ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1033 วินิจฉัย
ตอนที่ 1033 วินิจฉัย
เสียงของนางดังโพล่งขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงัดภายในห้องโถงใหญ่
หลินเทียนเฟิงขมวดคิ้วฉับ
“กระไรกัน เจ้าว่าไม่ดีหรือ?”
ครั้นหลู่อวี้เออร์รู้สึกตัวว่าตนเผลอเสียการควบคุม ก็พลันรีบยิ้มกลบเกลื่อนทันที
“ไม่ใช่ๆ คุณท่านโปรดอย่าเข้าใจผิด ข้าก็แค่…ข้าก็แค่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย…”
เด็กสาวผู้นี้ดูแล้วมิได้มีสิ่งใดพิเศษกว่าผู้อื่นเลย แต่ไฉนเขาจึงยอมให้นางรักษาอาการของหลินจือเฟยกัน?
“สามารถทำให้คุณท่านยินยอมได้ หมายความว่าสาวน้อยผู้นี้จักต้องแข็งแกร่งมาก”
นางเอ่ยพลางหันไปมองฉู่หลิวเยว่อยู่หลายครา
“และระดับเซียนหมอของคุณหนูตู๋กูผู้นี้ คงจะสูงมากเป็นแน่?”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบาง
“ฮูหยินหลินก็พูดเกินไป ตอนนี้ข้ายังเป็นแค่เซียนหมอระดับเจ็ดเท่านั้น”
หลู่อวี้เออร์เบิกตากว้างราวไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
พลันหันไปมองหลินเทียนเฟิงโดยไม่รู้ตัว
หลินเทียนเฟิงจึงตอบว่า
“ถึงสาวน้อยผู้นี้จะเป็นเพียงเซียนหมอระดับเจ็ด แต่นางมีความสามารถมากนัก ให้นางลองดูก่อนเถิด บางทีนางอาจจะทำสำเร็จก็ได้”
หลู่อวี้เออร์เริ่มคิดว่าหลินเทียนเฟิงกำลังล้อเล่นอันใดอยู่
นี่เขาล้อนางเล่นใช่หรือไม่?
ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับคิดว่าเซียนหมอระดับเจ็ดจะสามารถรักษาหลินจือเฟยได้อย่างนั้นหรือ?
นางยังจำได้แม่นว่า เนื่องจากหาวิธีรักษาหลินจือเฟยไม่ได้ ตอนนั้นหลินเทียนเฟิงถึงเกรี้ยวกราดใส่เซียนหมอระดับแปดระดับเก้าประจำตระกูลเหล่านั้นจนหน้าเสียไปตามๆ กัน!
แต่ตอนนี้ เหตุใดมันกลับเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า?
“คุณท่าน ข้ารู้ว่าท่านกังวลเรื่องสภาพกายของจือเฟย แต่…แต่พวกเราจะรักษาเขาซี้ซั้วไม่ได้!”
และยิ่งได้รู้ว่าตู๋กูเยว่เป็นเซียนหมอระดับกลางๆ หลู่อวี้เออร์ก็ยิ่งไม่ไว้ใจนางเข้าไปใหญ่ ก่อนจะดึงหลินเทียนเฟิงไปทางตนแล้วเอ่ยด้วยความวิตกกังวล
“เด็กสาวผู้นี้…เป็นลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ แล้วท่านยังจะให้นางช่วยรักษาจือเฟยอีกหรือ? ท่านเองก็รู้ว่าจือเฟยเกลียดการพบปะคนแปลกหน้ามากที่สุด ถ้าเขาอาการกำเริบขึ้นมา…”
“ข้าอยู่ที่นี่ทั้งคน ไม่มีอันใดที่เจ้าต้องกังวล”
แต่หลินเทียนเฟิงกลับได้ใส่ใจความวิตกของหลู่อวี้เออร์ไม่
ก็แค่หญิงสาววัยละอ่อนพร้อมลูกติดหนึ่งคน แถมยังเป็นคนนอกพรมแดนอีก จะสร้างปัญหาอันใดให้เขาได้กัน?
ภายในจวนตระกูลหลินแห่งนี้มีเรื่องที่เขาต้องเกรงกลัวด้วยหรือ?
“แต่ว่า…”
“ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้นางเคยพบกับจือเฟยมาแล้ว ดังนั้นนางจึงมิใช่คนแปลกหน้า”
นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลินเทียนเฟิงยอมตกลงให้นางได้ลองทำการรักษา
หลินจือเฟยมีนิสัยชอบเก็บตัว พูดน้อย แม้แต่คนในตระกูลหลินเองก็แทบจะไม่สามารถพูดคุยกับเขาได้
แต่ในเมื่อเขายอมเอ่ยปากพูดคุยกับแม่นางคนนี้ เช่นนั้น…ให้นางลองดูหน่อยก็ไม่เสียหาย
หลู่อวี้เออร์แอบประหลาดใจอีกครั้ง
เรื่องเช่นนั้น…เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดนางถึงไม่เคยรู้มาก่อน?
