ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1009 ประหลาดใจ
ตอนที่ 1009 ประหลาดใจ
หัวใจของฉู่หลิวเยว่รู้สึกหนาวสะท้าน
จวินจิ่วชิงทำเรื่องต่างๆ ในที่ลับมากมาย แต่ในตอนนี้กลับมาพูดว่าเพราะช่วยเหลือนาง
นางผ่านการทนทรมานมามากมายขนาดนั้น สำหรับเขาแล้วมันไม่สำคัญเลยหรืออย่างใด?
ถ้าในระหว่างทางนางประมาทและไม่รอบคอบ นางคงตายไปตั้งนานแล้ว!
เหมือนว่าเขาจะมองความคิดของฉู่หลิวเยว่ออก จวินจิ่วชิงจึงยิ้มออกมาบางๆ
“ข้าไม่กังวลหรอกว่าจะเกิดอันใดขึ้นกับเจ้า เจ้าผ่านมันไปได้อยู่แล้ว”
หากเรื่องแค่นี้ยังไม่สามารถผ่านไปได้นั้น นั่นก็หมายความว่านางไม่ใช่นาง
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วแน่น
ตอนนี้นางถึงเพิ่งจะรู้ว่าปัญหามากมายที่นางเจอมาก่อนหน้านี้ คาดไม่ถึงว่าจะมีจวินจิ่วชิงคอยจัดการมาให้ตั้งนานแล้ว
อีกทั้งเขายังพูดจาทรงเกียรติ สง่าผ่าเผยอีก!
“ข้าไม่ยอมรับ”
ฉู่หลิวเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะคิดอย่างใด เรื่องที่เจ้าทำเช่นนั้น มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้า ข้าต้องการจะกลับซีหลิงนั้นเป็นเรื่องของข้า คนอื่นไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาแทรก เรื่องราวเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว จะสืบสาวราวเรื่องก็ไม่มีความหมายแล้ว ข้าต้องการเพียงแค่ให้ท่านพ่อกลับมาอย่างปลอดภัย ส่วนเงื่อนไขของเจ้านั้น ข้าจะไม่มีทางยอมรับ”
นางหันไปมองจวินจิ่วชิงด้วยท่าทีเย็นชา
“ต่อให้วันนี้เจ้าจะไม่ปล่อยท่านพ่อออกมา แต่ข้าจะหาหนทางช่วยท่านออกมาให้ได้! ส่วนเรื่องอื่นนั้น…ไม่มีทางเป็นไปได้เลย!”
ใบหน้าหล่อเหลาของจวินจิ่วชิงมีความชั่วร้ายเพิ่มขึ้นหลายส่วน แต่ยังมีรอยยิ้มประดับเอาไว้อยู่เช่นเดิม
แต่ว่ารอยยิ้มนี้ไม่มีความสดใสดั่งดอกไม้ไฟ มีแต่ความเย็นยะเยือกที่แทรกเข้ามาเท่านั้น
“เจ้าคิดดีแล้วหรือ?”
เขาถามขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้พูดอันใด แต่สายตาที่มั่นคง ถือเป็นการตอบรับ
ภายในห้องนี้ เต็มไปด้วยความเงียบงัน
อากาศเหมือนถูกแช่แข็ง
หลังจากผ่านไปสักพัก จวินจิ่วชิงลุกขึ้นยืน
“ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดคุยอันใดกันอีกแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ลุกขึ้นยืนทันที
“ที่ข้ามาวันนี้ ข้าจะต้องพาท่านพ่อกลับไปให้ได้!”
จวินจิ่วชิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เหมือนว่าจะไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของนางเลย และเขาก็พูดขึ้นเสียงเบา
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเปลืองแรง สิ่งที่ข้าพูดไปเมื่อครู่นี้ เจ้าได้ยินไม่ชัดเจนหรือ?”
รูม่านตาของฉู่หลิวเยว่หดตัวลง
“เจ้าหมายความว่าอย่างใด!?”
จวินจิ่วชิงเอียงศีรษะ แล้วยิ้มขึ้นอย่างชั่วร้าย
“ข้าหมายความว่า…ตอนนี้ฉู่หนิงไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วไง”
เขาเหลือบสายตามองฉู่หลิวเยว่ครู่หนึ่ง
“ข้ารู้ว่าวันนี้เจ้าจะมา ดังนั้นจึงเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว น่าเสียดาย ข้าคิดว่าเจ้ามาที่นี่อย่างเปล่าประโยชน์แล้ว หากเจ้าคิดว่าจะพาฉู่หนิงกลับไป เจ้าเปลี่ยนความคิดเสียดีกว่า หรือว่า…เจ้าจะต้องเอาชนะข้าให้ได้!”
