ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1036 ตาบอดแล้วแน่ๆ
ตอนที่ 1036 ตาบอดแล้วแน่ๆ
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงกันอย่างเสร็จสรรพ ฉู่หลิวเยว่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เดิมทีนางแค่ต้องการหาคนที่สามารถช่วยจัดการกับหลู่อี้เท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะได้รับโอกาสเข้าร่วมเดินทางผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายระดับหนึ่งไปพร้อมกับพวกเขาเช่นนี้
และในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องทั้งหมดก็ไม่มีความหมายแล้ว และนางก็ไม่จำเป็นจะต้องคิดมาเรื่องคำขู่และการคุกคามจากหลู่อี้อีกต่อไป
ดังนั้นฉู่หลิวเยว่จึงเริ่มหันไปให้ความสำคัญกับการรักษาหลินจือเฟยแทน
“ร่างกายของคุณชายสี่เจ็บป่วยเรื้อรังมานาน และถ้าต้องการแก้ปัญหาให้จบสิ้นโดยเร็ว จักต้องใช้วิธีที่โหดร้ายพอสมควร แต่น่าเสียดายที่ยามนี้ร่างกายของเขาอ่อนแอมาก และจะต้องพักฟื้นสักระยะหนึ่งก่อน ถึงจะสามารถทำการรักษาได้”
ฉู่หลิวเยว่กล่าวเช่นนั้น พลางหยิบพู่กันออกมาแล้วเขียนใบสั่งยาให้
“ประมุขหลินโปรดจัดเตรียมสมุนไพรตามใบที่ข้ามอบให้ เราจะนำมันมาใช้ปรุงโอสถ”
หลินเทียนเฟิงรับมันมาอย่างไว
เขากวาดสายตาอ่านคร่าวๆ ก่อนจะเห็นว่าพวกมันคือสมุนไพรบำรุงเลือดและลมปราณนานาชนิด ก่อนจะพยักหน้ารู้
“เอาล่ะ! ในจวนข้ามีของพวกนี้อยู่ ประเดี๋ยวข้าจะส่งคนไปขนมันมาให้!”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
สมุนไพรส่วนใหญ่ในใบสั่งยานั่นเป็นสมุนไพรที่หาได้ทั่วไป แต่มันก็ยังมีสมุนไพรหาอยากและล้ำค่าปะปนอยู่ด้วย
แต่หลินเทียนเฟิงกลับกล่าวว่าในจวนของพวกเขามีสมุนไพรเหล่านั้นทั้งหมด แสดงว่าพื้นเพตระกูลของเขาย่อมไม่ธรรมดาเป็นแน่!
สุดท้ายแล้ว อย่างใดเสียต้นตระกูลของเขาก็มาจากอาณาจักรเสิ่นซวี่…
“ประมุขหลิน ข้าจะสื่อความว่า เชิญท่านไปนำมันมาด้วยตนเอง และห้ามยืมมือผู้อื่นเด็ดขาด”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ
“ข้าเห็นว่าท่านดูคุ้นเคยกับสมุนไพรเหล่านี้ดี เช่นนั้นคงไม่ยากเกินความสามารถของท่านใช่หรือไม่?”
สาเหตุที่เขาคุ้ยเคยและจดจำสมุนไพรเหล่านี้ได้ขึ้นใจ นั่นเพราะตลอดหลายปีมานี้ เขาใส่ใจเรื่องอาการป่วยของจือเฟยมากเป็นพิเศษ
จนแทบจะกลายเป็นเซียนหมออยู่รอมร่อ
ทว่าเมื่อได้ยินฉู่หลิวเยว่เอ่ยเช่นนั้น เขาก็พลันงงงวยแล้วชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“มันไม่ยากหรอก แต่…ไฉนข้าถึงต้องไปด้วยตัวเอง…”
แต่แล้วจู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
“เจ้าหมายความว่า…มีคนทำอันใดกับสมุนไพรเหล่านี้หรือ?”