นางอยากจะพูดอันใดมากกว่านี้ แต่เมื่อเห็นว่าหลินเทียนเฟิงได้ตัดสินใจแล้ว นางจึงวางตัวอย่างชาญฉลาดแล้วหยุดคัดค้านเขา
“เช่นนั้น…ก็เอาตามที่ท่านว่า ขอแค่จือเฟยหายดี อย่างอื่นย่อมไม่สำคัญ”
สำหรับนางเรื่องนี้มันดูผิดปกติเกิดควร แต่ไม่แน่ว่าหลังจากลองรักษาแล้ว อีกฝ่ายอาจจะคว้าน้ำเหลวในตอนท้ายก็ได้!
เมื่อคิดเช่นนี้ จิตใจที่หวาดระแวงของหลู่อวี้เออร์ก็ผ่อนปรนลงเล็กน้อย
หลินเทียนเฟิงหันไปมองฉู่หลิวเยว่
“เจ้าตามข้ามาเสีย”
…
หลินจือเฟยคือคุณชายลำดับสี่ผู้สูงศักดิ์แห่งจวนหลิน แต่ตัวเขาอาศัยอยู่ในเรือนล้อมลานสี่เหลี่ยมทางตะวันตกเฉียงใต้ของจวนหลิน
ฉู่หลิวเยว่เดินตามหลินเทียนเฟิงมาไกลพอสมควร และในที่สุดก็ถึงที่หมาย
ฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่นอกลานพลางมองผ่านประตูทรงกลมประหนึ่งพระจันทร์เต็มดวงเข้าไป ก่อนจะเห็นกอไผ่สีเขียวสดที่แผ่ขยายปกคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของลานบ้าน
เมื่อเห็นหลินเทียนเฟิงมาเยือน คนรับใช้ก็ออกมาต้อนรับเขาอย่างไว
“ท่านประมุข”
หลินเทียนเฟิงโบกมือเป็นสัญญาณและมองเข้าไปข้างใน
“จือเฟยอยู่ที่ไหน?”
“เรียนท่านประมุข สองวันมานี้คุณชายสี่พักผ่อนอยู่ในเรือนทั้งวัน และยามนี้ก็กำลังอ่านตำราอยู่ขอรับ”
หลินเทียนเฟิงพยักหน้า
“เจ้าไปแจ้งเขาทีว่า… ข้าได้เชิญเซียนหมอท่านหนึ่งมาตรวจดูอาการของเขา”
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเกิดสถานการณ์เดียวกันนี้ขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน และคนรับใช้ในเรือนแห่งนี้ก็คุ้นชินกับมันแล้ว หลังจากน้อมรับคำส่ง เจ้าตัวก็หันหลังกลับไปรายงานเจ้าของเรือน
ทว่าในขณะที่กำลังจะจากไป เขากลับเหลือบมองฉู่หลิวเยว่ที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างรวดเร็ว พลันเกิดความสงสัยขึ้นในใจ
แม่นางผู้นี้ช่างไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเอาเสียเลย เซียนหมอที่ท่านประมุขเชิญมา คงมิใช่นางผู้นี้หรอกกระมัง?
แต่ยังไม่ทันจะได้ถาม เขาก็จำต้องรีบกลับเข้าไปแจ้งเจ้าของเรือนเสียก่อน
ไม่นานนัก เด็กรับใช้คนนั้นก็กลับมา
“ท่านประมุข คุณชายสี่เชิญท่านและเซียนหมอเข้าไปข้างในขอรับ”
แต่หลินเทียนเฟิงมิได้เข้าไปในทันที กลับกัน เขาหันไปมองหลู่อวี้เออร์ที่อยู่ข้างๆ แทน
“อวี้เออร์ เช่นนั้นเจ้า…กลับไปก่อนเถิด”
หลู่อวี้เออร์แลดูไม่แปลกใจกับคำพูดนั้น และพยักหน้าเบาๆ
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองคนทั้งสองจากด้านข้าง พลันคิดในใจว่า
ตระกูลหลินนี่ก็น่าสนใจเหมือนกัน
หลินเทียนเฟิงนั้นเป็นถึงประมุขของตระกูล แต่หากต้องการเข้าไปด้านในเรือน ก็จำต้องแจ้งบุตรชายล่วงหน้าเสียก่อน
อีกทั้งนายหญิงของตระกูลหลินผู้นี้ ก็ยิ่งไม่ได้รับการยอมรับ และไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเรือนด้วยซ้ำ
หลินเทียนเฟิงพยักหน้าด้วยความโล่งใจ
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจ้ารักและหวังดีต่อจือเฟยอย่างสุดหัวใจ ถึงตอนนี้เขาจะยังไม่เข้าใจ แต่ไม่ช้าก็เร็ว เขาจะยอมรับเจ้า”
หลู่อวี้เออร์แสดงท่าทีอดกลั้นและคับข้องใจออกมาเล็กน้อย แต่นางก็ยังยิ้มรับเขาอย่างอ่อนโยน
“คุณท่านพูดถูก ท่านพาสาวน้อยผู้นี้เข้าไปเถิด อวี้เออร์จักออกไปก่อน”
หลังจากพูดจบ นางก็โค้งคำนับและจากไปทันที
หลินเทียนเฟิงถอนหายใจพลางรู้สึกผิด ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปข้างใน
“ไปกันเถอะ”
ฉู่หลิวเยว่ดึงกู๋ตูโม่เป่าให้เดินตามหลังนางเข้าไป
…
เมื่อเขามาข้างในเรือน ก็พบกับหลินจือเฟยที่กำลังอ่านตำราอยู่
ครั้นได้ยินการเคลื่อนไหว เขาลุกขึ้นยืน
“ท่านพ่อ”
“พ่อลูกไม่จำเป็นต้องทำความเคารพกันเป็นทางการเช่นนั้น รีบนั่งลงได้แล้ว!”