มือที่สอดอยู่ในแขนเสื้อของฉู่หลิวเยว่กำหมัดกรอด!
“ข้ายังมีธุระต่ออีก ข้าขอตัวก่อน เจ้า…เชิญตามสบายเถอะ”
จวินจิ่วชิงพูดจบ เขาก็สาวเท้าเดินออกไป ราวกับว่าเขาไม่กังวลเลยถ้าฉู่หลิวเยว่จะเปิดกลไกทั้งหมดในห้องนี้ เพื่อตามหาฉู่หนิง
“อ่า จริงสิ”
จวินจิ่วชิงชะงักฝีเท้าไปหนึ่งก้าว จากนั้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา
ใบหน้าของเขาสะท้อนกับแสงจันทร์ ใบหน้าสมบูรณ์แบบ ดวงตากึ่งมืดกึ่งสว่าง
“ในเมื่อเจ้าเชื่อใจคู่หมั้นคนนั้นของเจ้าขนาดนั้น เช่นนั้นก็ไปดูเสียหน่อยเถอะ สิ่งที่เขากำลังทำในตอนนี้ เจ้าจะต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน”
เมื่อพูดจบ เขาก็เดินจากไปทันที โดยไม่หันกลับมา
…
ฉู่หลิวเยว่ยืนนิ่งอยู่ภายในห้องทรงอักษรครู่หนึ่ง
จนกระทั่งเงาร่างของจวินจิ่วชิงหายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว นางก็ขมวดคิ้วขึ้น แต่ก็ยังเดินไปที่ชั้นวางหนังสือ
ด้วยประสบการณ์หนึ่งครั้งก่อนหน้านี้ของนาง กอปรกับการช่วยเหลือของเฉินอี ตอนนี้จึงสามารถปลดผนึกกลไกได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น
“แกร๊ก”
ช่องทางลับถูกเปิดขึ้นมา
ด้านในนั้นว่างเปล่า อย่างที่คาด
ฉู่หลิวเยว่เปิดกลไกอื่นอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่พบอันใดเลย
ที่สำคัญที่สุด นางไม่พบร่องรอยลมปราณของฉู่หนิงที่นี่เลย
สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่า ฉู่หนิงไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
แต่มีบางอย่างที่ฉู่หลิวเยว่ยังไม่เข้าใจ
ตั้งแต่ตอนที่จวินจิ่วชิงส่งคนให้ไปลักพาตัวฉู่หนิงมา จนถึงตอนนี้ ความจริงแล้วเวลาก็ไม่ได้ผ่านไปนานเท่าไร แต่เหตุใดเขาถึงไม่ทิ้งร่องรอยอันใดไว้เลย
เขาทำได้อย่างใดกันแน่?
ฉู่หลิวเยว่คิดอยู่นานก็ยังไม่ได้คำตอบ นางกวาดสายตาตามหาคนด้วยความหมดหวัง สุดท้ายนางก็เลือกที่จะจากไป
…
ในคืนนั้นเหมือนว่าจะผ่านไปอย่างสงบเรียบร้อย
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉู่หลิวเยว่ได้รับข่าวว่าราชวงศ์ซีเหยียนและราชวงศ์ตงหนิงเตรียมตัวจะจากไปแล้ว
หุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงถูกทำลายไปแล้ว และทุกอย่างก็สงบเรียบร้อยดี
พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีความหมายแล้ว
ส่วนราชวงศ์ไท่อวี่ที่สูญเสียมากที่สุดก็ได้เดินทางออกไปตั้งแต่เมื่อวานก่อนแล้ว
เดิมทีฉู่หลิวเยว่ต้องการจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวัน เพื่อตามหาที่อยู่ของท่านพ่อของนาง
แต่หลังจากที่นางครุ่นคิดมาแล้ว การกระทำของนางเช่นนี้ถือว่าอันตรายและชัดเจนอย่างมาก
เมื่อเวลาผ่านไป จะดึงดูดให้คนสงสัยมากยิ่งขึ้น
และที่สำคัญมากกว่านั้น หลังจากที่นางคุยกับจวินจิ่วชิงในคืนนั้น จวินจิ่วชิงประกาศออกไปว่าจะปิดด่านฝึก ไม่ว่าใครก็หาไม่เจอ
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการจะคุยกับนางอีกต่อไปแล้ว
ดังนั้นสุดท้ายฉู่หลิวเยว่จึงตัดสินใจว่าจะพาคนสองสามคนออกไปก่อน
