ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 88 เสิ่นจั้งเฟิงขัดขืนไร้ผล
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 88 เสิ่นจั้งเฟิงขัดขืนไร้ผล
ตอนที่ 88 เสิ่นจั้งเฟิงขัดขืนไร้ผล
โดย
Xiaobei
ความเห็นของนางหวงได้รับการสนับสนุนเป็นเสียงเดียวกันจากนางเฮ่อและนางว่าน ท่านอาทั้งสามล้วนคิดว่า ในเมื่อมีไมตรีอันดีกับจี้ชวี่ปิ้งแพทย์เลื่องชื่อแห่งเขตทะเล ทั้งนางหวงก็ยังมั่นใจว่าจะสามารถเชิญจี้ชวี่ปิ้งมารักษาได้ ไม่ว่าอาการบาดเจ็บของเสิ่นจั้งเฟิงจะเล็กน้อยเพียงใด ก็ให้ตรวจดูเสียก่อนค่อยว่ากัน!
ดีชั่วตระกูลเสิ่นก็ไม่ใช่ว่าไม่เงินทองจ่าย…
นางว่านเป็นแม่นมของเสิ่นจั้งเฟิง ย่อมเปรมปรีดิ์ที่ได้เห็นฮูหยินน้อยและบ่าวติดตามคนสนิทของฮูหยินน้อยให้ความสำคัญต่อสุขภาพของเสินจั้งเฟิง อย่างไรเสียเมื่อได้นางหวงไปเชิญมา ในเมื่อเป็นท่านหมอเลื่องชื่อ ให้ตรวจดูสักหน่อย แล้วจะปฏิเสธทำสิ่งใด?
ส่วนนางเฮ่อนั้นเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง …นางเสียสามีไปตั้งแต่ยังสาว แม้แต่บุตรชายเพียงคนเดียวก็ยังมาป่วยตายในภายหลัง ความทุกข์ของสตรีม่ายที่ไร้บุตรนางย่อมเข้าใจดีที่สุด หาไม่แล้ว ด้วยความรักที่นางมีต่อเว่ยฉางอิ๋งตลอดหลายปีมานี้ แต่ไรมาเมื่อเว่ยฉางอิ๋งว่าอย่างไรนางก็ว่าอย่างนั้น บอกว่าใครดีคนนั้นก็คือดี บอกว่าใครไม่ดีคนผู้นั้นจะต้องไม่มีทางดีได้แต่อย่างใด แต่ครั้งนั้นนางกลับรู้สึกเห็นใจเว่ยฉางเสียน …ว่ากันตามจริงก็คือเป็นคนมีหัวอกเดียวกัน รู้ดีว่าแม่ม่ายที่ไร้บุตรชายนั้นไร้ซึ่งความสุขและโดดเดี่ยวเศร้าสร้อยเพียงใด
ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าเสิ่นจั้งเฟิง ‘บาดเจ็บ’ คำนี้ ยังมิทันถามว่าหนักหรือเบาเพียงใดนางก็ตื่นเต้นขึ้นมา จนแทบจะวิงวอนเว่ยฉางอิ๋งทั้งน้ำตาว่าให้ทำการอย่างระวังรอบคอบให้มาก จะต้องบอกให้เสิ่นจั้งเฟิงผลัดนัดหมายของแพทย์หลวงจี้ไปก่อนให้จงได้ จะเหลือก็แต่เพียงไม่ได้ร้องห่มร้องไห้ออกมากับที่และด่าทอว่าจี้ฉงหย่วนเป็นหมอชั้นสวะเท่านั้น เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งก็เพียงแค่ไม่ใคร่วางใจฝีมือแพทย์ของจี้ฉงหย่วนเท่านั้น แต่เมื่อถูกเหล่าท่านอาโน้มน้าวไปมาก็เกิดเคลือบแคลงใจขึ้นมาว่าอาการบาดเจ็บของเสิ่นจั้งเฟิงนั้นแท้ที่จริงแล้วหนักหรือเบากันแน่?
เมื่อเกิดสงสัยขึ้นมาดังนี้ จึงรู้สึกว่าหากมิใช่จี้ชวี่ปิ้งออกปากก็ล้วนไม่อาจเชื่อถือได้ทั้งสิ้น
ดังนั้นจึงไปเรียกเสิ่นเตี๋ยมาหาอีก “เมื่อครู่เจ้าว่าท่านพี่นัดหมายกับท่านแพทย์หลวงจี้เอาไว้?”
