ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1046 อคติ
ตอนที่ 1046 อคติ
การปรากฏตัวของหลินจือเฟย ทำลายสถานการณ์ที่กำลังเข้าตาจนอยู่ตอนนี้
เมื่อหลินเทียนเฟิงเรียกสติกลับคืนมาได้ ก็มองมายังฉู่หลิวเยว่ด้วยท่าทีที่สับสน
“คุณหนูตู๋กูไปช่วยจือเฟยก่อนเถิด”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบางประหนึ่งมิได้ยิ้ม แล้วเอ่ยตอบกลับทันควัน
“โอ้? เช่นนั้นเรื่องของคุณชายหลู่…”
“สำหรับเรื่องนี้ ประมุขหลินอย่างข้าจะเป็นคนจัดการเอง คุณหนูตู๋กู…มิต้องเป็นกังวล”
แม้ว่าเสียงของหลินเทียนเฟิงจะไม่ดังนัก แต่น้ำเสียงของเขากลับฉายแววความสง่างามที่ไม่อาจฝ่าฝืนได้
“เช่นนั้นก็ขอบพระคุณ ประมุขหลินมาก”
ได้ยินดังนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
หลู่อี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ พานใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
เอ่อ นี่พวกเขาไม่คิดจะวางแผนสืบสาวหาความผิดของตู๋กูเยว่แล้วกระนั้นหรือ?
“พี่เขย นางทำร้ายคนของข้าไปร่วมแปดคน แล้วเหตุใดจึงปล่อยให้เรื่องมันจบเช่นนี้เล่า!”
หลู่อี้ว่าพลางไล่ตามไป
หลินเทียนเฟิงขมวดคิ้วมุ่น
หลู่อวี้เออร์รู้สึกใจไม่ดี จึงรีบยื่นมือออกไปดึงหลู่อี้กลับมาไว้ได้ทันควัน ก่อนจะเรียกเตือนสติเขา
“หลู่อี้! คุณหนูตู๋กูเป็นเซียนหมอของจือเฟย ลำพังบนบ่าของนางก็แบกภาระอันหนักอึ้งไว้มากพอแล้ว เจ้าจะมาก่อปัญหาอันใดมิได้อีก!”
ได้ยินดังนั้น ในที่สุดหลู่อี้ก็เข้าใจเสียทีว่าเหตุใดเรื่องนี้จึงไม่ชอบมาพากล
เขาอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจและเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะไม่เชื่อ
“พี่สาว นี่ท่านพูดกระไร ตู๋กูเยว่…นาง…
นางคือเซียนหมอที่มาเยือนหน้าประตูจวนเพื่อจะช่วยรักษาหลินจือเฟยหรือ!”
“ก็นางน่ะสิ!”
นี่ยังไม่ชัดเจนพออีกหรือ!
หลู่อี้ตะลึงไปชั่วขณะ
“เอ่อ เป็นไปได้เยี่ยงไร…”
เมื่อสองวันก่อน ตอนที่เขาเพิ่งได้พบนางผู้นั้น นางยังเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไร้ตัวตนและภูมิหลังอยู่เลย แต่ผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วยาม นางจักกลายเป็นเซียนหมอของหลินจือเฟยไปเสียแล้ว!
เป็นนางนี่เองที่ได้เข้าร่วมงานวันคล้ายวันประสูติของโอรสสวรรค์ ในฐานะผู้ติดตามของตระกูลหลิน!
ความจริงที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันทำให้สมองของหลู่อี้ขาวโพลน
แม้ว่าเขาจะเป็นคนหุนหันพลันแล่นและเจ้าอารมณ์ แต่ก็มิใช่ผู้ที่จะไร้ปัญญาเสียทีเดียว
หากนางเป็นเซียนหมอผู้อื่นคงจะแล้วไป แต่บัดนี้ นางคือเซียนหมอของหลินจือเฟย!
อีกอย่าง ดูท่าแล้วหลินเทียนเฟิงค่อนข้างจะเชื่อใจและคอยปกป้องนางอยู่ไม่น้อย!
หรือแม้แต่หลินจือเฟยเองก็ออกหน้ารับแทนนางด้วย ซึ่งเป็นอันใดที่หาได้ยากนัก!
หลู่อี้รู้ดีว่าที่หน้าผาแดนสวรรค์แห่งนี้เขาดูเหมือนพวกไร้กฎเกณฑ์ แต่ความจริงแล้วเขาก็แค่อาศัยบุญบารมีของตระกูลหลินเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นหลินเทียนเฟิงหรือหลินจือเฟย ก็ล้วนไม่ใช่ผู้ที่เขาควรจะไปรุกรานแบบโจ่งแจ้งอย่างแน่นอน!
