ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1075 ตอนแรก
ตอนที่ 1075 ตอนแรก
“หรงซิว เจ้าอ่อนให้ข้าอีกแล้ว!”
นางได้ยินเสียงตนเองดังขึ้นในสมอง
“ต้องมีสักวันที่เจ้าไม่อ่อนให้ข้า แต่ข้าก็ยังชนะเจ้า!”
ชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเอนกายพิงพนักพิง มือหนึ่งยกถ้วยชาขิงขึ้นมา พร้อมหรี่ดวงตาหงส์ลงเล็กน้อย เขามีท่าทางเกียจคร้านและผ่อนคลาย จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า
“เอาสิ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำรื่นหู เหมือนกับเสียงฉินที่ลอยมาตามลม
ขณะที่เขาพูด เขาก็ยกถ้วยชาจรดริมฝีปาก ริมฝีปากสีแดงเข้มสัมผัสกับปากถ้วยหยกสีขาวเบาๆ
“เอ๋…หรงซิว! นั่นคือชาของข้า!”
นางชำเลืองสายตามอง จากนั้นถึงได้เห็นว่าเขาหยิบถ้วยชาของนางไป จึงรีบพูดขึ้น
หรงซิวชะงักไปเล็กน้อย แล้วเปิดเปลือกตาขึ้น
แววตาที่เคยเย็นชา เหมือนมีความอบอุ่นแทรกเข้ามาสามส่วน
เหมือนพระอาทิตย์ตกริมแม่น้ำยามเย็น แสงสะท้อนส่องกับผืนน้ำ กลายเป็นภาพที่งดงาม
“อ่า? งั้นหรือ?”
คำที่คลุมเครือหลุดออกมาจากซอกฟันของเขา และยังมีรอยยิ้มแฝงออกมาด้วย
ในตอนนั้นนางคิดว่าเขาจะวางถ้วยชาใบนั้นลง แต่ทันใดนั้นเขาก็ยกถ้วยน้ำชาเข้าใกล้ริมฝีปากมากยิ่งขึ้น ริมฝีปากขยับเล็กน้อย
ทันใดนั้นเองหัวใจของนางก็เหมือนเต้นผิดจังหวะไป แล้วหยุดนิ่งค้างอยู่ที่เดิม
ต่อให้ปกติแล้วนางจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ร้อยเล่มเกวียน แต่ก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะทำเช่นนี้
เขาจิบชาถ้วยนั้น แล้วค่อยๆ วางถ้วยชาลง
ริมฝีปากที่เปื้อนน้ำชา ดูชุ่มชื่นเป็นพิเศษ
ใบหน้าของฉู่หลิวเยว่แดงก่ำขึ้นมาทันที! ราวกลับเกิดไฟลุกไหม้!
อุณหภูมิสูงแผดเผาเกือบจะกลืนร่างของนางไปทันที!
แต่เหมือนว่าเขาจะไม่ได้สังเกต คิ้วรูปดาบเลิกขึ้น
“ที่แท้เจ้าก็ดื่มชาขิงทุกวันนี่เอง”
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็เหมือนจะหาเสียงของตัวเองกลับคืนมาได้แล้ว นางจึงแค่นหัวเราะหนึ่งเสียง
“ชาขิงมีรสขม ข้าบอกแล้วอย่ากินชาของคนอื่น ขมจนตกใจเลยใช่หรือไม่?”
