ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1092 วางไพ่ใบสุดท้าย ตอนที่ 1093 ข้ารอเจ้ากลับมาโดยตลอด
- Home
- ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
- ตอนที่ 1092 วางไพ่ใบสุดท้าย ตอนที่ 1093 ข้ารอเจ้ากลับมาโดยตลอด
ตอนที่ 1092 วางไพ่ใบสุดท้าย / ตอนที่ 1093 ข้ารอเจ้ากลับมาโดยตลอด
ตอนที่ 1092 วางไพ่ใบสุดท้าย
ภายในห้อง
ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวนั่งเผชิญหน้ากัน
บรรยากาศที่เงียบสงบ แต่อากาศกลับดูเย็นลง
มีเพียงกระแสลมพัดผ่านระหว่างทั้งสองคน
หลังจากเข้ามาด้านในแล้ว ทั้งสองคนก็นั่งนิ่งเงียบ
ฉู่หลิวเยว่กอดอกด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็ใช้สายตาสำรวจมองฝ่าบาทขึ้นลง
ส่วนหรงซิวใช้มือข้างหนึ่งยกถ้วยชา และให้พระชายาที่เพิ่งได้รับตำแหน่งสำรวจอย่างเต็มที่
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หรงซิวเป็นฝ่ายที่มีท่าทางผ่อนคลายมากกว่า
หลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็สาวเท้าไปด้านหน้า และวางมือลงบนโต๊ะ ดวงตาที่งดงามของนางหรี่ลง และมีนัยของความอันตราย
“ฝ่าบาทในเวลานี้แล้ว ท่านยังมีท่าทีสบายอกสบายใจอยู่หรือ?”
ยังมีหน้ามาดื่มชาอีก?
หรงซิวจิบน้ำชา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างช้าๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย
สายตาเปล่งประกายรอยยิ้ม
“พระชายาโปรดปรานงานหนัก ข้าถูกจำกัดไม่ให้ผ่อนคลายมาเป็นเวลาสามวันสามคืนแล้ว หรือว่าข้าจะดื่มชาที่ชอบสักถ้วยก็ไม่ได้หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ชายพวกนี้ไม่ว่าจะสวมชุดสีขาวหรือสีดำ จะเป็นหลีอ๋องหรือโอรสสวรรค์ แต่เขาเป็นคนจิตใจอำมหิตเหมือนกัน!
หน้าก็หนายิ่งกว่ากำแพงเมือง!
ทันทีที่เขาเปิดปาก ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่รู้ว่าจะโต้เถียงอย่างใด
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมบ่นในใจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าอย่างใดก็ตามเขาเป็นผู้ชายของนาง ไม่สามารถฆ่าได้ ฆ่าไม่ได้เด็ดขาด!
นางเอนกายพิงพนักเก้าอี้อีกครั้ง แล้วแค่นหัวเราะเสียงเย็น
“ฝ่าบาท หากครั้งนี้ข้าไม่ได้มาหาท่านเอง ฐานะของท่าน ท่านจะปิดไปถึงเมื่อไร?”
หรงซิวครุ่นคิดอย่างรอบคอบ แต่ยังคงเลือกที่จะพูดปกป้องตัวเองสักประโยคสองประโยค
“ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่เทียนลิ่ง ความจริงแล้วข้าเคยพูดกับเจ้ามาก่อน เพียงแต่ไม่ได้พูดอย่างละเอียด น่าจะไม่นับว่าข้าตั้งใจปกปิดหรอกมั้ง?”
ไม่ต้องพูดเรื่องนี้ดีกว่า เมื่อพูดขึ้นฉู่หลิวเยว่ก็เริ่มโมโหขึ้น
“นั้นนับว่าเป็นการพูดถึงอันใด?”
“ตอนนั้นท่านไม่ได้พูดว่าเผ่าของมารดาท่าน เป็นเผ่าอันดับหนึ่งในอาณาจักรเสิ่นซวี่อย่าง พระราชวังเมฆาสวรรค์นี่นา!”
