ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1000 ฉีกกฎบรรทัดฐาน
ตอนที่ 1000 ฉีกกฎบรรทัดฐาน
การเผชิญต่อสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ มีหรือที่ผู้คนจะสนใจสิ่งอื่นใด
ประการแรกคือออกจากที่นี่ก่อน แล้วกอดชีวิตของตนไว้ให้มั่น!
ดังนั้นแล้วผู้คนที่อยู่ภายในค่ายกลของหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง จึงรีบกรูกันออกไปโดยเร็วอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิด!
ผู้อาวุโสที่ดูแลค่ายกลรอบนอกเองก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงพยายามสุดแรงที่จะแหวกค่ายกลออกจนเป็นช่องโหว่!
แต่ดูจากสีสันของพลังค่ายกลที่ดูหมองลงแล้ว มันอาจจะเป็นเพราะการจลาจลภายในเท่านั้น
สิ่งนี้ทำให้ผู้อาวุโสเบาใจลงอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว กลับไม่มีผู้ใดกล้าวางใจง่ายๆ
ผู้ใดเล่าจะล่วงรู้ว่าอิทธิฤทธิ์ของสายฟ้านั้นน่ากลัวเพียงนี้!
อีกทั้งยังไม่มีใครเคยเห็นคนที่เรียกพลังจิตวั่งเสิ่นวิถีที่เก้าออกมาได้เลยสักคน!
นับประสาอันใดกับวิถีสายฟ้าหกเส้นที่ผ่าลงมาพร้อมกันเช่นนี้!
ผู้อาวุโสฮวาเซียนทอดมองไปยังอิทธิฤทธิ์อันรุนแรงและบ้าคลั่งของสายฟ้า และภูเขาที่ทรุดทลายลงอย่างต่อเนื่องด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เกรงว่าหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง… คงใกล้จะพังทลายเสียแล้ว…”
…
หุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงจะถูกทำลายหรือไม่นั้น คนระดับผู้อาวุโสเฉินเค่อแทบมิได้ใส่ใจ!
พวกเขาสนใจเพียงแค่ความปลอดภัยของฉู่หลิวเยว่เท่านั้น!
บางทีเจี่ยนเฟิงฉืออาจจะยังมีโอกาสกลับมา แต่ฝ่าบาท…
ตอนนี้นางถูกพลังอำนาจของสายฟ้าห้อมล้อมไว้โดยสมบูรณ์แล้ว เกรงก็แต่ว่า…
“ข้าจะเข้าไปเอาตัวนางกลับมา!”
ผู้อาวุโสซูจิ่นข่มใจไว้ไม่ไหวอีกต่อไป พลันออกตัวทันที!
อย่างใดก็ตาม นางเพิ่งมาถึงตำแหน่งทางออกของค่ายกลที่ฉีกขาด ขณะกำลังจะตัดสินใจเข้าไป ก็มีพลังอนุภาพแรงกล้าพุ่งออกมาจากด้านใน!
ผู้อาวุโสซูจิ่นที่ไม่ทันตั้งตัวถูกกระแทกผลักถอยหลังไปสองสามก้าว!
เซียวหรานพลันเข้าหาทันทีก่อนจะพยุงนางขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“อาจิ่น เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่?”
แต่ผู้อาวุโสซูจิ่นกลับไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ ซ้ำยังชี้เข้าไปข้างใน
“เยว่เอ๋อ! เยว่เอ๋อยังอยู่ข้างใน!”
แต่กระนั้นจะทำอย่างใดเล่า!
เซียวหรานเม้มปาก
“เจ้าเป็นปรมาจารย์ เข้าไปก็มีแต่จะเสียเปรียบ มิเช่นนั้นก็รออยู่ที่นี่ ข้าเป็นจอมยุทธ์ อย่างใดเสียให้ข้าไปย่อมเป็นผลดีกว่า!”
