ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1051 หนึ่งปีเต็ม
ตอนที่ 1051 หนึ่งปีเต็ม
หลู่อี้สัมผัสได้ถึงความผิดปกตินี้! แล้วหันกลับไปมองข้างหลังทันที!
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้หันกลับไปมองภาพตรงหน้าให้ชัดเจน จู่ๆ เขาก็เกิดเจ็บแปลบที่ศีรษะอย่างรุนแรง!
โครม!
ทัศนวิสัยของเขามืดลงทันตา พลันล้มลงกับพื้นจนเกิดเสียงตุบขึ้นคราหนึ่ง
ทั่วทั้งห้องกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
หากไร้ซึ่งร่างของหลู่อี้ที่มีเลือดสีเข้มหลั่งไหลออกมาจากรอยแตกกลางหน้าผากล่ะก็ ห้องเล็กๆ นี่คงดูราวกับห้องพักธรรมดาที่ไม่มีอันใดเกิดขึ้น
ฉู่หลิวเยว่หลุบตาลงต่ำแล้วจ้องมองเขาอย่างเย็นชา จากนั้นจึงเหยียดนิ้วโป้งออกด้วยความชื่นชม
“ยอดเยี่ยมกระเทียมดองจริงๆ พี่เป่า!”
ตู๋กูโม่ป่าที่อยู่อีกฝั่งวางเก้าอี้ลงด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก
เก้าอี้ตัวนั้นสูงกว่าเขาเป็นคืบ
หากไม่เห็นกับตาคงไม่มีใครเชื่อแน่ว่าเด็กอ้วนที่ดูนุ่มนิ่มน่ารักคนนี้ จะหยิบเก้าอี้ขึ้นมาแล้วโค่นล้มผู้ที่แข็งแกร่งระดับครึ่งเทพในคราเดียว!
“ก็แค่พวกที่พยายามงัดกลเม็ดต่างๆ ขึ้นมาใช้แล้วทำตีเนียนเป็นพวกครึ่งเทพ แต่จริงๆ แล้วพลังในการต่อสู้นั้นไม่ต่างจากพวกระดับเก้าขั้นสูงสุดทั่วไปเลยสักนิด”
ตู๋กูโม่เป่ากล่าวเสริมอย่างไม่ใส่ใจ
และนั่นเป็นเหตุผลที่เมื่อครู่ฉู่หลิวเยว่แทบจะไม่ได้โต้ตอบหลู่อี้เลย
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มพออกพอใจ
“ถูกของเจ้า ก่อนหน้านี้เจ้าก็จัดการแปดคนนั้นกับมือ แล้วไหนจะคนผู้นี้อีก?”
เมื่อนึกถึงฉากในตอนนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็ยังตกใจไม่หาย
ในเพลานั้น นางกับตู๋กูโม่เป่าถูกคนเหล่านั้นล้อมขังไว้ในตรอกมืดๆ แคบๆ ล้อมหน้าล้อมหลังเสียทุกทาง และขั้นพลังปราณของอีกฝ่ายก็สูงกว่านาง
ทว่าในขณะที่จนตรอก พี่เป่ากลับก้าวออกมา
ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉู่หลิวเยว่แทบมิได้ขยับเขยื้อนแม้แต่ปลายนิ้ว
ไม่ใช่ไม่กล้า แต่ขยับไม่ทันเขาต่างหาก
และกว่านางจะจับต้นชนปลายได้ พี่เป่าก็จัดการคนสุดท้ายไปแล้ว
อย่าถามเลยว่านางได้ทำอันใดบ้าง…
เอาคนพวกนั้นยัดลงกล่องนี่นับได้หรือไม่?