“ข้าเป็นเซียนหมอ และเกรงว่าตอนนี้ข่าวคราวที่ข้ามารักษาอาการป่วยให้คุณชายสี่ คงจะแพร่สะพัดไปทั่วแล้ว แม้ว่าคุณชายสี่จะเกิดมาพร้อมอาการเจ็บป่วย แต่ตอนแรกมันก็ไม่ร้ายแรงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามีคนเข้ามายุ่งกับพวกมัน…”
ฉู่หลิวเยว่กล่าวอย่างลังเล พลางจ้องมองหลินเทียนเฟิงด้วยสายตาแน่วแน่ ก่อนจะเห็นว่าเขาเริ่มขมวดคิ้ว
“เรื่องอื่นข้ามิอาจล่วงรู้ แต่ข้ารู้แค่ว่า หากท่านห่วงใยคุณชายสี่สุดใจ เช่นนั้นท่านควรไปนำสมุนไพรเหล่านี้มาด้วยตัวเอง มันถึงจะปลอดภัย”
หลังจากฉู่หลิวเยว่พูดจบ ทั่วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ
หลินจือเฟยชายตามองฉู่หลิวเยว่เล็กน้อย พร้อมแววตาที่แฝงด้วยนัยยะ
นางช่างฉลาดหลักแหลม…ทั้งๆ ที่เพิ่งมาถึงจวนตระกูลหลินได้ไม่นาน และวัดชีพจรให้จือเฟยเพียงหนึ่งครั้ง แต่กลับคาดเดาหลายสิ่งหลายอย่างได้แล้ว
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หลินเทียนเฟิงเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป
เขาไม่กลัวว่าตู๋กูเยว่จะทำอันใดตอนเขาไม่อยู่
เพราะนอกจากเขาแล้ว ก็ยังมียอดฝีมืออีกหลายคนที่เฝ้าจับตาดูอยู่ทั้งในและนอกเรือน
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ได้ลองพูดคุยกันแล้ว เขากลับเชื่อใจแม่นางผู้นั้นเสียเต็มประดา
ครานี้…คงต้องลองเสี่ยงดวงกันดูสักตั้ง!
…
หลังจากที่หลินเทียนเฟิงจากไป ฉู่หลิวเยว่ก็หันไปมองหลินจือเฟยอีกครั้ง
“หากคุณชายสี่ไม่ถือสา เช่นนั้นให้ข้าลองรักษาอาการเบื้องต้นให้ท่านก่อนดีหรือไม่?”
หลินจือเฟยไม่ตอบ หากแต่เหยียดข้อมือที่ผอมบางของตนออกไปข้างหน้า
แต่จู่ๆ ก็เกิดลังเลขึ้นมา เนื่องจากมิได้หยิบผ้าที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาพันข้อมือ
ฉู่หลิวเยว่ช่วยวัดชีพจรให้เขา และในขณะเดียวกันก็รีบเงยหน้าจับสังเกตอีกฝ่ายไปด้วย
สองพ่อลูกคู่นั้นระมัดระวังเรื่องการวัดชีพจรมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเคยประสบปัญหาขณะวัดชีพจรมาก่อน
การที่เขาต้องมีสภาพอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น ย่อมจินตนาการได้ไม่ยากเลยว่า หลายปีที่ผ่านมานี้เขาต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานเพียงใด
แต่มันเป็นเพียงความคิดชั่ววูบที่แวบเข้ามาในหัวของนางเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่รีบกลั้นหายใจและตั้งสมาธิ จากนั้นก็แบ่งพลังปราณดั้งเดิมออกมาสายหนึ่ง แล้วถ่ายเทมันเข้าไปในร่างกายของเขา
และคราวนี้นางถ่ายพลังปราณดั้งเดิมลงไปเยอะกว่าเดิมหลายเท่า
เมื่อมันไหลผ่านชีพจรดั้งเดิมของหลินจือเฟย ฉู่หลิวเยว่ก็บังคับให้พลังปราณของนางโจมตีใส่สิ่งที่ติดอยู่บนนั้น!
“เฮือก…”
หลินจือเฟยร้องด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของเขาซีดลงทันที
ฉู่หลิวเยว่พลันขมวดคิ้ว
“เจ็บมากเลยหรือ?”
หลินจือเฟยเม้มปากแน่นแล้วส่ายศีรษะ
“ไม่เป็นไร เจ้าทำต่อเถอะ”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าตอบ
“อดทนหน่อยนะ”
คราวนี้ถึงหลินจือเฟยจะเจ็บปวดเพียงใด แต่เขาก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมา
และพอเจ้าสิ่งนั้นถูกพลังปราณโจมตีใส่ด้วยความรุนแรงเช่นนี้ มันก็หนีไปอีกทางอย่างเร็ว!
ฉู่หลิวเยว่รีบคิดหาทางดักมัน พลังปราณดั้งเดิมแปลเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงสีแดงฉานในทันที! แล้วไล่ล่ามันด้วยความเร็วสูง!
ความเจ็บปวดของการถูกแผดเผากระจายออกมาภายในร่างของเขา!
ใบหน้าของหลินจือเฟยแดงเถือก! พร้อมเส้นเลือดโปดปูนที่ปรากฏขึ้นบนหน้าผากได้รูป!
ขณะนี้เปลวเพลิงสายนั้นได้ทำการเข้าห้อมล้อมชีพจรดั้งเดิมไว้ด้วยความเร็วสูง!
เปลวเพลิงโหมลุกไหม้!
และทันใดนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็ได้ยินเสียงแหลมปรี๊ดเสียดแก้วหู!