เสิ่นเตี๋ยบอกว่า “ขอรับ”
“เจ้ารู้จักจวนของแพทย์หลวงจี้หรือไม่?”
เสิ่นเตี๋ยรีบเอ่ย “บ่าวรู้จักขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าจงนำจดหมายนี้ไปส่ง แล้วผลัดวันนัดของท่านพี่ออกไปก่อน” เว่ยฉางอิ๋งก็คร้านจะรอจนเสิ่นจั้งเฟิงตื่นขึ้นมาก่อนแล้ว นางสอบถามนางว่านได้ความว่าเป็นเพราะจี้ฉงหย่วนเคยตรวจรักษาแม่เฒ่าเติ้งมาโดยตลอด คุ้นเคยกับฮูหยินซู ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วทางตระกูลเสิ่นก็จะเชิญเขามารักษา นอกเหนือจากนี้ก็มิได้มีที่ใดที่ไม่อาจล่วงเกินได้ จึงตัดสินใจแทนเขาไปเสียเลย
คำสั่งของฮูหยินน้อยเสิ่นเตี๋ยย่อมไม่กล้าขัด จึงรับคำไปอย่างระมัดระวัง แล้วถามว่า “เช่นนั้นบาดแผลของคุณชาย?”
“ข้ามีวิธีของข้าเอง เจ้าไม่ต้องถามให้มากความ” เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ได้เข้าใจเสิ่นเตี๋ยผู้นี้นัก ถ้าหากเด็กรับใช้ผู้นี้คุ้นเคยกับจี้ฉงหย่วนเป็นอย่างมาก แล้วให้จี้ฉงหย่วนรู้ว่าตนเลื่อนนัดคราวก่อนก็เพราะจะไปขอให้จี้ชวี่ปิ้งมารักษา …เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่ได้เกรงกลัวจี้ฉงหย่วน แต่ถ้าจี้ฉงหย่วนคิดแค้นจี้ชวี่ปิ้งด้วยเหตุนี้ แล้วไปหาเรื่องจี้ชวี่ปิ้งอย่างไรก็เป็นเรื่องไม่ดี
ดังนั้นเมื่อมอบจดหมายที่ให้คนเขียนเสร็จแล้วให้เสิ่นเตี๋ยแล้ว ก็บอกให้เขาออกไปได้
รอจนเสิ่นเตี๋ยออกไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็มาตรวจสอบกับนางหวงอีกครั้ง “ท่านอามั่นใจว่าจะทำให้ท่านหมอเทวดาจี้รับปากได้?” อย่าได้เป็นทางนี้บอกปัดจี้ฉงหย่วน ส่วนทางนั้นจี้ชวี่ปิ้งก็กลับไม่ยอมตรวจรักษาให้ หากเป็นเช่นนี้ก็จะทั้งเสียหน้าทั้งเสียเวลาด้วย
นางหวงพูดอย่างมั่นใจหนักแน่นว่า “ฮูหยินน้อยโปรดวางใจ หากนี่เป็นผู้อื่นข้าน้อยยังไม่กล้ารับรอง แต่คุณชายเป็นท่านเขยของตระกูลเว่ยของเรา ท่านหมอเทวดาจี้จะต้องรับปากแน่เจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งฟังความหมายของนางออกว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไรตระกูลเว่ยก็มีบุญคุณกับจี้ชวี่ปิ้ง แม้ดูท่าว่าจี้ชวี่ปิ้งผู้นี้ออกจะเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้น ทว่าคิดไปก็น่าจะเป็นคนที่ยอมทดแทนบุญคุณคน หาไม่แล้ว เขาคงไม่ได้ไม่ยอมเข้าสำนักแพทย์หลวง ไม่ทำดีเอาหน้า แต่กลับมาอยู่รักษาเว่ยเจิ้งหงในบ้านตระกูลเว่ยตลอดเวลาสองปี เมื่อฟังนางหวงพูดดังนี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงได้โล่งใจ
เสิ่นจั้งเฟิงนอนหลับ ความคิดเห็นของเว่ยฉางอิ๋งและท่านอาทั้งสามก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นเรื่องนี้จึงตัดสินใจดังนี้แล้ว
