ก็มอบหมายงานให้สะใภ้ไปจัดการแล้ว ปรากฏว่าที่ท้ายสุดคนที่ต้องทำงานหนักที่สุดก็ยังเป็นท่านแม่เอง นี่เรียกว่าท่านแม่ลงมือ สะใภ้ได้หน้าจริงๆ เจ้าค่ะ”
“ข้ายังกลัวว่าข้าจะไปแย่งงานพวกเจ้าทำเสียอีก?” แม้ฮูหยินซูจะรู้สึกเหนื่อย แต่กลับอารมณ์ดีนัก ประการแรกเพราะนางรู้สึกว่าซูอวี๋อินผู้เป็นหลานป้าแท้ๆ ได้มาเป็นสะใภ้ห้าของตนนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เลวเลย… เพราะอย่างไรเสิ่นจั้งจีก็ไม่เหมือนกับเสิ่นจั้งเฟิง เสิ่นจั้งเฟิงเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ของตระกูล จึงเป็นคนที่ต้องบ่มเพาะให้มาเป็นประมุขคนต่อไปของตระกูล ภรรยาของเขาไม่เพียงต้องมีชาติกำเนิดสูงส่ง ยิ่งไปกว่านั้นต้องมีฝีมือดี ชั้นเชิงล้ำลึก ทุกสิ่งล้วนต้องเหนือคนธรรมดา เป็นหน้าเป็นตาได้ และทำให้สามีสบายใจได้ หาไม่แล้วหากไม่อาจช่วยส่งเสริมเสิ่นจั้งเฟิง ก็จะทำให้เสิ่นจั้งเฟิงต้องเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาดตั้งแต่หน้าบ้านยันหลังบ้าน
ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญว่าก่อนหน้านี้ หลังจากเว่ยฉางอิ๋งเสื่อมเสียชื่อเสียง ฮูหยินซูก็อยากจะถอนหมั้นนางเสียเหลือเกิน
แต่เสิ่นจั้งจีกลับไม่เหมือนกัน เขาเป็นบุตรชายคนสุดท้องของบ้านใหญ่ และไม่ใช่ว่าที่ประมุขคนต่อไปของตระกูล แรงกดดันของภรรยาของเขาย่อมน้อยกว่ามาก จึงทำให้ฮูหยินซูไม่ได้คาดหวังในตัวสะใภ้ห้าสูงนัก ขอเพียงมีชาติตระกูลสมน้ำสมเนื้อกัน นิสัยเข้ากันได้กับบ้านสามี และเสิ่นจั้งจีก็ชอบพอนางเป็นพอแล้ว
แม้ว่าซูอวี๋อินจะซุกซนตามซูอวี๋เฟยผู้พี่สาว ชอบแต่งหน้าเลอะเทอะ มีนิสัยร่าเริงเกินขอบเขต ซึ่งทุกเรื่องนี้ล้วนไม่ได้เป็นตามลักษณะของสะใภ้ที่เพียบพร้อม แต่อย่างไรเสียฮูหยินซูย่อมต้องใจกว้างกับหลานป้าแท้ๆ มากอยู่แล้ว คิดว่าเวลานี้เสิ่นจั้งจีเพิ่งอายุได้สิบหกปี ซูอวี๋อินก็ยังอายุน้อยกว่าเสิ่นจั้งจีเสียอีก ดีชั่วอย่างไรยามนี้ก็ยังไม่ให้พวกเขาแต่งงานกัน เพียงแต่หมั้นหมายกันไว้ให้เรียบร้อย เพื่อให้เด็กทั้งสองคนค่อยๆ เรียนรู้ธรรมเนียมประเพณีไปเป็นพอ
ส่วนประการที่สองนั้น กลับเป็นเพราะว่าเรื่องแต่งงานนี้เป็นซูผิงจ่านออกปากเสนอมาเอง ซึ่งทำให้เห็นได้โดยนัยว่าเรื่องที่ฮูหยินซูกลับไปอธิบายว่าตนและบ้านสามีล้วนไม่ได้มีเจตนายุยงให้พี่น้องตระกูลซูแตกแยกกันหรือเข้ามาก้าวก่ายเรื่องประมุขคนต่อไปของตระกูลซูนั้นสำเร็จลุล่วงแล้ว
ก่อนหน้านี้ฮูหยินซูเป็นกังวลเรื่อยมาว่าบิดาจะเคลือบแคลงว่าตระกูลเสิ่นจงใจเข้าไปควบคุมตัวเลือกประมุขคนต่อไปของตระกูลซู ยามนี้เมื่ออธิบายกับบิดาจนกระจ่างแล้ว และบิดาก็ยังเป็นฝ่ายเสนอเรื่องการแต่งงานครั้งนี้… แม้จะบอกว่าซูผิงจ่านยังคงไม่สนับสนุนให้บุตรสาวแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับบ้านสามตระกูลซู จึงยินยอมให้แต่งกับบุตรสาวของบ้านสองซึ่งเป็นบ้านบุตรชายของอนุเท่านั้น ทว่าก็เป็นการบอกชัดเจนแล้วว่าซูผิงจ่านไม่ได้ระแวงว่าบุตรสาวจะช่วยตระกูลเสิ่นวางแผนจัดการบ้านฝั่งมารดา
