ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1049 ลอบจู่โจม
ตอนที่ 1049 ลอบจู่โจม
อีกด้านหนึ่ง ฉู่หลิวเยว่ที่แก้ปัญหาของหลินจือเฟยเรียบร้อยก็กลับไปพร้อมกับพี่เป่า รอคอยให้วันพรุ่งนี้มาถึงอย่างใจจดใจจ่อ
ทว่าหลู่อี้ที่อยู่อีกด้านนั้นกลับมิรู้สึกผ่อนคลายสบายใจเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย
หลินเทียนเฟิงแจ้งเจตจำนงชัดเจนว่ายืนอยู่ข้างหลินจือเฟย
ขอเพียงแค่ฉู่หลิวเยว่สามารถรักษาอาการป่วยของหลินจือเฟยได้ เช่นนั้นไม่ว่านางจะทำอันใด เขาล้วนต้องปกป้องนางอย่างสุดกำลัง
ยิ่งไปกว่านั้น จุดเริ่มของเรื่องนี้ล้วนมาจากการที่หลู่อี้ไปยั่วยุก่อนทั้งสิ้น
หากมิใช่เขาลงมือก่อนแล้วล่ะก็ ฉู่หลิวเยว่ก็คงไม่สวนกลับเช่นนี้
ดังนั้น ทั้งเรื่องของอารมณ์และส่วนของเหตุผล หลู่อี้ล้วนตกเป็นรองทั้งสิ้น
หลังจากนั้น หลินเทียนเฟิงประกาศชัดเจนว่าจะไม่ให้การช่วยเหลือใดๆ อีกทั้งยังเอ่ยเตือนเขาขั้นเด็ดขาดจริงจัง ออกคำสั่งไม่ให้เขาทำอันใดไร้สติอีกเป็นอันขาด
กระทั่งหลู่อวี้เออร์เองก็ยังถูกตักเตือนร่วมด้วย
การถูกตักเตือนและโต้กลับเช่นนี้กดข่มความหยิ่งผยองของสองพี่น้องลงไปได้โดยสิ้นเชิง
เดิมทีหลู่อี้คิดจะเอ่ยเถียงอีกสองสามประโยค ทว่ากลับถูกหลู่อวี้เออร์บังคับลากให้เดินจากไป
…
หลู่อวี้เออร์มิกล้าปล่อยให้หลู่อี้อยู่ที่จวนตระกูลหลิน จึงมาตามตัวเขาให้กลับไปเสียก่อน
เมื่อมาถึงจวนหลู่ นางที่เพิ่งเดินเข้าประตูมาก็สั่งให้คนรับใช้ที่รอปรนนิบัติทั้งหมดให้ออกไปเสีย
หลังรอจนคนเดินออกไปจนหมดแล้ว หลู่อวี้เออร์ก็ยื่นมือออกไปจิ้มหน้าผากหลู่อี้อย่างแรง
“เจ้านี่มันมีหัวคิดบ้างหรือไม่!”
หน้าผากของหลู่อี้ถูกเล็บอันแหลมคมของนางข่วนจนเป็นรอยแผล ทั้งความเกรี้ยวกราดและความขุ่นมัวที่เปี่ยมอยู่ในใจพลันระเบิดออกมา
“พี่สาว! เจ้าทำแบบนี้กับข้าได้อย่างใด! ข้าไม่ใช่น้องเจ้าแล้วหรือไร!”
“ก็เพราะเจ้าเป็นน้องข้าข้าถึงด่าเจ้า! หากเป็นผู้อื่นที่กล้าลงมือเช่นนี้ ข้าส่งคนไปเก็บเงียบๆ ตั้งแต่แรกแล้ว!”