แต่เพราะพี่เป่ารู้สึกว่ามันเป็นงานสกปรก เขาจึงมอบหมายงานกระจอกๆ เช่นนี้ให้ฉู่หลิวเยว่ทำแทน
นอกจากนี้ ตั้งแต่เริ่มปะทะกระทั่งปิดงาน เขาก็ใช้เพียง…อิฐก้อนหนึ่งเท่านั้น
ครั้นนึกถึงสิ่งนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็พลันหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาทันตา
“คราวก่อนก็อิฐ คราวนี้ก็เก้าอี้… พี่เป่า ข้าควรไปซื้ออาวุโบราณให้เจ้าพกติดตัวสักชิ้นดีหรือไม่?”
ตู๋กูโม่เป่ามองนางด้วยสายตาเย็นชา แล้วกล่าวว่า
“ใช้อาวุธโบราณสู้กับพวกกระจอกนี่หรือ รู้ถึงไหนอายถึงนั้น”
ฉู่หลิวเยว่ “… คิดว่าข้าไม่ได้ถามก็แล้วกัน”
เมื่อพูดเรื่องนี้กับผู้ที่มีร่างศักดิ์สิทธิ์อันเต็มไปด้วยพลังปราณอันน่าสะพรึงกลัวแล้ว ดูเหมือนนางจะกังวลเกินเหตุไปเอง…
“แต่พูดก็พูดเถอะ ตอนแรกข้าเห็นเจ้ากลั้นลมปราณไว้ เลยคิดว่าเวลาต่อสู้เจ้าอาจเคลื่อนไหวไม่สะดวก…”
“มันไม่สะดวกอย่างที่เจ้าว่า ข้าถึงไม่ใช้พลังปราณศักดิ์สิทธิ์ไงเล่า”
ตู๋กูโม่เป่าเอ่ยเสียงเรียบ
“ปัญหาจิ๊บจ๊อยเช่นนี้ แค่ใช้ร่างศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียวก็พอแล้ว”
เปลือกตาของฉู่หลิวเยว่กระตุกทีหนึ่ง
ปะ… ปัญหาจิ๊บจ๊อยหรือ!?
นางเริ่มเสียใจที่พูดเรื่องนี้กับตู๋กูโม่เป่าขึ้นมาแล้วสิ
เพราะทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องพรรค์นี้ ศักดิ์ศรีและความภูมิใจของนางจักถูกย่ำยีจนไม่เหลือซากเสียทุกครา
“แค่ก!”
ฉู่หลิวเยว่ทำทีกระแอมไอและมองไปยังหลู่อี้ที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น
“แล้วจะทำอย่างใดกับเขาดี?”
ถ้าส่งกลับไปทั้งๆ แบบนี้…ก็แอบเสียดายนิดหน่อย
ตู๋กูโม่เป่าพูดอย่างเฉยเมย
“ทำลายหยวนตันของเขาเสีย”
ฉู่หลิวเยว่ตากระตุก
“เอาจริงหรือ?”
นางไม่ได้ใจอ่อน เพียงแต่…หลังจากนี้ถ้าเขาฟื้นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองกลายเป็นคนพิการล่ะก็ เขาจะต้องโยนความผิดทั้งหมดให้นางแน่ๆ
และถึงเขาจะทำอันใดนางไม่ได้ แต่พี่สาวของเขาอย่างหลู่อวี้เออร์ผู้นั้น จะไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ แน่นอน
แม้นางจะได้สิทธิ์ในการต่อรองจากการช่วยรักษาหลินจือเฟย แต่ในขณะที่อยู่ที่นี่ ก็ยังถือว่านางหัวเดียวกระเทียมลีบไร้ซึ่งคนหนุนหลังอยู่ดี
นางไม่กลัวมีเรื่อง แต่แค่รู้สึกว่าเมื่อถึงเวลานั้น อาจมีปัญหาที่ไม่พึ่งประสงค์เพิ่มเข้ามาก็เป็นได้
ตู๋กูโม่เป่าขมวดคิ้วฉับ
หลู่อี้คนนี้ช่างอวดดีและหยิ่งยโสนัก อีกทั้งยังโจมตีนางหลายครั้ง แต่นางกลับไม่อยากตัดแขนตัดขาเขาเลยหรือ?