เมื่อพูดเรื่องนี้ให้กระจ่างแล้ว ฮูหยินซูก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก ยามนี้นางก็มีหลานชายแล้ว ทั้งชื่อเสียงของตระกูลเสิ่นก็กำลังรุ่งโรจน์ จะเหลือก็แต่เพียงต้องคอยหาทางไม่ให้วันหน้าบุตรสาวคนเล็กไปก่อเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ล่วงเกินบ้านฝั่งมารดาของตนอีกเท่านั้น เพราะอย่างไรเสียเสิ่นจั้งหนิงก็ใช่ว่าจะแต่งงานกับซูอวี๋อู่ได้เท่านั้น ในเมื่อซูผิงจ่านไม่สนับสนุน ดีชั่วอย่างไรอายุของเสิ่นจั้งหนิงก็ยังน้อยอยู่ ค่อยๆ เลือกให้นางเป็นพอแล้ว ตระกูลใหญ่ในใต้หล้านี้มีออกมากมาย เมื่อเป็นบุตรสาวบ้านใหญ่แห่งตระกูลเสิ่นซึ่งเป็นตระกูลเลื่องชื่ออันดับหนึ่ง ยังไม่ต้องเดือดร้อนใจเรื่องแต่งงานยิ่งกว่าพระราชธิดาของฮ่องเต้เสียอีก
ดังนั้นเวลานี้ฮูหยินซูจึงล้อเล่นกับบรรดาสะใภ้อย่างผ่อนคลายว่า “อย่าได้โทษว่าข้าแย่งงานพวกเจ้าทำเล่า?”
นางหลิวหัวเราะกล่าวว่า “ท่านแม่แย่งงานเช่นนี้ สะใภ้กลับอดหวังให้เป็นเช่นนี้ทุกครั้งไปไม่ได้เสียอีกเจ้าค่ะ”
นางตวนมู่และเว่ยฉางอิ๋งก็บอกว่า “เป็นท่านแม่แย่งทำงานที่ใดกัน? นี่กลับเห็นชัดว่าท่านแม่รักสะใภ้ต่างหากเล่าเจ้าคะ”
“คิดเสียดีงามนักนะ! ข้าวุ่นวายอยู่ทั้งวัน แต่พวกเจ้ากลับมาแอบขี้เกียจ มีแบบนี้ที่ใดกัน?” ฮูหยินซูหัวเราะพลางชี้ไปทางนางหลิว “ข้าหาได้ไม่เชื่อความสามารถของเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าร่างบัญชีนี้ออกมาจักต้องไม่มีปัญหาใดแน่ เพียงแต่ครานี้ตระกูลตวนมู่จะมาหมั้นหมายในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งผู้ที่ถูกหมั้นหมายก็ยังเป็นคู่ลูกพี่ลูกน้อง อย่างไรก็ควรจะไปปรึกษากับตระกูลตวนมู่สักหน่อยเป็นดี อย่าได้กลายเป็นว่าเจ้ารักใคร่จั้งจีและอวี๋อินเกินไป แล้วกลับไปทำเกินหน้าเกินตาของหมั้นของตระกูลตวนมู่และอวี๋เฟยเข้า เช่นนั้นก็กลับไม่งาม”
นางหลิวจึงว่า “ท่านแม่ยังมาบอกว่าให้สะใภ้ร่างบัญชีแล้วจะไม่มีปัญหา เรื่องนี้หากท่านแม่ไม่พูด สะใภ้คงจะคำนึงถึงแต่น้องชายสี่และลูกผู้น้องหญิงสี่เท่านั้น แต่กลับลืมไปว่าตระกูลตวนมู่จะหมั้นหมายกับลูกผู้น้องหญิงสามก่อน หากสะใภ้จัดของหมั้นของน้องชายห้าเกินหน้าเกินตาตระกูลตวนมู่ซึ่งจะมาหมั้นกับลูกผู้น้องหญิงสามขึ้นมาจริงๆ แล้วทำให้ลูกผู้น้องหญิงทั้งสองไม่พอใจ เช่นนั้นสะใภ้ก็ล่วงเกินพวกเขาแล้ว”
นางตวนมู่และเว่ยฉางอิ๋งเห็นพ้องว่า “อย่างไรท่านแม่ก็รอบคอบละเอียดอ่อน พี่สะใภ้ใหญ่เองก็มีความสามารถ พวกเราคอยฟังอยู่ข้างๆ ก็ได้เรียนรู้ไปด้วยเจ้าค่ะ”
เหล่าสะใภ้ต่างพากันเชื่อฟังเช่นนี้ ฮูหยินซูจึงเอ่ยอย่างอารมณ์ดียิ่งว่า “เอาล่ะ ดังนั้นให้วางบัญชีเอาไว้กับข้าที่นี่ วันพรุ่งข้าจะส่งคนไปสอบถามที่ตระกูลตวนมู่สักคำ แล้วคัดลอกบัญชีของบ้านเขามาเทียบดู” จากนั้นก็ให้พวกนางกลับไปเรือนของแต่ละคน
________________________________