เขากล่าวพลางขยับฝีเท้าและกำลังจะก้าวเข้าไป
“จะเป็นผู้ใดก็ไม่ต้องเข้าไปทั้งนั้น”
เฉินอีเอ่ยขึ้นทันควัน
คนจำนวนมากต่างก็มองมาทางเขา แต่กลับพบว่าสีหน้าของเขายังคงนิ่งสงบและไม่ไหวติง ไร้ร่องรอยของความกังวลใจใดๆ
“นี่เป็นพลังจิตวั่งเสิ่นของนาง มีเพียงตัวนางเองเท่านั้นที่จะก้าวข้ามผ่านมันไปได้ คนนอก ไม่ว่าผู้ใดก็ช่วยนางไม่ได้”
ที่เฉินอีว่ามานั้นก็มีเหตุผล
ต่อให้ผู้อื่นเข้าไปและสามารถช่วยนางหยุดยั้งอนุภาพของพลังได้บางส่วน แต่สุดท้ายแล้วสำหรับชัยชนะในครานี้ เขาก็ยังปรารถนาให้นางทำมันด้วยตนเองให้สำเร็จ
“เช่นนั้น… จะให้พวกเรายืนมองเฉยๆ อยู่เยี่ยงนี้หรือ?” ผู้อาวุโสซูจิ่นเดินไปมาด้วยความกระวนกระวายใจ “หากเป็นนางผู้ที่จัดว่าอยู่ในอันดับแข็งแกร่งที่สุดเมื่อก่อนน่ะ อาจจะรับมือไม่ไหว แต่ในตอนนี้…”
ประการแรก ฉู่หลิวเยว่ในปัจจุบันเป็นแค่จอมยุทธ์ระดับหกขั้นสูงสุดเท่านั้น
อีกอย่าง คราก่อนนางก็ถูกพลังปราณดั้งเดิมจำนวนคณานับและพลังปราณศักดิ์สิทธิ์เล่นงานเสียจนเจ็บตัวไม่น้อย
ฉะนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ การเข้าปะทะกับสายฟ้าทั้งหกสายโดยตรงน่ะ…คงไม่มีทางรอดกลับมาแน่!
เฉินอีเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่มีลักษณะเรียวยาวคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“เพียงแค่นางทะลวงไปให้ถึงจอมยุทธ์ระดับเจ็ดได้ อันใดก็เป็นเป็นได้”
…
ผู้คนเริ่มทยอยออกกันไปมากขึ้นเรื่อยๆ
จนสุดท้ายเหลือเพียงมู่หงอวี่ ที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ไหวติง
“เราจะทำอย่างใดกันดี จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆ ของหลิวเยว่เลย…”
หัวใจดวงน้อยของมู่หงอวี่รู้สึกโหวงเหวงแปลกๆ พลันไม่สบายใจเอาเสียเลย
หากไม่ใช่เพราะถวนจื่อยังรออยู่เคียงข้างพวกเขา นางคงคิดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับฉู่หลิวเยว่จริงๆ เสียแล้ว
แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่สามารถคลายความกังวลทั้งหมดของพวกเขาลงได้
อานุภาพของพลังระดับนั้น…ต่อให้จะเป็นจวินจิ่วชิงก็คงต้านไว้ไม่ไหว นับประสาอันใดกับนางเล่า!
หลายคนต่างสับสนมึนงงพลางมองไปยังเจี่ยนเฟิงฉือ และรอให้เขาตัดสินใจ
เจี่ยนเฟิงฉือเองก็มีความลังเลอยู่เต็มอก
ไม่ต้องรอเสียแล้วกระมัง รู้สึกลำบากใจเหลือเกิน
แต่ช้าก่อน หากพลั้งพลาดไปต้องมีคนสักเท่าไรที่จะเดือดร้อน
ตูม!
สายฟ้าสีเงินผ่าลงมา!
ยอดเขาที่มีผู้คนอยู่จำนวนหนึ่งเริ่มพังทลาย!
โครม!
ทันใดนั้นถวนจื่อก็ส่งเสียงร้องออกมาดังลั่น!
นี่เป็นการเร่งเร้าให้พวกเขารีบเคลื่อนย้ายกันโดยเร็ว!