หลังจากที่รอฉู่หลิวเยว่จากไป หลินเทียนเฟิงก็มองไปยังทั้งสองคน
ก่อนจะผละตัวออกจากเรียวแขนของหลู่อวี้เออร์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หัวใจของหลู่อวี้เออร์จมดิ่งลง นางเกลียดตัวเองที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ถามให้ชัดเจน จนทำให้เกิดเหตุการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ต่อหน้าหลินเทียนเฟิง!
“อวี้เออร์ เจ้ารู้เรื่องนี้มาก่อนหรือไม่?”
หลินเทียนเฟิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ข้า ข้าไม่รู้!”
อวี้เออร์ปฏิเสธในสภาวะน้ำตาคลอเบ้าทันควัน
“ก่อนหน้าที่ข้าถามเขา เขาเอาแต่ปฏิเสธที่จะพูด บอกเพียงว่าจะต้องพบคุณท่านเสียก่อน และขอให้ยืนหยัดในความถูกต้องเขาถึงจะยอมพูด ผู้ใดเล่าจักรู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้”
หากว่านางรู้ก่อนเขา แล้วนางจะพาหลู่อวี้มาที่นี่เหตุใด!
หลินเทียนเฟิงไม่ได้สนใจความเศร้าโศกของนางนัก
แน่นอนว่านางเองก็ไม่รู้จริงๆ มิเช่นนั้นคงไม่กระทำเรื่องอุกอาจเยี่ยงนี้
หลินเทียนเฟิงไม่ได้ให้ความสนใจกับหลู่อวี้เออร์มาก และหันไปมองหลู่อี้แทน
หลู่อี้ตัวสั่นเทิ้ม
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าตู๋กูเยว่ทำร้ายคนของเจ้าร่วมแปดคนอย่างนั้นหรือ?”
หลินเทียนเฟิงเอ่ยถาม
หลู่อี้ลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะพยักหน้า
หลินเทียนเฟิงจ้องมองเขานิ่งๆ ไม่ไหวติง
“เช่นนั้นเจ้าก็ว่ามาสิ ว่าเจ้าส่งคนแปดคนไปจัดการกับนางได้อย่างใด!”
…
“ขอบพระคุณ คุณชายสี่ที่ออกปากช่วยเหลือข้า”
หลังจากเดินเข้าไปในห้อง ฉู่หลิวเยว่จึงถือโอกาสเอ่ยคำขอบคุณ
หลินจือเฟยนั่งลงด้วยสีหน้านิ่งเรียบเช่นเคย
“เรื่องแค่นี้ มิจำเป็นต้องเอ่ยปากขอบคุณอันใด”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้ว
การที่นางอยู่ในจวนตระกููลหลินมาสองวัน นางก็พอเข้าใจในอุปนิสัยของหลินจือเฟยและสถานการณ์ของตระกูลหลินอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ฉะนั้น ตราชั่งในใจของหลินเทียนเฟิงเองก็ย่อมเอนเอียงมาทางนี้ไปโดยปริยาย
หากว่าหลู่อี้อยากจะมีปากเสียง เกรงว่าท่าจะยากเสียแล้ว
“ท่านช่วยข้าตัดปัญหาไปได้มากมาย”
ฉู่หลิวเยว่กล่าว
หลินจือเฟยยิ้มตอบ ก่อนจะหยิบเม็ดยาออกมา
“ตอนนี้ข้าเริ่มได้เลยใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเล็กน้อย ให้ความสนใจกับสิ่งที่เขาเอ่ย
…
ภายใต้การจดจ้องของฉู่หลิวเยว่ หลินจือเฟยหยิบยาเม็ดออกมา ก่อนจะใส่มันเข้าปากไป
และทันทีที่ยาเข้าปาก มันก็เริ่มแปรสภาพและเปลี่ยนเป็นกระแสอันรุนแรงไหลตามลงไป!
เพียงชั่วพริบตา มันก็หลั่งไหลไปทั่วหลอดลมของเขา และกระจายไปยังอวัยวะภายในทั้งห้าอย่างรวดเร็ว!
จากนั้นไม่นาน พื้นผิวตามใบหน้าและร่างกายของหลินจือเฟยก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง!
ความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนการทิ่มแทงที่อัดแน่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย!
ชีพจรดั้งเดิมเจ็บระบมราวกับมีมดเป็นตัวตัวกำลังรุมกัด! มันทั้งเจ็บและชา!
ตุบ!
มือข้างหนึ่งของหลินจือเฟยกวาดของบนโต๊ะด้านข้างลงบนพื้นระเนระนาด!
“ดึงพลังปราณดั้งเดิมออกมาจากตำแหน่งหยวนตัน และทำการหมุนเวียนพลังเสี่ยวโจวเทียน!”
ฉู่หลิวเยว่ตะโกนเสียงหนัก!