รอจนดึก เสิ่นจั้งเฟิงจึงตื่น คอแห้งยิ่งนักคิดอยากดื่มน้ำ เมื่อเห็นว่าฟ้ามืดแล้ว ส่วนภรรยาก็หลับสนิทไปแล้ว ไม่อยากปลุกนาง จึงคิดจะลุกขึ้นมารินเอง ไม่คิดว่าเพิ่งจะสร่างเมาจึงค่อนข้างหนักหัวมือไม้ไร้เรี่ยวแรง ตอนลงมาจากตั่งนอนก็ไม่ระวังบังเอิญไปชนโต๊ะตัวเล็กทรงดอกไห่ถังซึ่งวางกระถางกำยานที่ข้างตั่งจนล้ม
โต๊ะวางกระถางกำยานนี้ไม่สูงไม่ใหญ่ เพียงแต่ทำจากไม้ประดู่จึงมีน้ำหนักมาก ยามล้มลงไปจึงทำให้เกิดเสียงดังเอาการ สาวใช้นอกห้องและเว่ยฉางอิ๋งจึงถูกทำให้ตกใจตื่นขึ้นมาทันใด
เสิ่นจั้งเฟิงรีบอธิบายว่า “ก็เพียงโต๊ะวางกำยานตัวหนึ่ง โชคดีที่ในเตาไม่มีเถ้าถ่าน”
“ฤดูนี้จะจุดกำยานใดเล่า? ย่อมไม่มีเถ้าถ่านอยู่แล้ว” เว่ยฉางอิ๋งขยี้ตา เห็นเขายกโต๊ะวางกำยานขึ้นแล้ว และมานั่งรินน้ำชาอยู่ข้างโต๊ะ ในระหว่างที่กำลังงวยงงก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่าเขายังไม่ได้ทานอาหารเย็น จึงบอกว่า “ในห้องครัวเล็กยังมีคนอยู่ มีอาหารเก็บเอาไว้ชุดหนึ่งและแขวนไว้ในบ่อน้ำ จะให้เรียกคนยกเข้ามาให้เจ้าหรือไม่?”
เพราะเวลานี้ก็ดึกดื่นแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงจึงไม่อยากให้คนในเรือนต้องตกใจตื่นขึ้นมา จึงโบกมือสั่งให้ฉินเกอและเยี่ยนเกอที่อยู่นอกห้องไปนอนต่อ บอกว่า “ไม่ต้อง ข้ากินของว่างสองสามอย่างบนโต๊ะสักชิ้นสองชิ้นเป็นพอแล้ว” แล้วว่า “เจ้านอนต่อเถิด อย่ามาคุยกับข้า ตื่นแล้วจะนอนไม่หลับเอา”
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “หากข้านอนไม่หลับ วันพรุ่งช่วงบ่ายก็ยังนอนได้สักพัก กลับเป็นเจ้าเสียอีก ยามนี้ตื่นขึ้นมาแล้ว อีกประเดี๋ยวจะนอนได้อย่างไร?”
“เข้าไม่เป็นไร” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าอยากรู้จริงๆ หรือว่าอีกประเดี๋ยวข้าจะนอนอย่างไร?” น้ำเสียงออกจะมีนัยยะแฝงอยู่
เว่ยฉางอิ๋งส่งเสียงเอ็ดเขาไปหนหนึ่งบนตั่งนอน พลันพลิกตัวหันหน้าเข้าข้างในตั่ง แล้วจู่ๆ ก็นึกเรื่องอาการบาดเจ็บที่แขนของเขาขึ้นมาได้ จึงพลิกตัวกลับออกมาอีกครั้งแล้วกล่าวโทษเขาไปว่า “แขนเจ้าได้รับบาดเจ็บ เหตุใดจึงไม่บอกข้า?”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มกล่าวว่า “เอ๋ เจ้ารู้ได้อย่างไร?” แล้วว่า “ความจริงก็ไม่เป็นไร ตอนนั้นง่ามนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ฉีกมีเลือดไหลมาก และแขนยกขึ้นไม่ได้สักพักเท่านั้นเอง เมื่อกลับมาแล้วท่านแม่เห็นว่ามีผ้าพันอยู่ที่มือ ก็บอกว่าจะต้องให้ท่านแพทย์หลวงจี้ดู ท่านแพทย์หลวงจี้ก็เห็นว่าท่านแม่เป็นกังวลเกินไป จึงแนะนำให้ข้าพักผ่อนสักพัก ปรากฏว่าพอท่านแม่เอ่ยปากก็ถามว่าจะขอหยุดพักสักปีครึ่งได้หรือไม่? แพทย์หลวงจี้พิจารณาอยู่เป็นนานจึงบอกเพียงว่าพักผ่อนสองสามเดือนเป็นพอแล้ว จากนั้นท่านแม่ก็สั่งให้ข้าพักผ่อนมาจนถึงตอนนี้”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างตื่นตกใจว่า “แขนยกขึ้นไม่ได้สักพัก?” เหตุใดฟังดูแล้วเหมือนหนักหนานัก ไม่ดูเบาอย่างที่เสิ่นเตี๋ยพูดเลยสักนิด?
