ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1052 สาวงามอันดับหนึ่ง
ตอนที่ 1052 สาวงามอันดับหนึ่ง
นัยน์ตาของตู๋กูโม่เป่าวูบไหว
“แค่เรื่องบังเอิญหน่า”
“จริงหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ย้อนถามอย่างสงสัย
“ย้อนกลับไปตอนนั้น เจ้าได้จุดไฟเผาตัวเองจนถึงแก่ความตาย ร่างกายของเจ้ามลายหายไปหมดแล้ว และเหลือไว้เพียงวิญญาณ ที่ได้มาจุติในร่างใหม่ในปัจจุบัน แล้วมันเกี่ยวกับยากลืนวิญญาณเยี่ยงไรกัน?”
ตู๋กูโม่เป่าเอ่ยเสียงเบา
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้ารับพลางครุ่นคิด
“จะว่าเช่นนั้นก็ได้…แต่ทว่า…”
อย่างใดเสียนางก็ยังคิดว่าเรื่องนี้มันมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลอยู่ดี
ในเวลานั้น หลังจากที่นางได้เกิดใหม่ นางเคยถามถึงวันเวลาที่แน่นอน และวันที่นางจุติในร่างใหม่ก็ตรงกับวันที่นางสิ้นชีพได้หนึ่งปีพอดิบพอดี
จะบอกว่าบังเอิญ…
แต่มันจะไม่มีอันใดแอบแฝงจริงหรือ?
“ส่งเขากลับไปก่อนดีกว่า ยิ่งยืดเยื้อ ยิ่งเพิ่มภาระ”
ตู๋กูโม่เป่ากระตุ้นนางอย่างใจเย็น
ฉู่หลิวเยว่ชำเลืองมองตู๋กูโม่เป่าที่ยืนอยู่ตรงหน้าแวบหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเขาไม่อยากคุยเรื่องนี้กับนาง หรือว่าเขาไม่สนใจจริงๆ…
แต่นางก็ไม่ได้จี้ถามแต่อย่างใด
บางที…นางอาจจะคิดมากไปเองกระมัง?
ร่างบางพยักหน้ากับตัวเองแล้วขจัดความสงสัยออกไป ก่อนจะดึงหลู่อี้ที่นอนอยู่บนพื้นขึ้นมา
“กลับ!”
…
ตลอดทั้งคืน คนทั้งสองมิได้เอ่ยปากต่อบทสนทนากันแต่อย่างใด
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉู่หลิวเยว่ก็พาตู๋กูโม่เป่าไปยังจวนตระกูลหลิน
เมื่อเวรยามที่ยืนเฝ้าประตูอยู่เห็นพวกนาง ก็ล้วนรีบโค้งคำนับให้นางแต่ไกล ใบหน้าของเขาถูกแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่มาจากใจจริง
“คุณหนูตู๋กู ท่านมาแล้ว! ท่านประมุขและคุณชายสี่กำลังรอท่านอยู่เลย!”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของพวกเขา ในใจฉู่หลิวเยว่ก็รับรู้ได้เลยว่า ข่าวเรื่องที่หลินจือเฟยอาการดีขึ้น คงจะแพร่กระจายไปทั่วจวนแล้ว
ทว่าเดินเข้าไปในจวนได้ไม่นาน นางก็เห็นหลินเทียนเฟิงเดินออกมาต้อนรับกัน
พอเห็นฉู่หลิวเยว่ เขาก็พลันฉีกยิ้มออกมาทันที
“คุณหนูตู๋กู!”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มรับแล้วเดินเข้าไป
“ท่านประมุขหลิน ข้าคงมิได้มาสายหรอกใช่หรือไม่?”
“ไม่สายๆ!”
ใบหน้าของหลินเทียนเฟิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มยินดี
“เชิญเข้ามาข้างในก่อน! ยามนี้จือเฟยกำลังเก็บข้าวของ จึงไม่ได้ออกมารับเจ้า คุณหนูตู๋กูโปรดอย่าถือสา!”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“จะเป็นเช่นนั้นได้เยี่ยงไร?”
แม้นางจะรู้ว่าหลินจือเฟยนั้นสำคัญต่อหลินเทียนเฟิงยิ่งกว่าสิ่งใด แต่นางคิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นถึงขนาดนี้
ตอนนางยังไม่ได้รักษาหลินจือเฟยให้หายขาดเลยด้วยซ้ำ ทว่าทัศนคติของหลินเทียนเฟิงที่มีต่อนางกลับดีขึ้นกว่าเดิมมาก
หากหลินจือเฟยหายดีแล้วจริงๆ… ไม่รู้เลยว่าเขาจักทำการใหญ่เพื่อตอบแทนนางขนาดไหน
ฉู่หลิวเยว่เดินตามหลินเทียนเฟิงเข้าไป และถามว่า
“มิทราบว่าวันนี้คุณชายสี่อาการดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
“ดีขึ้นมาก ดีขึ้นมากแล้ว!”