หรงซิวท้าวมือเอื้อมตัวไปด้านหน้า มองนางด้วยแววตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ข้ากลับรู้สึกว่าชานี้มีรสหวานน่ากิน ชาอื่นๆ ยังไม่ดีเท่าหนึ่งในสิบของชานี้เลย”
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็ไม่สามารถนั่งต่อไปได้แล้ว นางลุกขึ้นยืน
“ข้าเพิ่งนึกได้ว่ายังมีเพลงกระบี่ที่ยังไม่ได้ฝึก เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะ”
เมื่อพูดจบนางก็รีบออกไป
หรงซิวมองตาม
นางเดินลงมาจากเส้นทางเล็กๆ ตามหน้าผา ฝีเท้าเบากริบ เสื้อผ้าสีอ่อนเหมือนกับภมรกำลังโผบิน
เส้นผมปลิวไสว ดูมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง
หลังจากเดินออกมาสักระยะหนึ่งแล้ว ทันใดนั้นนางก็หยุดยืน ก่อนจะหันกลับไปมองที่บนหน้าผา
เหมือนว่าหรงซิวจะคาดเดาเอาไว้ได้อยู่แล้ว เขาจึงยกถ้วยชาขึ้น และทำการทักทายนางจากในระยะไกล
“หากต้องการคำชี้แนะอันใด ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่เสมอ”
ผู้หญิงคนนั้นวิ่งหายตัวไปเร็วยิ่งกว่าเดิม
ริมฝีปากของหรงซิวยกขึ้น เป็นรอยยิ้มลึก
วันนั้นเป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส คลื่นลมเย็นสบาย
ชายหนุ่มสวมชุดสีขาวนั่งอยู่ในศาลาริมหน้าผา เอนหลังพิงพนัก ชายเสื้อปลิวลิ่ว สูงส่งราวเทพเซียน
มืออีกทางด้านข้างของเขาก็คือถ้วยชาถ้วยหนึ่ง
ทั้งขม และหวาน
…
ภาพความทรงจำเหล่านั้นค่อยๆ หายไป
แววตาของฉู่หลิวเยว่กลับคืนสติ
ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า สะท้อนเข้าในดวงตาของนางอีกครั้ง
นางอ้าริมฝีปากขึ้น
หัวคิ้วของหรงซิวขยับเล็กน้อย เหมือนมีระลอกขึ้นอยู่ในแววตา
“คุณหนูตู๋กู เจ้าเป็นอันใดไป?”
น้ำเสียงของเขาเบาอย่างมาก แต่ยังแฝงไปด้วยพลังที่กำลังระงับเอาไว้อยู่
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็ได้สติกลับคืนมา
นางหลับตาลงแล้วมองไปยังหรงซิวที่อยู่ไม่ไกล
ในตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นหรงซิวหรือนาง ก็เหมือนว่าจะมีอายุไม่เยอะ
หว่างคิ้วยังมีความอ่อนเยาว์ และมีชีวิตชีวา
ในตอนนั้นพวกเขาน่าจะรู้จักกันมาสักพักแล้ว
แม้ว่านางจะยังคิดไม่ออกว่ามันผ่านมานานขนาดไหน
แต่นางยังจำได้เป็นอย่างดีว่าในตอนนั้นหัวใจนางเต้นแรงแค่ไหน
นั่นคือครั้งแรก ที่หัวใจเต้นแรง ใบหน้าร้อนผ่าว มือไม้พันกันยุ่งเหยิง
แต่กลับมีความสุขที่แพร่กระจายออกมาจนไม่สามารถบรรยายได้
น่าจะเป็นตอนนั้น หรือก่อนหน้านั้น
นางน่าจะชอบผู้ชายคนนี้แล้ว
ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว
แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ยังอยู่ด้วยกัน
…
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่เปล่งประกาย จากนั้นก็ส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร เพียงแค่นึกเรื่องอันใดบางอย่างได้เท่านั้น”
นางเชิดคางขึ้น เลิกคิ้วแล้วยิ้มเล็กน้อย
“ด่านนี้ ข้าน่าจะเป็นที่หนึ่งสินะ?”
ทุกอย่างเงียบกริบ
ทุกคนมองไปยังแม่นางที่ยืนอยู่กลางท้องพระโรง
ในตอนนั้นพวกเขายังรู้สึกงุนงงอยู่สักพัก
เช่นนี้…ที่หนึ่งหรือ!?
ก่อนหน้านี้มีคนมากมายต้องการเชิญให้ฝ่าบาทลงมือ แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำได้ อีกทั้งนางไม่ได้ทำเพียงแค่นั้น แม้กระทั่ง…ยังสามารถชนะฝ่าบาทได้ด้วย!
มุมปากของหรงซิวยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“เจ้าคือที่หนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรีแล้ว”
…
เจียงจื่อหยวนหักเล็บที่ถูกตัดแต่งอย่างประณีตของตัวเองออก
ความรู้สึกเจ็บปวดจากปลายนิ้วอย่างรุนแรง ทำให้ใบหน้าของนางซีดขาว
ความรู้สึกไม่ยินยอม และอึดอัดกลับไม่มีค่าพอให้พูดถึง
เป็นแบบนี้ไปได้อย่างใด?