หลินจือเฟยขบฟันแน่นแล้วหลับตาลง และเริ่มบังคับพลังปราณดั้งเดิมในร่างกายของเขาให้ไหลเวียน!
ความเจ็บปวดทิ่มแทงออกมาจากร่างกายจนเสียดกระดูกมากขึ้น!
พลันสัมผัสได้ถึงการทับถมรวมกันของสิ่งแปลกปลอมนี้อยู่ทั่วทุกอณูของชีพจรดั้งเดิม ในขณะนี้ผลจากยาได้เปลี่ยนเป็นลมปราณอันเร่าร้อน หลั่งไหลเข้าไปในชีพจรดั้งเดิมจนแทบจะครอบคลุมมันทั้งหมด!
ดังนั้นเมื่อเขาเริ่มหมุนเวียนพลังปราณดั้งเดิมในร่างกาย ก็หมายความว่าเขาจะต้องควบคุมพลังปราณดั้งเดิมให้ไหลผ่านลมปราณอันร้อนระอุดั่งเปลวเพลิงเหล่านี้ไปให้ได้!
ในกระบวนการนี้ พลังของเขาจะต้องสัมผัสกับชีพจรดั้งเดิมที่เปราะบางอยู่แล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และด้วยสาเหตุนี้เอง ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากเป็นพิเศษ
ความรู้สึกเช่นนี้ เป็นความรู้สึกราวกับมีมีดคมที่ถูกรนไฟจำนวนนับไม่ถ้วน กำลังขูดลอกเอาชีพจรดั้งเดิมของเขาออกทั้งเป็น!
เพียงชั่วอึดใจก็มีเลือดล้นทะลักออกมาจากมุมปากของหลินจือเฟย
เพียงแต่เลือดที่ไหลออกมานั้นเป็นเลือดสีดำ
นัยน์ตาของฉู่หลิวเยว่หรี่ลง
ความเจ็บปวดในร่างกายของหลินจือเฟยยืดเยื้อมานานเกินไป และเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาให้หายขาดในครั้งเดียว
แต่หากต้องการจะทำให้ดีขึ้น ก็ต้องทุ่มสุดแรง!
ฉะนั้นเขาจะต้องทนรับความเจ็บปวดทรมานจากการรักษานี้ แล้วข้ามผ่านมันไปให้ได้!
…
สำหรับหลินจือเฟย นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของเขา
ทุกเพลานาทีช่างยาวนานและแสนเจ็บปวด
เรี่ยวแรงของเขาเหมือนจะหมดสิ้นไปนานแล้ว ทั้งเรือนร่างแทบจะชินชาไปกับความเจ็บปวด
แต่ถึงกระนั้น เมื่อใดก็ตามที่จิตใจของเขาเริ่มว้าวุ่น มันมักมีเสียงอันสดใสดังขึ้นเสมอ
“พลังปราณดั้งเดิมไหลเวียนมาได้ครึ่งทางแล้วเจ้าค่ะ คุณชายสี่ จงทำต่อไปเรื่อยๆ”
“มันผ่านอวัยวะภายในทั้งห้ามาแล้ว และกำลังจะจบลงในไม่ช้า”
“ห่างจากพลังเสี่ยวโจวเทียนอีกเพียงขั้นเดียวเท่านั้น”
เสียงนั้นเรียกสติเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าตนนั้นยืนหยัดมาได้อย่างใด
แต่ในระหว่างนั้น เขารู้สึกราวกับว่ามีพลังอ่อนๆ ไหลเข้าสู่ร่างกาย ทำให้พละกำลังฟื้นตัวกลับมาไม่น้อย
เขาอยากจะลืมตาขึ้นมา แต่มันช่างเจ็บปวดและเหนื่อยล้าเหลือเกิน อีกทั้งยังถูกกระตุ้นให้ทำต่อไปอยู่เช่นนั้นมิรู้จบ
เขารู้ว่าขณะนี้ผู้ใดกำลังพูดอยู่
เลยขบฟันแน่นครั้งแล้วครั้งเล่า และพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะผ่านมันไปให้ได้!
ไม่รู้เพลาล่วงเลยไปนานเท่าใด แต่ในที่สุดเขาก็ควบคุมมันไว้ไม่อยู่ แล้วกระอักเลือดออกมาเต็มปาก!
แผละ!
ฉู่หลิวเยว่รีบเข้ามาดูในทันที!
ในกองเลือดสีดำ มีไข่มุกเม็ดหนึ่งปะปนอยู่!
นี่แหละมัน!
ฉู่หลิวเยว่สะบัดข้อมือเล็กน้อย เปลวไฟสายหนึ่งพุ่งพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วห่อหุ้มไข่มุกนั้นไว้ในชั่วในพริบตา!
—————————-