“เส้นลมปราณกระเทือนจึงชาเท่านั้น รอวันสองวันก็หายแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ย “แต่ท่านแม่สงสัยว่าเส้นลมปราณจะได้รับความเสียหาย ยืนกรานให้ข้าไปตรวจรักษาให้หายจึงจะได้ ข้าบอกท่านแม่แล้วว่าข้ารักษาแล้ว จนใจที่นางไม่เชื่อ บอกแต่เพียงว่ากล้ามเนื้อกระดูกบาดเจ็บต้องรักษาหนึ่งร้อยวัน… ที่สุดก็มาถึงเดือนที่สามแล้ว ครบหนึ่งร้อยวันที่ท่านแม่บอกแล้ว” ครั้งกลับจากไปรับเจ้าสาวที่เฟิ่งโจว ท่านแม่ก็บอกอีกว่าอาการบาดเจ็บเพิ่งจะหายต้องมาเดินทางไกลเหน็ดเหนื่อย จักต้องพักผ่อนต่อไปอีก…”
เขาส่ายหน้าอย่างไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี กล่าวว่า “แต่ยามนี้แหลนด้ามใหม่ของข้าก็ใกล้ทำเสร็จแล้ว แล้วจะพักผ่อนต่อไปได้อย่างไร? อิ๋งเอ๋อร์ก็รู้นี่ว่า เรื่องการฝึกวรยุทธ์นั้น อย่างไรเสียหมัดอย่าได้ห่างมือ บทเพลงอย่าได้ห่างปาก เมื่อปล่อยปละละเลยก็จะต้องถดถอย ดังนั้น…”
“เจ้าฟังข้าว่า” เว่ยฉางอิ๋งรีบเอ่ย “ข้าไม่ได้ต้องการจะขัดขวางเจ้า แต่ฝีมือแพทย์ของจี้ฉงหย่วนคล้ายไม่ดีเท่าใดกระมัง? ข้ารู้สึกว่าอย่างไรก็เชิญจี้ชวี่ปิ้งมาดูสักหน่อยเป็นดี”
เสิ่นจั้งเฟิงตาค้างปากสั่น กล่าวว่า “แค่อาการบาดเจ็บเล็กๆ ก็ต้องเชิญจี้ชวี่ปิ้งมาดู นี่…จะเกินไปหน่อยหรือไม่?”
จี้ชวี่ปิ้งซึ่งเป็นแพทย์เลื่องชื่อในเขตทะเล… โดยเฉพาะนิสัยของท่านหมอท่านนี้เป็นคนสันโดษไม่ชอบสนใจผู้คน ทั้งยังไม่ชอบทำดีเอาหน้า มิใช่ว่าต้องเป็นโรคร้ายใดที่ไม่มีทางรักษาแล้วจริงๆ จึงค่อยไปหาเขาหรอกหรือ?