นี่ไม่ใช่ตระกูลธรรมดาเสียหน่อย แต่เขาไม่ได้พูดถึงเลยตั้งแต่ต้นจนจบ!
หรงซิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง น้ำเสียงจริงจังขึ้นหลายส่วน
“ถ้าข้าบอกเจ้าในตอนนั้นมันก็จะไม่เหมาะสม อีกทั้งทางด้านพระราชวังเมฆาสวรรค์ ก็ยังมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังไม่ได้จัดการ ดังนั้นข้าจึงวางแผนไว้ว่า รอเจ้าทะลวงจนถึงระดับจอมยุทธ์ระดับเก้า แล้วค่อยพูดให้เจ้าฟังอย่างละเอียดอีกที แต่คิดไม่ถึงว่า…”
เขายิ้มออกมา ทันใดนั้นเองสีสันทั่วทั้งฟ้าดินถูกแย่งชิงไปจนหมด ดวงตาลึกล้ำ ราวกับทำให้คนสามารถจมดิ่งลงไปในนั้น และไม่สามารถหลุดพ้นออกมาได้
“เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะสามารถทะลวงด่านได้เร็วขนาดนี้ อีกทั้ง…”
อีกทั้งสัญลักษณ์นั้นก็ได้ตื่นขึ้นแล้ว
เรื่องนี้มันเร็วกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้มาก
น่าจะเป็นในตอนที่นางทะลวงถึงระดับจอมยุทธ์ระดับเจ็ด หลังจากผ่านการทะลวงพลังจิตวั่งเสิ่น จึงสามารถดึงดูดสิ่งเหล่านี้ได้
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้พูดอันใด
ความจริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ นางเองก็สามารถมองออก
สถานการณ์ของหรงซิวในพระราชวังเมฆาสวรรค์ค่อนข้างจะอันตรายมากจริงๆ
ไม่ต้องพูดถึงคนของเซียนสุ่ยหลิง เพียงแค่ผู้อาวุโสเหล่านั้น ก็เหมือนว่าจะไม่ได้ยืนอยู่ข้างเขา
หากไม่ใช่เพราะว่าผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกอยู่ และสามารถยับยั้งพวกเขาได้ เกรงว่า…
“เช่นนั้นหยุดพูดเรื่องนี้ไปก่อน ตอนนี้ข้าขอถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้าจะต้องตอบมาตามความจริง”
ฉู่หลิวเยว่ตัดสินใจแน่วแน่ หรงซิวลูบปากถ้วยชา กลิ่นชาที่ขมผสมเผ็ดร้อนยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปาก
เขาพยักหน้า
“ได้”
ฉู่หลิวเยว่เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยืดตัวตรงโดยไม่รู้ตัว
นางมองไปที่ชายที่นั่งอยู่ตรงข้าม แล้วพูดว่า
“ข้า…เป็นใครกันแน่?”
ตอนที่ 1093 ข้ารอเจ้ากลับมาโดยตลอด
ท่ามกลางความเงียบ
หรงซิวหยุดชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็เงยหน้ามองฉู่หลิวเยว่
“เจ้าคือซั่งกวนเยว่ และก็คือฉู่หลิวเยว่”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้น “
เจ้ารู้ดีว่าข้าไม่ได้ถามเรื่องนี้”
“แต่ทั้งสองสิ่งนี้เป็นตัวตนของเจ้า” หรงซิวตอบ “คนที่รู้ดีที่สุดว่าเจ้าคือใครนั้นคือตัวของเจ้าเอง”
ฉู่หลิวเยว่แน่นหน้าอก
นางชะงักไปเล็กน้อย
“หรงซิว ข้านึกเรื่องบางสิ่งออกแล้ว”
“คนที่เล่นหมากกับข้าในศาลาแปดเหลี่ยมก็คือเจ้า คนที่ดื่มชาขิงของข้าก็คือเจ้า คนที่ทำสัญญากับข้าก็คือเจ้า”
ฉู่หลิวเยว่มองหน้าเขา ยิ่งพูดมากขึ้น ในสมองของนางก็มีภาพเหตุการณ์เพิ่มขึ้น
แต่ส่วนใหญ่แล้วยังคงกระจัดกระจาย เลือนราง แต่ส่วนนี้ชัดเจนอย่างมาก
“ความทรงจำของข้าหายไปส่วนหนึ่ง เจ้ารู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว แต่เจ้ากลับไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย อีกทั้งความทรงจำในส่วนที่หายไปนั้น เป็นส่วนที่มีแต่เจ้า”
เรื่องราวเหล่านี้สามารถอธิบายได้มากมาย
“พวกเรารู้จักกันมาก่อนตั้งนานแล้ว ข้ายังไม่ทันได้กลับไปบอกเรื่องแต่งงานของพวกเรากับเสด็จพ่อเลย แต่…หลังจากนั้นล่ะ?”