“แล้วเจ้าจะทำเช่นไร?”
ฉู่หลิวเยว่ระบายยิ้มสดใสแล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดว่า
“ถ้าอยากลงโทษคนคนหนึ่ง มันยังมีอีกหลายวิธี ไฉนจักต้องเอาคืนกันง่ายๆ เช่นนั้นเล่า?”
นางเอ่ยพลางหยิบยาเม็ดออกมา และบังคับให้เขากลืนมันลงไป
“นั่นอันใด?”
ตู๋กูโม่เป่าหรี่ตาลงทันควัน
“ยากลืนวิญญาณ”
ฉู่หลิวเยว่ปัดมือเบาๆ
“หลังจากใช้มัน ความทรงจำทั้งหมดของเขาจะค่อยๆ จางหายไปภายในหนึ่งปี และสิ่งแรกที่เขาจะลืมก็คือเรื่องในคืนนี้ เมื่อเขาตื่นขึ้นในวันพรุ่ง และคิดจะแฉเรื่องของเรา เขาจะไม่สามารถระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และในขณะที่ความทรงจำทั้งหมดกำลังยุ่งเหยิงตีพันกันไปมา สติของเขาก็จะค่อยๆ หายไป จนในที่สุดเขาจะกลายเป็นผู้พิการทางการรับรู้และอารมณ์ไปโดยปริยาย”
นัยน์ตาสีอินทนิลอันน่าหลงไหลของตู๋กูโม่เป่าทอประกายแวววับ
ขนงเรียวและดวงตาของเขาคลายตัวลง เผยให้เห็นความพึงพอใจ
“เช่นนี้ก็ไม่เลว”
ถึงนางจะเปลี่ยนร่าง แต่เขาไม่อยากให้นางเปลี่ยนนิสัยแล้วกลายเป็นคนใจอ่อนเพราะเรื่องแบบนี้
“เอาล่ะ ตอนนี้ก็ส่งเขากลับ…”
ฉู่หลิวเยว่กำลังจะดึงหลู่อี้ขึ้นมาแล้วเตรียมส่งเขากลับไป แต่ทันใดนั้นก็จำต้องหยุดชะงัก
นางยืนราวกำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่าง ใบหน้างามเผยสีหน้างุนงง ราวกลับมีคลื่นใต้น้ำซ่อนอยู่ภายในดวงตาดำเสมือนหยกเนื้อดีคู่นั้น
ตู๋กูโม่เป่าสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติและถามขึ้นทันที
“เจ้าเป็นอันใดหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ตอบ
ตู๋กูโม่เป่าจึงตะโกนเรียกอีกครา
“นังหนูเยว่เออร์?”
และครั้งนี้ ในที่สุดฉู่หลิวก็ดึงสติกลับมาได้
นางค่อยๆ หันศีรษะกลับมาช้าๆ การเคลื่อนไหวนั่นดูติดขัดจนน่าประหลาด
บวกกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความฉงนมากกว่าเดิม
“พี่เป่า”
ร่างบางเอ่ยเสียงแผ่วเบา แม้ว่าเสียงนั้นกำลังเรียกหาตู๋กูโม่เป่า ทว่าดวงตาของนางกลับมิได้จดจ่ออยู่ที่ตัวบุคคลเลยสักนิด ประหนึ่งกำลังมองอันใดบางอย่างท่ามกลางความว่างเปล่าก็มิปาน
และพอเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง ตู๋กูโม่เป่าก็ถึงกับใจ “กระตุก” วูบไปพักหนึ่ง
“มีกระไรหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่เงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเอื้อนเอ่ยออกมาทีละคำว่า
“ตั้งแต่ตอนที่ข้าตายในชาติที่แล้ว จนได้กลับมาเกิดใหม่ในร่างนี้ ดูเหมือนว่ามัน…จะครบหนึ่งปีพอดี”
—————————-