ในไม่ช้า สิ่งประหลาดที่มีลักษณะคล้ายลูกกลมๆ ที่อยู่บนชีพจรดั้งเดิม ก็หลุดออกทีละชิ้นและถูกเพลิงนั่นเผาไหม้จนไม่เหลือซาก!
“อึก…”
ในที่สุด หลินจือเฟยก็กลั้นเสียงไว้ไม่อยู่
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองเขาด้วยหางตา ก่อนจะเห็นว่าหน้าผากของเขานั้นเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ และริมฝีปากบางนั่นก็ซีดเซียวนัก ดังนั้นนางจึงเรียกเปลวเพลิงกลับคืนสู่ที่ของมัน
ทันทีที่ปล่อยมือ หลินจือเฟยก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ และทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง
ราวกับคนที่พลัดตกน้ำแล้วถูกลากขึ้นมาก็มิปาน ช่างน่าอายยิ่งนัก
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจเบาๆ
นี่เป็นแค่การเริ่มรักษาเท่านั้น แต่มันกลับทำให้เขาระบมเสียขนาดนี้แล้ว
หากต้องการรักษาเขาให้หายขาดจริงๆ จะต้องใช้ความพยายามและความอดทนอดกลั้นอย่างมาก
“ข้าว่าวันนี้พอแค่นี้เถอะ คุณชายสี่โปรดพักผ่อนให้เพียงพอ โรคเรื้อรังที่สั่งสมมาหลายปีเช่นนี้ มิอาจฝืนเร่งรักษาได้”
หลิอจือเฟยพยักหน้าเข้าใจ
“…ขอบคุณ…มาก…”
แม้ว่าภายในร่างกายของเขาจะรู้สึกเจ็บปวดจนแทบรับไม่ไหว แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
และสิ่งนี้ทำให้เขาเริ่มมีความหวังขึ้นอีกครา
บางที…แม่นางที่อยู่ตรงหน้าเขาอาจจะสามารถช่วยรักษาเขาได้จริงๆ…
“เมื่อก่อนคุณชายสี่เคยช่วยพวกเราไว้ เราจึงอยากจะตอบแทนบุญคุณของท่าน ฉะนั้นแล้วคุณชายสี่มิต้องเป็นกังวลไป แค่รักษาสุขภาพของท่านให้ดีก็พอ และเพื่อไม่เป็นการรบกวน พวกเราต้องขอตัวลา”
หลังจากพูดจบฉู่หลิวเยว่ก็พาตู๋กูโม่เป่าออกไปทันที
ครั้นร่างเงาของทั้งสองคนหายไปจากครรลองสายตาอย่างสมบูรณ์ หลินจือเฟยก็หลับตาลงช้าๆ
สักพักก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านข้าง
“คุณชายสี่ ท่านว่า…ข้าควรไปตักเตือนหลู่อี้สักที ดีหรือไม่?”
ปกติแล้วหลู่อวี้เออร์จะเป็นคนคอยสะสางปัญหาที่หลู่อี้ก่อไว้ทั้งหมด ทำให้เรื่องเหล่านั้นไม่แพร่กระจายไปถึงหลินเทียนเฟิง
แต่เมื่อวานนี้หลู่อี้ได้ส่งคนไปขัดขวางการทำงานของค่ายกลเคลื่อนย้ายระดับสองและระดับสาม และจงใจขังแม่ลูกตู๋กูไว้ในเมือง แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาเสียอย่างนั้น ขนาดที่ว่าพวกเขาที่อยู่ทางนี้ยังรู้เรื่องเลย
หลินจือเฟยโบกมือ
“ไม่ต้อง”
“ในที่สุด ครานี้ก็ถึงคราวซวยของเจ้านั่นแล้ว ปล่อยให้เขารับกรรมของตัวเองไปเถอะ”
“ขอรับ”
“นอกจากนี้…ตระกูลหลู่เองก็เอาเปรียบตระกูลหลินของข้ามากเกินพอแล้ว แค่ฉวยประโยชน์จากโอกาสนี้จัดการพวกเขาก็พอ”
“คุณชายสี่วางแผนไว้แล้วสินะขอรับ”
“ครั้งนี้คงต้องพึ่งตู๋กูเยว่ผู้นั้นเป็นหลัก”
หลินจือเฟยยิ้ม
“นางเองก็เป็นคนฉลาด”
ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากนาง เขาคงไม่มีวันได้โอกาสเช่นนี้มาครอบครอง
และที่สำคัญก็คือ…
ถ้าร่างกายของเขากลับมาเป็นปกติได้จริงๆ ล่ะก็..
“มีของดีข้างกายเช่นนี้ ข้าล่ะไม่รู้จริงๆ ว่าสามีของนางคิดอันใดอยู่…เขาต้องตาบอดแน่ๆ!”