ที่หนึ่งมันสมควรเป็นนาง!
ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ นางเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในงานอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด มีคุณสมบัติที่จะเป็นพระชายามากที่สุด
นางคิดแบบนั้นมาโดยตลอด จึงไม่รู้สึกกดดัน
แต่เมื่อถึงตอนนี้ นางกลับถูกตู๋กูเยว่แย่งที่หนึ่งไป
ในที่สุดตอนนี้นางก็ตระหนักได้ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า!
นางคิดว่าตำแหน่งนี้นางจะสามารถได้มาอย่างง่ายดาย แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น!
ความจริงหากแม่นางจากเผ่าอื่นชนะ นางจะไม่รู้สึกเช่นนี้เลย
นางสามารถให้เผยเพ่ยผู้นั้นชนะได้ แต่ไม่อยากเห็นตู๋กูเยว่ยืนอยู่ตรงกลาง แล้วกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน!
หรงซิวปฏิบัติต่อนางแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด!
ภายในใจของเจียงจื่อหยวนสามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เจียงเห่อเทียนหันศีรษะไป ก็มองเห็นสีหน้าย่ำแย่ และไม่พอใจของเจียงจื่อหยวน
เขาขมวดคิ้วขึ้น แม้กระทั่งเขาเองก็ยังคิดไม่ถึง ว่าตำแหน่งที่หนึ่งนี้ สุดท้ายจะโดนตู๋กูเยว่แย่งไป!
เจียงจื่อหยวนจะต้องรู้สึกเสียใจอย่างมากแน่นอน
นางหยิ่งยโสจนเคยชิน จะยอมรับกับผลลัพธ์เช่นนี้ได้อย่างใด?
“จื่อหยวน ไม่ต้องกังวล นี่แค่ด่านแรกเท่านั้น หลังจากนี้เจ้าพยายามให้มากหน่อย ทุ่มเทเต็มกำลัง จะได้ตำแหน่งคืนมาอย่างแน่นอน!”
เจียงเห่อเทียนปลอบใจอย่างอดทน
“แต่นางสามารถชนะที่หนึ่งได้…”
เจียงจื่อหยวนพูดพึมพำ
“ที่หนึ่งแล้วอย่างใด? หรือว่าพระราชวังเมฆาสวรรค์จะปล่อยให้ผู้หญิงที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าเป็นพระชายาเช่นนี้?”
เจียงเห่อเทียนพูดด้วยความมั่นใจ
ตราบใดที่หรงซิวคำนึงถึงเรื่องหนักเบา ตำแหน่งพระชายานี้เขาจะต้องมอบให้เซียนสุ่ยหลิงของพวกเขาอย่างแน่นอน ส่วนตำแหน่งอื่นๆ …ที่ต้อยต่ำอย่างพระสนม เขาสามารถเลือกใครก็ได้
เรื่องนั้นไม่สำคัญ
ในตอนที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เขาก็ชำเลืองสายตาไปมองเห็นว่าที่ฝ่ามือของเจียงจื่อหยวนมีเลือดไหลออกมา เขาจึงตกใจอย่างมาก
“จื่อหยวน มือของเจ้า…”
สติของเจียงจื่อหยวนค่อยๆ กลับมา นางเอามือไพล่หลัง จากนั้นกัดฟันแล้วพูดว่า
“ข้าไม่เป็นไร ท่านพ่อพูดได้ถูกต้อง หลังจากนี้ข้าจะต้องแย่งที่หนึ่งกลับมาได้อย่างแน่นอน!”
นางไม่มีทางยอมให้ตู๋กูเยว่แย่งความโดดเด่นไปอย่างแน่นอน!
เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็เงยหน้าขึ้นไปมองหรงซิว
“ฝ่าบาท ด่านแรกสิ้นสุดลงแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มแข่งด่านที่สองกันได้เถอะ!”
ด่านนี้นางจะต้องเอาชนะให้ได้