เสิ่นจั้งเฟิงไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี กล่าวว่า “ข้าก็เพียงบาดเจ็บเล็กน้อย ท่านหมอที่ดูแลอาการบาดเจ็บทั่วไปก็ตรวจรักษาได้แล้ว ไยต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงขั้นต้องไปเชิญท่านหมอเทวดาจี้มาเล่า?” เรื่องนี้หากให้พวกสหายของเขารู้เข้า เกรงว่าจะต้องถูกหัวเราะยกใหญ่
“ไม่ได้” เว่ยฉางอิ๋งถูกท่านอาทั้งสามคนร่วมใจกล่อมมารอบหนึ่งว่า “คุณชายยังหนุ่ม กำลังอยู่ในวัยพลุ่งพล่าน ย่อมค่อนข้างจะปล่อยปละละเลยร่างกาย โดยเฉพาะยามอยู่ต่อหน้าฮูหยินน้อยก็ย่อมต้องทำทีว่าแข็งแกร่ง ดังนั้นฮูหยินน้อยจะต้องไม่ให้คุณชายทำตามใจเป็นเด็ดขาด” ได้ยินคำนางจึงรีบบอกไปว่า “ทางจี้ฉงหย่วนนั้นข้าให้เสิ่นเตี๋ยไปบอกเขาแล้ว วันพรุ่งท่านอาหวงก็จะไปนัดกับทางท่านหมอเทวดาจี้”
เมื่อเห็นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยสีหน้า ‘เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว เจ้าคัดค้านก็ไร้ผล จงทำตามข้าเสียโดยดีเถิด’ เสิ่นจั้งเฟิงจึงกระแอมไอแห้งๆ หนหนึ่ง พูดเน้นย้ำไปว่า “ข้าไม่เป็นไรจริงๆ”
เว่ยฉางอิ๋งพูดด้วยสีหน้าขึงขังว่า “เป็นไร ไม่เป็นไรมิใช่เรื่องที่เจ้าพูดก็จบ ต้องให้ท่านหมอเทวดาจี้ตรวจดูเจ้าเสียก่อนแล้วบอกว่าเจ้าไม่เป็นไร เจ้าจึงจะไม่เป็นไรจริงๆ”
เสิ่นจั้งเฟิงดื่มชา แทบจะลำลักออกมา แล้วไอติดต่อกัน… เว่ยฉางอิ๋งรีบเข้าไปลูบหลังให้เขา แล้วใช้โอกาสนี้เตือนเขาว่า “เจ้าดูสิ พูดๆ ไปก็ไอเสียแล้ว ยังบอกว่าจะไม่ให้ท่านหมอเทวดาจี้ตรวจดูอีก?”
“….แค่ดื่มน้ำไม่ระวัง” เสิ่นจั้งเฟิงอุตส่าห์หยุดไอได้ มือค้ำโต๊ะ ด้วยสีหน้า “ยามนี้ข้าควรจะพูดอย่างไรจึงจะดี” กล่าวว่า “ท่านหมอเทวดาจี้มีชื่อเสียงเกินไป โดยทั่วไปแล้วจะไปขอให้เขารักษาล้วนเพราะสงสัยว่าเป็นโรคที่ยากจะรักษา…”
“เจ้าวางใจเถิด ท่านอาหวงรู้จักเขามานาน ต่อให้เขาไม่ตรวจรักษาให้ผู้อื่น อย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธเจ้า” เมื่อได้นางหวงรับประกันว่าจี้ชวี่ปิ้งจะต้องไม่ปฏิเสธการรักษาท่านเขยของตระกูลเว่ยแน่นอน เว่ยฉางอิ๋งจึงบอกให้เขาวางใจด้วยความมั่นใจเต็มสิบ
เสิ่นจั้งเฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าไม่ได้พูดเรื่องนี้… ข้าหมายถึงว่า หากข้าไปรบกวนแพทย์เลื่องชื่อในเขตทะเลท่านนี้ด้วยบาดแผลเพียงเล็กน้อย เจ้าว่าชาวบ้านจะคิดเช่นไรกับข้า?”