หลินเทียนเฟิงพยักหน้าพัลวัน พร้อมความตื่นเต้นและความโล่งใจที่ฉายชัดออกมาผ่านแววตาของเขาอย่างปิดไม่มิด
“คุณหนูตู๋กูช่างน่าทึ่งนัก! ครั้งนี้ ข้าต้องขอขอบคุณเจ้าจริงๆ!”
เดิมทีเมื่อคืนเขาต้องการเข้าไปตรวจดูสภาพหลังทานยาเม็ดของบุตรชาย แต่ตอนนั้นเด็กรับใช้แจ้งว่าบุตรของเขานอนหลับพักผ่อนไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เข้าไปรบกวนแต่อย่างใด
แต่พอเห็นหลินจือเฟยเมื่อเช้านี้ เขาก็รู้สัมผัสได้ถึงความแตกต่างทันที!
ร่างกายส่วนใหญ่ของหลินจือเฟยฟื้นตัวแล้ว!
และสิ่งนี้ทำให้หัวใจที่ร้อนรนของเขา กลับคืนสู่ความสงบได้ในที่สุด
แต่พอได้พบฉู่หลิวเยว่อีกครั้ง เขาก็พลันแสดงปฏิกิริยาต่างๆ ออกไปอย่างควบคุมไม่ได้
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ
“สิ่งสำคัญคือ คุณชายสี่มีพื้นฐานพลังปราณดีและมีโชคคอยเกื้อหนุน”
“อย่างใดเสียครั้งนี้ ข้าก็ต้องขอบคุณคุณหนูตู๋กูอย่างยิ่ง!”
หลินเทียนเฟิงกล่าวด้วยความซาบซึ้ง
คนทั้งสองเดินไปพลางแลกบทสนทนาไปพลาง ก่อนจะมาถึงเรือนของหลินจือเฟย
เด็กรับใช้ตัวน้อยที่รอต้อนรับพวกเขาอยู่หน้าประตู
และทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไป ฉู่หลิวเยว่ก็เห็นหลินจือเฟยที่รออยู่ก่อนแล้ว
วันนี้เขาสวมชุดคลุมตัวยาวสลักลายต้นไผ่สีมรกตสวย พร้อมเข็มขัดหยกสีขาวรอบเอว เห็นได้ชัดว่าเป็นชุดที่ดูเรียบง่ายมาก แต่กลับดูภูมิฐานมีสง่าราศี
ใบหน้าหล่อเหล่าที่เคยซีดเซียว บัดนี้กลับมีเลือดฝาดเล็กน้อย รวมทั้งแววตากระจ่างใสที่ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น พอเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วช่างดูราวกับคนละคน
หากกำจัดไข่มุกประหลาดที่สั่งสมอยู่ภายใน และคลายปมในใจได้หมด ไม่นานเขาจะหายอย่างปลิดทิ้งแน่นอน
เมื่อเห็นเขาเช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็แอบประหลาดใจเช่นกัน
พูดตามตรงก็คือ พลังในการฟื้นฟูของหลินจือเฟยนั้นแข็งแกร่งกว่าที่นางคิดไว้มาก
สำหรับคนเช่นนี้ หากไร้ซึ่งอุปสรรคขวางกั้น แน่นอนว่าเขาจะมีอนาคตที่สดใสและไปได้ไกลกว่านี้หลายเท่า
ไม่แปลกที่วันนี้หลินเทียนเฟิงดูจะมีความสุขมาก
นี่คงจะเป็นภาพที่เขาอยากเห็นมากที่สุดในรอบหลายสิบปีเลยสินะ?
“ดูเหมือนว่าคุณชายสี่จะดีขึ้นมากแล้วนะเจ้าคะ”
ฉู่หลิวเยว่สาวเท้าไปด้านหน้าพร้อมระบายยิ้มพิมพ์ใจ
พลันรัศมีเย็นชาระคนไม่แยแสที่ปรากฏขึ้นตรงหว่างคิ้วของหลินจือเฟยก็ลดลงในทันตา
“ทุกอย่างเป็นเพราะความช่วยเหลือของคุณหนูตู๋กู เมื่อคืนนี้เป็นคืนแรกที่ข้ารู้สึกสงบใจและได้นอนเต็มอิ่มในรอบหลายปี แล้ว…คุณหนูตู๋กูเองเล่า นอนหลับสนิทดีหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ใจกระตุกวูบ แล้วยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ขอบคุณคุณชายสี่ที่ถามไถ่ ข้ากับพี่เป่านอนหลับสบายสุดๆ เลย”
หลินจือเฟยพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
ต่อมา ฉู่หลิวเยว่ก็ช่วยวัดชีพจรให้เขาและพูดว่า
“ร่างกายของคุณชายสี่เจ็บปวดเรื้อรังมานานหลายปี หากต้องการให้ร่างกายกลับมาใช้การได้เต็มร้อย คงต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกสักระยะหนึ่ง”
หลินจือเฟยยิ้มพลางเอ่ย
“ข้าทนเจ็บมาได้ตั้งหลายปี ไฉนจะอดทนรอต่ออีกไม่ได้”
ครั้นได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสอง ก็เป็นการยืนยันได้แล้วว่าร่างกายของหลินจือเฟยกำลังฟื้นตัวจริงๆ หลินเทียนเฟิงหมุนตัวหันไปอีกทาง พลันสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นน้ำตาไว้
“ท่านประมุข คุณชายสี่ ทุกคนมารออยู่ที่โถงด้านหน้าแล้วขอรับ”
เด็กรับใช้หนุ่มเอ่ยแจ้ง
“ได้เวลาออกเดินทางแล้ว!”