นางจำไม่ได้ว่าพวกเราพบกันครั้งแรกที่ไหน และยิ่งไม่รู้ว่าหลังจากสัญญาไปแล้วมันเกิดเรื่องอันใดขึ้น หลังจากที่นางกลับไปที่ราชวงศ์เทียนลิ่งแล้ว
คาดไม่ถึงว่านางจะหมั้นหมายกับเจียงอวี่เฉิงอีกครั้ง และหลังจากนั้นยังมีเรื่องมากมายตามมา!
นางเคยคิดว่าตัวเองนั้นชอบเจียงอวี่เฉิง
แต่หลังจากที่นางได้เจอกับหรงซิวนางถึงได้เข้าใจว่า ความจริงแล้วนั่นไม่ได้เรียกว่าชอบ เพียงแต่ไม่ได้รำคาญเท่านั้น
เมื่อรู้ว่าเจียงอวี่เฉิงร่วมมือกับซั่งกวนหว่าน นางก็รู้สึกโกรธและเสียใจอย่างมากที่โดนคนใกล้ชิดหักหลัง
เมื่อมาคิดอย่างละเอียดแล้ว เหมือนว่านางจะไม่ได้สนใจเรื่องที่พวกเขาลอบอยู่ด้วยกันเลย
เพียงแต่ในตอนนั้นนางถูกคนทรยศทำร้าย
ความโกรธจึงครอบงำนาง ในสมองเต็มไปด้วยเรื่องล้างแค้น
ก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้สึกอันใด แต่ในตอนนี้เมื่อคิดขึ้นมา นางถึงจะตระหนักได้ว่ามีเรื่องหลายอย่างผิดปกติ
ในเมื่อนางกับหรงซิวอยู่ด้วยกันตั้งนานแล้ว นางสัญญาว่าจะไปบอกเรื่องนี้กับเสด็จพ่อ และนางไม่สามารถแต่งงานกับคนอื่นได้
แต่หลังจากที่นางกลับไปที่ราชวงศ์เทียนลิ่งแล้วมันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
หรงซิวมองนางด้วยสายตาลึกล้ำ แล้วถอนหายใจออกมา คล้ายดีใจคล้ายแววตาเต็มไปด้วยความรัก
“ที่แท้เจ้าก็นึกได้มากขนาดนี้แล้ว”
มิน่าล่ะสัญลักษณ์นั้น…
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเหมือนกับเขาได้ตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ เขาพูดขึ้นว่า
“พวกเรารู้จักกันเมื่อสามปีที่แล้ว”
หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต้นไม่เป็นจังหวะ!
สามปีที่แล้ว!
นับตั้งแต่ที่นางเกิดใหม่ก็นับเป็นเวลาปีครึ่ง ถ้านับตั้งแต่ตอนที่นางสิ้นชีวิตก็เป็นเวลาสองปีครึ่ง
ถ้าพวกเราพบกันตั้งแต่สามปีก่อน…
นั่นหมายความว่า พวกเรารู้จักกันก่อนตายแค่ครึ่งปี?