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง ก้มหน้าลงใคร่ครวญ เสิ่นจั้งเฟิงอาศัยโอกาสนี้เอ่ยว่า “พวกเขาจะต้องสงสัยว่าข้าเป็นโรคร้ายใด แต่หากมารู้ว่าเป็นเพียงอาการบาดเจ็บเล็กน้อยที่หายดีตั้งนานแล้วและยังต้องมาให้ท่านหมอเทวดาจี้ตรวจจึงจะกล้าซ้อมเพลงแหลนอีก พวกเขาจะไม่หัวเราะเยาะข้าหนักหนารึ?” ล้อเล่นอันใดกัน นับแต่เขาเข้ามาเป็นราชองครักษ์ซิน ก็ได้ที่หนึ่งในการประลองทุกๆ ปี ในราชองครักษ์ทั้งสามมีคนคอยอิจฉาเขานับไม่ถ้วน แม้จะบอกว่าคนส่วนใหญ่เพียงแค่มีความคิดไม่ลงรอยกับเขาเท่านั้น ไม่ถึงขั้นคิดแค้นเกลียดชัง ทว่าหากได้โอกาสเช่นนี้มาหัวเราะเยาะเขา ล้วนไม่มีผู้ใดยอมปล่อยไปแน่
เสิ่นจั้งเฟิงสามารถจินตนาการได้เลยว่า บาดแผลเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในวันชูอิกปีก่อน ปรากฏว่าครึ่งปีผ่านไปก็ยังต้องเชิญจี้ชวี่ปิ้งมาตรวจดูอาการอีก …ทำเรื่องขี่ช้างจับตั๊กแตนเพียงนี้ ฉายาต่างๆ ทั้งแม่นางเสิ่นน้อย อ่อนเป็นหลิวต้องลมจะต้องปลิวตกมาอยู่บนหัวตนเหมือนหิมะห่าใหญ่แน่ๆ …ก็ใช่ว่าเขาจะเป็นคนที่กลัวคำพูดไร้สาระของผู้คน หาไม่แล้วแต่แรกนั้นเขาก็จะไม่ไล่ตามไปที่เฟิ่งโจวและยืนกรานจะให้มีสัญญาแต่งงานกับตระกูลเว่ยต่อไปหรอก
เพียงแต่ เรื่องนี้ไม่ได้มีความจำเป็นใดนี่! เรื่องที่เขาต้องพักผ่อนหลายเดือนหลังได้รับบาดเจ็บ ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะฮูหยินซูที่รักและเป็นห่วงบุตรชายบีบบังคับเขาต่างหาก! เมื่อคิดว่าเว่ยฉางอิ๋งภรรยาของตนก็เป็นคนที่ฝึกวรยุทธ์เช่นกัน ว่ากันตามหลักแล้วนางไม่ควรจะเป็นเหมือนฮูหยินซูที่มองตนเองซึ่งฝึกวรยุทธ์มาแต่เล็กและมีร่างกายแข็งแกรงกำยำว่าเป็นเหมือนคนทั่วไป …เหตุใดเว่ยฉางอิ๋งยังดุยิ่งกว่าฮูหยินซูเสียอีก?
ฮูหยินซูเพียงแค่ไม่ให้เขาออกแรงมาก คนภายนอกก็ไม่รู้วาเขายัง ‘พักฟื้น’ มาจนถึงตอนนี้ แต่เว่ยฉางอิ๋งนี่ แม้แต่จี้ชวี่ปิ้ง หมอเลื่องชื่อในเขตทะเละนางก็ยังไปรบกวนเขามาอีก!
“ช่างพวกเขาประไร!” เสิ่นจั้งเฟิงนึกว่าเพียงเท่านี้ก็จะเกลี่ยกล่อมเว่ยฉางอิ๋งได้แล้ว ใครจะรู้ว่าเว่ยฉางอิ๋งคิดอยู่เป็นนานกลับโพล่งออกมาเช่นนี้ นางส่งเสียงหึแล้วว่า “คนเหล่านี้ ตนเองไม่มีปัญญาเชิญท่านหมอเทวดาจี้มา พอกินองุ่นไม่ได้ก็ว่าองุ่นเปรี้ยว! เจ้าไม่ต้องไปสนใจคำพูดไร้สาระของพวกเขา ผู้ใดกล้าหัวเราะเยาะเจ้าให้กลับมาบอกข้า จดทั้งชื่อทั้งสกุลมา ข้าจะให้ท่านอาหวงนำไปบอกท่านหมอเทวดาจี้ …วันหน้าหากคนเหล่านี้ร่วมทั้งญาติโกโหติกาของพวกเขาแน่จริง ชาตินี้อย่าหวังเชิญท่านหมอเทวดาจี้มารักษาได้เลย!”
การตัดสินใจนี้ของนางก็คือจะใช้ความสัมพันธ์ของตระกูลเว่ยและจี้ชวี่ปิ้งมาข่มขวัญไม่ให้ทุกคนมาหัวเราะเยาะเสิ่นจั้งเฟิง
เสิ่นจั้งเฟิงปาดเหงื่อ “อิ๋งเอ๋อร์ ทำเช่นนี้ไม่ใคร่ดีกระมัง? เจ้าดูสิ ทั้งที่สามีก็หายดีตั้งนานแล้ว หาไม่แล้ว เหตุใดเจ้าก็เป็นคนฝึกวรยุทธ์เช่นกันแต่กลับไม่เคยรู้สึกเลย?”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างรู้สึกผิดว่า “แต่ไรมาข้าไม่ใช่คนที่ละเอียดอ่อนนัก ก่อนออกเรือนพวกผู้ใหญ่ล้วนกำชับกับข้ามาก่อน แต่น่าเสียดายที่พอนานปีเข้าก็กลายเป็นความเคยชิน ตลอดเวลามานี้ ข้าล้วนไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าแขนเจ้าบาดเจ็บ เจ้าอย่าได้ถือโทษข้าเลย”
“…” เสิ่นจั้งเฟิงยังคงพยายามต่อไป “ไม่ใช่ๆๆ ไปโทษเจ้าไม่ได้ เพราะสามีหายดีตั้งนานแล้วต่างหาก!”