ส่วนทางด้านนี้ นางจะทิ้งคนเอาไว้ที่นี่ เพื่อตามหาที่อยู่ของฉู่หนิงอย่างลับๆ
สิ่งที่สามารถปลอบใจฉู่หลิวเยว่ได้อย่างเดียว คือ จวินจิ่วชิงเห็นว่าฉู่หนิงเป็นตัวต่อรอง และหวังว่าเขาจะไม่ทำอันใดที่มันเกินไป
อย่างน้อยที่สุดเรื่องความเป็นความตายของฉู่หนิง นางก็หมดห่วงไปได้
เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่นางนึกถึงท่าทางได้รับความทุกข์ทรมานของฉู่หนิงที่นางเห็นในวันนั้น นางจึงรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก
ตอนนี้นางเองก็มีวิธีอื่นแล้ว
…
การเดินทางกลับของฉู่หลิวเยว่ถือว่าราบรื่นอย่างมาก เนื่องจากมีหลายคนที่ฝีมือแข็งแกร่งขึ้น และความเร็วในการเดินทางก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย
ยกเว้นเชียงหว่านโจวที่กำลังสลบไสลอยู่ คนอื่นๆ ก็ได้ผ่านพิธีล้างบาปของสามหยวนรวมยอดแล้ว ทุกคนจึงมีความก้าวหน้าไม่มากก็น้อย
บาดแผลของหลายคนไม่เพียงแต่จะหายดีแล้ว อีกทั้งเจี่ยนเฟิงฉือและคนอื่นๆ ก็ได้ทะลวงจากระดับพลังแล้ว
มู่หงอวี่เป็นคนเดียวที่ไม่ได้เลื่อนระดับ
เรื่องนี้จึงทำให้นางกังวลอย่างลับๆ
เพราะว่านางอยู่ระดับหกขั้นสูงสุดมานานแล้ว
หลังจากผ่านการฝึกฝนมานานขนาดนี้ กอปรกับผ่านการใช้สามหยวนรวมยอดมาแล้วหนึ่งครั้ง นางคิดว่าตนเองจะสามารถเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่น
แต่ว่า…เปล่าเลย
นางสามารถแตะกำแพงนั้นอย่างคลุมเครือ แต่ก็ยังไม่สามารถก้าวผ่านไปได้
“เฮ้อ ตอนนี้ข้าเป็นคนที่ระดับพลังต่ำที่สุดแล้ว”
ระหว่างเดินทางกลับ มู่หงอวี่ก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้
ความจริงแล้วพรสวรรค์ของมู่หงอวี่ก็ไม่ได้อ่อนแอ อีกทั้งความเร็วในการฝึกฝนก็ไม่เรียกว่าช้า
เมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่แล้ว แน่นอนว่านางเป็นคนที่ยอดเยี่ยมไม่น้อย
น่าเสียดายที่คนที่ร่วมทางมากับนางนั้นล้วนเป็นยอดฝีมือของราชวงศ์เทียนลิ่ง ดังนั้นจึงทำให้นางไม่ได้ดูโดดเด่นขึ้น
“เลื่อนขั้นได้ช้ากว่าหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่นะ”
ฉู่หลิวเยว่พูดปลอบใจ
“จอมยุทธ์ระดับเจ็ดมีอุปสรรคขวางกั้นที่ยิ่งใหญ่ อยากจะข้ามผ่านไปนั้นมันคงไม่ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังเป็นร่างซวีหยวนด้วย ดังนั้นต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง”
มู่หงอวี่พยักหน้า
ตอนที่นางรอฉู่หลิวเยว่อยู่ด้านนอกหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวง นางก็เคยได้ยินคนอื่นพูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน
ที่ฉู่หลิวเยว่สามารถเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่น แต่ไม่ได้หมายความคนอื่นจะทำได้เช่นกัน
ดังนั้นตอนที่พวกเขาเห็นความสำเร็จของฉู่หลิวเยว่ พวกเขาจึงรู้สึกตกใจกันอย่างมาก
“ข้ารู้ว่าการเลื่อนขั้นไปสู่ระดับเจ็ดนั้นยาก แต่ว่าร่างซวีหยวนของข้านั้น เกี่ยวอันใดด้วยเล่า?”
หรือว่าจะทำให้การเลื่อนขั้นของนางนั้นยากยิ่งขึ้น
ฉู่หลิวเยว่มองไปทางนางแล้วพยักหน้าขึ้นลงอย่างจริงจัง
**********************************