หลินเทียนเฟิงเดินไปหาเขาอย่างฉับไว
หลินจือเฟยพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะหันไปมองตู๋กูเยว่ที่อยู่ข้างหลังเขา
พลันผงะชะงักงันไปครู่หนึ่ง
“เจ้าเองหรือ?”
แม้ว่าใบหน้านี้จะดูธรรมดาสามัญ แต่ดวงตากลมคู่นั้นกลับแวววับราวหยกดำเนื้อดี ไหนจะเด็กน้อยผมสีม่วงตาสีม่วงที่อยู่ถัดจากนางอีก มันยิ่งทำให้เขาจำนางโดยมิยาก
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มทักทายเขา
“ข้าตู๋กูเยว่ ยินดีที่ได้พบกับคุณชายสี่เจ้าคะ”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนรู้จักกันจริงๆ หลินเทียนเฟิงก็รู้สึกสบายใจ
และจู่ๆ ก็เหมือนว่าหลินจือเฟยจะนึกอันใดขึ้นได้
“เจ้า…คือเซียนหมอที่ท่านพ่อเชิญมาหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่สบตาเขา
“อันที่จริงข้าเป็นคนมาเอง คราวที่แล้วข้าซาบซึ้งในความช่วยเหลือของคุณชายสี่มาก และไม่เคยมีโอกาสขอบคุณเลยสักที ดังนั้นครานี้ข้าจึงเดินทางมาที่นี่เป็นกรณีพิเศษ เพื่อตอบแทนน้ำใจและช่วยเหลือคุณชายสี่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
หลินจือเฟยตกตะลึงครู่ใหญ่ ก่อนที่จะค่อยๆ รู้สึกตัว
เขามองไปยังหลินเทียนเฟิงที่อยู่ข้างกัน
ตู๋กูเยว่คนนี้เป็นคนนอก แต่พ่อของเขากลับยินยอมให้นางมาช่วยรักษาเขา หรือว่านางจะเป็นผู้มีวิชาแกร่งกล้าจริงๆ?
“เจ้าอย่ามาเสียเวลากับข้าเลย”
ริมฝีบางบางเฉียบของหลินจือเฟยแย้มยิ้มบางเบา แต่รูม่านตาสีอ่อนของเขากลับเต็มไปด้วยความห่างเหินและไม่แยแส
“ข้ารู้ดีว่าสภาพร่างกายของตัวเองเป็นเช่นไร”
ลองรักษามาตั้งหลายวิธีแล้ว แต่มันก็ไม่เคยได้ผลเลยสักครั้ง
และเขาก็ไม่คิดว่าแม่นางตรงหน้าจะทำได้เช่นกัน
แต่ฉู่หลิวเยว่ไม่คิดจะท้อถอย
“คุณชายสี่ คนเรานั้นต้องลองทำดูก่อนถึงจะรู้ซึ่งผลที่ตามมา มิใช่หรือ?”
หลินเทียนเฟิงเองก็ช่วยเกลี้ยกล่อมเช่นกัน
“ถูกต้อง! จือเฟย พ่อรู้ว่าเจ้าไม่อยากสร้างปัญหาไปมากกว่านี้ แต่ทว่า หากเป็นเซียนหมอทั่วไป พ่อคงไม่ยอมให้นางมาพบเจ้าแน่ๆ แต่แม่นางผู้นี้…มีทักษะวิชาบางอย่าง เจ้าลองให้นางสัมผัสชีพจรของเจ้าก่อนเถอะ ส่วนเรื่องราวที่เหลือก็ค่อยมาคุยกันหลังตรวจเสร็จ เจ้าว่าอย่างใด?”
เมื่อได้ยินหลินเทียนเฟิงพูดเช่นนี้ หลินจือเฟยก็มิอาจปฏิเสธได้
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ยอมพยักหน้าตอบ
“ตกลง”
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ก้าวไปข้างหน้า
หลินเทียนเฟิงดึงผ้าออกมาผืนหนึ่ง แล้ววางลงบนข้อมือของหลินจือเฟย
ฉู่หลิวเยว่เองก็มิได้รังเกียจ ก่อนจะกดปลายนิ้วเรียวขาวผ่องลงบนมันเบาๆ