เหมือนว่าเขาสามารถเดาความคิดของฉู่หลิวเยว่ หรงซิวยิ้มเล็กน้อย แล้วส่ายหน้า
“ความจริงแล้วมันนานกว่าที่เจ้าคิดเล็กน้อย หลังจากเจ้าบอกว่าเจ้าจะกลับไป ตอนนั้นพวกเราถึงได้แยกจากกัน เราถึงได้จากกัน แต่หลังจากผ่านไปประมาณสองสามเดือน เจ้าก็เกิดเรื่องขึ้น และเรื่องต่อจากนั้นก็เป็นอย่างที่เจ้ารู้”
เลือดในแก้วหูของฉู่หลิวเยว่กำลังสั่นสะเทือน นางรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก
ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบคั้นหัวใจ
หัวใจของนางบีบแน่นจนทำให้นางหายใจแทบไม่ออก ลำคอของนางบีบแน่น
ก่อนจะถามออกมาอย่างยากลำบาก
“ดังนั้นตอนที่ข้าเกิดใหม่ที่แคว้นเย่าเฉิน…มันมีส่วนเกี่ยวกับเจ้าด้วยหรือ?”
นางโชคดีที่สามารถรักษาชีวิตกลับมาได้ และได้เกิดใหม่เป็นฉู่หลิวเยว่ที่อาศัยอยู่ในแคว้นเย่าเฉิน อีกทั้งในวันนั้นก็ได้พบกับหรงซิวด้วย!
เรื่องบังเอิญมากมาย นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าสงสัยเลย
เมื่อหรงซิวได้ยินเช่นนั้น เขาก็ใช้ปลายนิ้วถูลงบนขอบถ้วยชา
ภายในห้องเต็มไปด้วยความเงียบกริบ
ทุกนาทีทุกวินาที เรื่องทั้งหมดกลายเป็นความทุกข์ทรมาน
ในตอนที่ฉู่หลิวเยว่คิดว่าหรงซิวจะไม่ตอบ แต่ในที่สุดเขาก็พูดขึ้น
“ใช่”
“ข้าจงใจไปอยู่ที่นั่น เพื่อรอเจ้ากลับมา”
…
“เหตุใดทั้งสองคนนั้นยังไม่ออกมา? ก็ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดอันใดอยู่กันแน่ คาดไม่ถึงว่าจะคุยกันนานขนาดนั้น?”
หลังจากผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกจัดการเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในงานคัดเลือกพระชายาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินทางมาที่ตำหนักสักการะเทพ
เมื่อเห็นว่าเยี่ยนชิงและอวี๋มั่วยังคงเฝ้าอยู่หน้าประตูเช่นเดิม จึงอดถามอย่างสงสัยไม่ได้
“คารวะผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหก”
ทั้งสองคนทำความเคารพผู้อาวุโส
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกโบกมือ
“เป็นอย่างใดบ้าง?”
“คือว่า…ผู้อาวุโส ท่านก็รู้เรื่องรอบตำหนักสักการะเทพจะมีม่านพลังและค่ายกลอยู่ทั่วทุกทิศ หากฝ่าบาทไม่ต้องการให้พวกเราได้ยินและได้เห็น ท่านจะต้องมีหนทางอย่างแน่นอน สถานการณ์ด้านในเป็นอย่างใด พวกเราล้วนไม่ทราบ!”
อวี๋มั่วกล่าวตอบอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็หันไปมองที่เส้นขอบฟ้าที่มีแสงสีขาวจางๆ ยามราตรีได้ผ่านพ้นไป ในตอนนี้ฟ้าได้สว่างแล้ว แต่คนที่อยู่ภายในก็ยังไม่ออกมา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้ารบกวน
“นังหนู…พระชายาเดินทางมาที่นี่อย่างยากลำบาก อีกทั้งยังเหนื่อยล้า ไม่แน่ว่านางอาจจะอยากพักผ่อนด้านใน…”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกลูบเคราของตัวเอง ท่าทางเข้าอกเข้าใจ
จากนั้นเขาก็เหลือบสายตามอง ท่าทางของเขาชะงักไปเล็กน้อย
“นั่นมัน…เด็กที่เดินทางมากับพระชายาหรือ?”