หลินเทียนเฟิงหันกลับมายิ้มเขินๆ ให้พวกเขา และเอ่ยเรียกทั้งสองคนกลายๆ
“ข้านี่มัน เกือบลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท! จือเฟย คุณหนูตู๋กู พวกเราไปกันเถอะ!”
…
พวกเขาเคลื่อนตัวไปยังห้องโถงด้านหน้า
และเมื่อไปถึงก็มีกลุ่มคนมารวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองอย่างรวดเร็ว
ผู้อาวุโสทั้งสามคนมีลมปราณที่มืดมนดูคลุมเครือ ชัดเจนว่าพวกเขาคือผู้อาวุโสที่ตระกูลหลินเลือกให้เดินทางไปด้วยกันในครานี้
และข้างๆ พวกเขา ก็มีเด็กสาวสามคนยืนอยู่
เพียงมองปราดเดียวก็รับรู้ได้ถึงความสวยสดงดงามและกริยาอันน่าลุ่มหลงของพวกนาง
อีกทั้งลมปราณของสามคนนี้ก็ไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิด
เห็นได้ชัดว่าพวกนางเป็นสาวงามที่ถูกคัดสรรมาอย่างดีและเหนือกว่าในทุกด้าน
นัยน์ตาของฉู่หลิวเยว่พลันวูบไหว
เมื่อลองคิดตามแล้ว ทั้งสามคนนี้น่าจะเป็นสาวงามที่ทางหน้าผาแดนสวรรค์คัดเลือกให้ไปเข้าร่วมการเลือกชายาเอกของโอรสสวรรค์สินะ…
เมื่อเห็นว่าหลินเทียนเฟิงและคนอื่นๆ มาถึง ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงด้านหน้าล้วนหันไปมองและทำความเคารพพร้อมกันทันที
“คารวะท่านประมุข”
หลินจือเฟยยกมือขึ้นแล้วยิ้มรับด้วยความยินดี
“อีกประเดี๋ยวก็เดินทางแล้ว อย่าได้สนใจพิธีรีตรองเหล่านี้เลย!”
ครั้นเห็นเขาแสดงท่าทีปลื้มปิติถึงเพียงนั้น เหล่าคนที่รอก็ต่างมองหน้ากันด้วยความตกใจ แต่พอเห็นหลินจือเฟยที่ตามหลังมา พวกเขาทั้งหมดก็เข้าใจในทันที
“ท่านประมุขมีความสุขถึงเพียงนี้ แสดงว่าอาการป่วยของคุณชายสี่ดีขึ้นมากแล้ว ใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งหัวเราะพลางเอ่ยถาม
“ต้องยกความดีความชอบให้คุณหนูตู๋กูเลย!”
หลินเทียนเฟิงยิ้มกว้าง
เมื่อได้ยินคำยืนยันจากเขา ทุกคนในห้องก็มองไปที่ฉู่หลิวเยว่ทันที
เด็กสาวคนนี้ช่างดูธรรมดาสามัญ แถมยังเป็นคนนอกพรมแดน แต่นางกลับ…เก่งวิชาเพียงนี้เชียวหรือ?
แต่ฉู่หลิวเยว่ยังคงจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
หลินจือเฟยจึงร้องเรียกนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“คุณหนูตู๋กู? คุณหนูตู๋กู? เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่พลันกลับมารู้สึกตัวและตระหนักได้ว่าทุกคนกำลังมองนางอยู่ ก่อนจะยกริมฝีปากขึ้นแล้วเผยยิ้มบางเบา
“ไม่มีอันใด ข้าแค่คิดว่าสาวงามเหล่านี้ช่างงดงามยิ่งนัก หากพระโอรสได้เห็น จักต้องชื่นชอบมากแน่ๆ เลยเนอะ?”
—————————-