“แล้วไยเจ้ายังนัดไอ้เจ้าหมอสวะจี้ฉงหย่วนผู้นั้น?” เว่ยฉางอิ๋งถลึงตาใส่เขาหนหนึ่ง “คงมิใช่ว่าเจ้ากลัวเข็มกลัวยาหรอกนะ? โตจนป่านนี้แล้ว ยังจะทำเป็นเล่นเหมือนเด็กเล็กๆ ที่พอได้ยินว่าจะไปหาหมอ เหตุผลสามพันข้อก็ยังอ้างออกมาได้! เจ้ายังจะพูดสิ่งใดอีก?”
เสิ่นจั้งเฟิงกุมขมับกล่าวว่า “ข้าก็เพียงคิดว่าบาดแผลเพียงเล็กน้อยนี้ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นไปเชิญท่านหมอเทวดาจี้ …เจ้ายังไม่รู้ถึงชื่อเสียงของท่านหมอเทวดาจี้ในเมืองหลวง หากเจ้าไม่เชื่อ วันพรุ่งข้าจะให้เจ้าดู เกรงว่าแค่เพียงขยับตัว แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังทรงทราบเรื่องนี้ได้เลย ข้ากล้าพนันเลยว่าต่อไปไม่ว่าจะเป็นคนที่รู้หรือไม่รู้จักข้าก็จะต้องมาสอบถามว่าข้าเกิดเรื่องใดขึ้น จึงถึงขั้นต้องไปเชิญท่านหมอเลื่องชื่อในเขตทะเลมา…”
เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งกำลังจะพูด เสิ่นจั้งเฟิงจึงชิงพูดไปก่อนว่า “ข้าไม่ได้กลัว เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะวุ่นวายนัก…”
“วุ่นวายอย่างมากก็แค่สามวันห้าวัน” เว่ยฉางอิ๋งยื่นนิ้วไปแตะที่หน้าผากเขาพลางเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “หากเจ้าหมอสวะนั่นตรวจผิด นั่นก็จะเป็นเรื่องใหญ่โตไปชั่วชีวิตเชียว!”
เสิ่นจั้งเฟิงไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “เนื้อหนังของข้าเองข้าจะไม่รู้ดีกว่าใครหรือไร? สามเดือนก่อนก็หายดีแล้ว เพียงแต่ท่านแม่ท่าน…”
“ท่านแม่ทำถูกแล้ว!” เว่ยฉางอิ๋งประกาศตัวว่าสนับสนุนแม่สามีทันที “ท่านแม่เป็นท่านแม่แท้ๆ ของเจ้า จะทำร้ายเจ้าได้รึ?” แล้วพลันออดอ้อนเข้าไปจูบที่หน้าผากเขา เสียงอ่อนเสียงหวานว่า “พวกเราเป็นสามีภรรยา สามีภรรยาเป็นคนคนเดียวกัน หรือว่าข้าจะทำร้ายเจ้า?”
“ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว แต่…” เสิ่นจั้งเฟิงยังคิดจะดิ้นรนอีกสักหน ปรากฏว่าเว่ยฉางอิ๋งพลันเปลี่ยนสีหน้าทันที แล้วบิดใบหูเขา ขึ้นเสียงไปว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า ทั้งหมดล้วนทำเพื่อเจ้า แล้วเจ้ามีเรื่องใดให้ต้องร่ำไรอีก?! อย่าได้กลายเป็นว่าปากบอกว่าไม่สงสัย แต่ในใจกลับกำลังพึมพำสิ่งใดอยู่หรอกนะ?”
เสิ่นจั้งเฟิงถอนหายใจ ล้มเลิกความคิดจะถกเถียงกับนางอีก แล้วปลอบภรรยาด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานว่า “หากเจ้าคิดจะทำร้ายข้า ข้าก็ยินยอมพร้อมใจถูกเจ้าทำร้ายเสียเหลือเกิน!”
_______________________________________