เจี่ยนเฟิงฉือคิ้วขมวดเป็นปม พลันหันมองย้อนกลับไป
แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าร่างของฉู่หลิวเยว่ปรากฏขึ้น
เขาขบฟันแน่น
“ไป!”
เดิมทีมู่หงอวี่ไม่เห็นด้วย แต่ก็กังวลว่าการอยู่ที่นี่จะกลายเป็นภาระของฉู่หลิวเยว่เสียเปล่าๆ
เมื่อเห็นว่าถวนจื่อตัดสินใจที่จะส่งพวกเขาออกไปแล้ว นางจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหลังของถวนจื่อ
คนจำนวนหนึ่งก็ปีนขึ้นไปตามๆ กัน
ปีกถวนจื่อกระพือไปมา ก่อนจะบินขึ้นอย่างรวดเร็ว! และมุ่งตรงไปยังทางออก!
มู่หงอวี่มองย้อนกลับไปด้วยความรู้สึกอาวรณ์ไม่อยากจาก
เจี่ยนเฟิงฉือเองก็มองตามสายตาของนางไป เมื่อหลุบตาลงต่ำก็เห็นว่าสองมือของนางกำแน่น ข้อนิ้วซีดเผือด หัวใจเต้นระรัว
เขาจึงยื่นมือมากุมมือนางไว้แน่น
“วางใจเถิด การที่ถวนจื่อพาพวกเราออกไป แสดงว่านางจะต้องไม่เป็นอันใด”
มู่หงอวี่ออกแรงพยักหน้ารับเบาๆ
คนกลุ่มหนึ่งบินออกไปอย่างรวดเร็ว
จวินจิ่วชิงเองก็ตามมาติดๆ และออกเป็นคนสุดท้าย
ผู้อาวุโสฮวาเซียนออกคำสั่ง
“ปิดหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง ณ บัดนี้!”
ค่ายกลสีสันอันงดงามปิดลงพร้อมกับเสียงอึกทึกดังตามมา!
…
นอกจากฉู่หลิวเยว่ ทุกคนก็ออกกันมาหมดแล้ว
ผู้คนส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ เพลานี้พวกเขาต่างพากันมองไปยังผาสูงอีกครึ่งหนึ่งที่ยังคงฝืนทนทรงตัวอยู่ด้วยความอกสั่นขวัญหาย
ขณะมองไปรอบๆ หัวใจของถานไถเฉินก็ค่อยๆ หนักอึ้งลง
ไม่มี
ไม่มีสักคนเดียว
ตามที่คาดไว้ สมาชิกทั้งห้าของราชวงศ์ไท่อวี่สิ้นชีพแล้ว!
เพลานี้เขารู้สึกราวกับว่าเลือดทั่วสรรพางค์กายคล้ายจะหยุดเดิน ตัวแข็งทื่อ สมองขาวโพลนว่างเปล่า
แม้จะคาดไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นไร แต่ครั้นได้พิสูจน์ด้วยตนเอง เขาก็แทบจะโซเซ เข่าอ่อนเลยทีเดียว
เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปยังสำแสงที่สาดส่องเข้ามาในดวงตา
ซั่งกวนเยว่…นางน่าจะตายไปเสีย!
หลังจากผ่านการต่อสู้ในครานี้ นางคงอกสั่นขวัญหาย จิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอยเป็นแน่!
แม้จะไม่ได้ชำระแค้นด้วยตนเอง แต่หากผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนี้ก็นับว่าน่าพอใจนัก
แต่ในขณะนั้นเอง อยู่ๆ ก็มีเสียงร้องตกใจดังออกมาจากกลุ่มคน
“นั่นมันอันใดน่ะ!”
หัวใจของถานไถเฉินกระตุกวูบ พลันย้ายสายตามาจดจ่อทันที!
ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างๆ หนึ่ง รูปร่างเพรียวบาง ลำตัวเหยียดตรงท่ามกลางลำแสงแยงตาที่กระจายอยู่ทั่วฟ้า
นั่นมันฉู่หลิวเยว่!
“นางทะลวงไปถึงระดับเจ็ดแล้ว!”