หลู่อวี้เออร์มองเขาอย่างเข้มงวดระคนกังวล
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่เจ้าทำแบบนั้นในวันนี้ จะนำพาปัญหาอันใหญ่หลวงมาให้ข้า! ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยถามเจ้าไปแล้วว่าคนที่ทำร้ายคนใต้อาณัติของเจ้าน่ะมันใครกันแน่ เจ้าก็ไม่เปิดปากพูด! แล้วดันเป็นตู๋กูเยว่! นี่เจ้าคิดอันใดอยู่กันแน่! เจ้าไม่รู้หรือไรว่าสองวันมานี้นางกลายเป็นเซียนหมอประจำตัวหลินจือเฟยไปแล้ว!?”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างใดเล่า!?”
หลู่อี้ตะโกนออกมาด้วยความรู้สึกผิดยิ่งนัก
“คนนอกพรมแดนที่มีกำพืดชั้นต่ำผู้นั้น ใครจะไปคิดว่านางยังมีแผนการใหญ่เช่นนี้!? คู่พ่อลูกหลินเทียนเฟิงนั่นก็โง่เง่าสิ้นดี นี่พวกมันคิดจริงๆ หรือว่าตู๋กูเยว่จะสามารถรักษาอาการเจ็บของหลินจือเฟยได้!? ของสิ่งนั้นมันอยู่ในร่างกายของเขา…”
หลู่อวี้เออร์โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
“เงียบปาก!”
เมื่อเห็นใบหน้าของหลู่อวี้เออร์เต็มไปด้วยโทสะระคนตกใจ หลู่อี้จึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนพลั้งปากพูดผิดไป ส่วนลึกในใจพลันบังเกิดความรู้สึกขลาดกลัวว่าจะถูกจับได้
“ทีหลังถ้ายังกล้าพูดอันใดพล่อยๆ เช่นนี้อีก เจ้า…”
หลู่อวี้เออร์เงื้อมือขึ้นมาคิดอยากจะฟาดเขาสักที นางจ้องเขาด้วยความโกรธจัดอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าสุดท้ายก็มิได้ลงมือ
นางทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างโมโห มือก็ทุบโต๊ะอย่างแรง
“ข้ามีน้องชายที่ไม่เอาถ่านเช่นเจ้าได้อย่างใดกัน! หากเป็นตอนปกติจะก่อเรื่องอันใดก็ช่างเถอะ บัดนี้กลับสร้างปัญหาจนกลายมาเป็นแบบนี้เสียได้! เจ้าคิดว่ากว่าข้าจะมาถึงจุดนี้อยู่ในตระกูลหลินได้มันง่ายนักหรือ!?”
หลู่อี้เกาศีรษะตน จากนั้นก็สาวเท้าไปใกล้
“พี่สาว อย่าโมโหเลย เรื่องนี้จะโทษข้าทั้งหมดก็ไม่ได้หรอกจริงหรือไม่? ตู๋กูเยว่ผู้นั้นต่างหากที่ประหลาดเกินไป! ตอนนี้นางไม่เพียงแต่ทำร้ายคนของข้า ยังจะมาฉวยโอกาสที่จะได้ไปเยือนอีกฟากของข้าอีก! พี่! ท่านต้องเอาคืนให้ข้านะ!”
พูดถึงตรงนี้ ในใจของหลู่อวี้เออร์ก็เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
ไม่ง่ายเลยกว่านางจะเกลี้ยกล่อมให้หลินเทียนเฟิงยอมพาหลู่อี้ติดสอยห้อยตามไปด้วย ใครจะไปคิดกันว่าพอใกล้กำหนดแล้วเรื่องกลับตาลปัตรเป็นเช่นนี้!
“ตู๋กูเยว่ผู้นั้นต้องมีแผนการอันใดแน่…” นางกำหมัดแน่น เอ่ยพึมพำเสียงต่ำ นัยน์ตาพลันมีประกายความเกลียดชังวาบผ่าน
“ใช่หรือไม่ล่ะ! นี่พี่ เจ้าคิดดูนะ! นางที่เป็นคนนอกพรมแดน อีกทั้งยังหิ้วเด็กน้อยคนหนึ่งมาด้วย นางจะไปจัดการเก็บคนของข้าทั้งหมดแบบหนึ่งต่อแปดได้อย่างใดกัน? พลังของคนพวกนั้นไม่ใช่อ่อนด้อยเลยนะ!”