เขาชี้นิ้วไปทางร่างเงาสีม่วงที่นั่งอยู่บนม้าหินอ่อนไม่ใกล้ไม่ไกลแล้วถามขึ้น
“พ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่เมื่อวานเขานั่งอยู่ที่นี่มาโดยตลอด…”
เมื่อพูดถึงเด็กคนนี้ว่าเยี่ยนชิงและอวี๋มั่วก็ปวดหัวอย่างมาก
เมื่อวานตอนที่ฝ่าบาทและพระชายากลับมา เด็กคนนี้ก็เดินตามพระชายามาตลอดทาง
ตอนที่พระชายาพูดว่าต้องการจะสนทนากับฝ่าบาทตามลำพัง และทิ้งเด็กคนนี้ให้อยู่ที่นี่
เดิมทีพวกเขาจะจัดห้องพักพิเศษให้เด็กคนนี้ แต่ไม่ว่าจะโน้มน้าวอย่างใด เขาก็ไม่ยอมขยับเขยื้อน และนั่งอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด
พวกเขาคิดว่าเด็กคนนี้ดื้อรั้นเป็นปกติ จึงไม่ได้บีบบังคับอันใด ถ้าเขาทนไม่ไหวแล้วหลับไปเสียก่อน เขาค่อยพากลับไปที่ห้อง
แต่ใครจะรู้เล่าว่าเด็กคนนั้นยังนั่งอยู่ในท่าเดิมไม่เปลี่ยน รอเช่นนั้นตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้…
“น่าแปลก…”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกหรี่ตามองเล็กน้อย
เด็กคนนั้นไม่เหมือนเด็กทั่วไป
แม้ว่าร่างกายของเขาจะไม่มีความผันผวนจากลมปราณเลย แต่กลับมีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามอย่างไม่สามารถอธิบายได้
เด็กคนนี้…เกรงว่าจะไม่ธรรมดา…
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกครุ่นคิด
“เขาอยากทำอันใดก็ปล่อยเขาไป”
“ขอรับ”
เขาหันกลับไปมองประตูที่ปิดสนิทอีกครั้ง
“ช่างเถอะ เช่นนั้นเดี๋ยวข้าจะมาใหม่!”
เมื่อเขาพูดจบ เขาก็เตรียมตัวเดินจากไป แต่เขาเพิ่งเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว เสียงประตูเปิดก็ดังไล่หลังขึ้น
แกร๊ก…
“ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกตามหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ?”
น้ำเสียงที่แหบพร่าของหรงซิวดังขึ้นเล็กน้อย
“ถวายบังคมฝ่าบาท!”
เยี่ยนชิงรีบทำความเคารพทั้งสองท่าน
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกหันกลับไปมอง
หรงซิวยังคงสวมใส่ชุดสีดำดั่งเช่นเมื่อวาน รอยใต้ตาสีอีกาจางๆ ราวกับว่าไม่ได้นอนมาทั้งคืน
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกลอบมองไปด้านใน น่าเสียดายที่มองไม่เห็นอันใดเลย
“พระชายาเป็นอย่างใดบ้าง?”
หรงซิวยิ้มจางๆ
“ตอนนี้นางหลับไปแล้ว”
ช่วงหลายวันมานี้นางวิ่งเต้นมาอย่างต่อเนื่อง กอปรกับความทรงจำของนางเพิ่งฟื้นคืน นางจำเป็นจะต้องพักผ่อนให้ดี
“เช่นนั้นก็ดี…”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกพยักหน้าอย่างเข้าใจ สีหน้าของเขาจริงจังขึ้นเล็กน้อย พร้อมคำถาม
“ฝ่าบาท ท่านเคยได้ยินเรื่องสำนักบ้างหรือไม่?”