หลู่อวี้เออร์ปรายตามองอย่างสบประมาท
“ในเมื่อนางสามารถบุกเข้ามาจากด้านนอกได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นครึ่งเซียน! จัดการคนของเจ้าก็เป็นเรื่องง่ายดั่งพลิกฝ่ามือมิใช่หรือไงกัน?”
หลู่อี้กลับส่ายศีรษะ
“พี่คิดว่าข้าไม่คิดถึงจุดนั้นเลยหรือ? ก็เพราะแบบนี้ล่ะ ตอนข้าจะส่งคนไปก็คัดเลือกพวกคนที่แข็งแกร่งที่สุด”
เขากางนิ้วออกมา
“ในบรรดาแปดคนนั้น ครึ่งหนึ่งล้วนเป็นจอมยุทธ์ระดับเก้า และในครึ่งหนึ่งมีสองคนที่อยู่ระดับเก้าขั้นสูงสุด! ส่วนคนอื่นๆ แย่ที่สุดก็เป็นจอมยุทธ์ระดับแปด! ใช้กระบวนรบเช่นนี้มารับมือกับครึ่งเซียนที่อ่อนเยาว์ไร้ประสบการณ์ยังไม่พออีกหรือ?”
หลู่อวี้เออร์ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“หรือก็คือ ต่อให้พวกมันร่วมมือกันก็ยังมิใช่คู่มือของครึ่งเซียน ทว่ากำลังกายเองก็ไม่น่าต่างกันมาก เหตุใดจึงถูกตีจนเส้นเอ็นฉีกขาดเช่นนั้นสินะ?”
ทั้งแปดคนล้วนถูกตีจนเกือบตาย ทั้งมือทั้งเท้าถูกบิดหักเสียจนกลายเป็นคนพิการไปโดยสมบูรณ์!
การจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ ก็เพียงพอที่จะอธิบายถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตของฉู่หลิวเยว่แล้ว!
“ที่เจ้าพูดมาก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล…”
หลู่อวี้เออร์ตรึกตรองครุ่นคิด
“ยิ่งไปกว่านั้น นางยังอยู่แค่ระดับเจ็ด…ไม่สิ ตอนนี้น่าจะเป็นเซียนหมอระดับแปดแล้ว”
ดูๆ ไปแล้ว พรสวรรค์ในการเป็นเซียนหมอของตู๋กูเยว่ช่างล้ำเลิศเสียจริง
“ไม่รู้ด้วยว่าตู๋กูเยว่ผู้นี้แท้จริงแล้วอายุอานามเท่าใดกันแน่ ถ้าหากอายุประมาณยี่สิบกว่าเหมือนรูปลักษณ์ภายนอกนางจริงๆ… ต่อให้เป็นคนนอกพรมแดน… พรสวรรค์และศักยภาพเช่นนี้ ย่อมต้อง—”
หลู่อวี้เออร์พึมพำกับตัวเอง ในใจหวาดหวั่นอย่างมาก
ในคราแรกนางก็ยังนึกไม่ถึง ทว่าตอนนี้กลับยิ่งรู้สึกว่าตู๋กูเยว่ผู้นี้นั้นไม่ธรรมดาอย่างมาก!
“พี่สาว เจ้ารับปากว่าจะช่วยข้านะ!”
หลู่อี้เอ่ยกระเซ้ากระซี้
ทว่าหลู่อวี้เออร์กลับโบกมือปัดอย่างงุ่นง่าน
“ตอนนี้ยังไม่ได้ หลินเทียนเฟิงกำลังจับตาดูเราอย่างใกล้ชิด ยิ่งไปกว่านั้นวันพรุ่งพวกเขาจะออกเดินทางกันแล้ว”
อีกอย่าง หากตู๋กูเยว่เกิดเป็นอันใดขึ้นมาในตอนนี้จริง เช่นนั้นคนที่จะถูกสงสัยคนแรกก็คือพวกเขา!
“เรื่องนี้เอาไว้ก่อน ไว้พรุ่งนี้รอดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากัน”
หลู่อี้ทำท่าเหมือนจะพูดอันใดสักอย่างแต่ก็หยุดลง เขาจำต้องเอ่ยตอบรับด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจ นัยน์ตาของเขาปรากฏแววต่อต้านผ่านวาบไป
…
คืนนั้นเอง
พระจันทร์สุกสกาวลอยสูงบนผืนฟ้า ดวงดาราแต้มประกายกระจายไปทั่ว
ภายในห้องพัก ฉู่หลิวเยว่กำลังฝึกตนในท่านั่งขัดสมาธิ
สองวันมานี้พลังปราณดั้งเดิมของนางเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด หากมิใช่เพราะการสนับสนุนจากไข่มุกธาราที่อยู่ภายในตำแหน่งตันเถียน ในตอนที่ปรุงยานางอาจจะต้านทานไม่ไหวแล้วก็เป็นได้
นางปิดเปลือกตาลง ยามดวงหน้าขาวสว่างจนคนตะลึงถูกแสงจันทร์สาดส่องก็ยิ่งทวีคูณความผุดผ่องดุจหยก
พลังแห่งสวรรค์และโลกเองก็เปรียบดั่งกระแสน้ำทะเลขึ้นลงที่กระเพื่อมเป็นระลอก ต่างพากันหลั่งไหลเข้าสู่ภายในร่างของนางอย่างต่อเนื่อง คลอพร้อมด้วยลมหายใจสม่ำเสมอของนาง
หลังจากที่ทะลวงผ่านจอมยุทธ์ระดับเจ็ด เพราะนางผ่านสู่ด่านวั่งเสิ่นมาแล้ว อีกทั้งยังฟื้นฟูชีพจรเทียนจิงขึ้นมาได้ ดังนั้นความเร็วในการฝึกตนจึงเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมากโข
หลังโคจรพลังปราณดั้งเดิมตามหลักต้าโจวเทียน[1]ไปแล้วรอบหนึ่ง ในที่สุดลมปราณของฉู่หลิวเยว่ก็ได้รับการฟื้นฟู
นางพ่นลมหายใจออกมาแผ่วเบารอบหนึ่ง จากนั้นก็ยกมือขวาของตนขึ้น
แต้มดาราสีเงินดวงหนึ่งพลันปรากฏขึ้นเหนือนิ้วชี้
จากนั้นแต้มดาราดวงที่สองก็ปรากฏตามมาติดๆ
ต่อด้วยดวงที่สาม
ไม่นานนัก บนมือของฉู่หลิวเยว่ก็ส่องสว่างไปด้วยแต้มดาราห้าดวงที่สุกสกาวสดใส!
จากนั้นก็มีลำแสงพุ่งออกมาเชื่อมแต้มดาราทั้งห้าเข้าด้วยกัน รัศมีแสงสีอ่อนห่อหุ้มทั่วทั้งฝ่ามือของนาง
ทันใดนั้นเอง ซุ่มเสียงอันผิดแผกมิคุ้นเคยก็แว่วเข้ามาจากด้านนอกหน้าต่าง!
จิตสังหารอันชวนเย็นเยียบไปถึงกระดูกพลันพุ่งแผ่กระจายไปทั่ว!
ฉู่หลิวเยว่ลืมตาขึ้นมาโดยพลัน!
[1] หลักต้าโจวเทียน คือหลักการใช้กำลังภายในของจีนโบราณ เสมือนการพัฒนาลมปราณเพื่อทะยานสู่ความเป็นเซียน
—————————-