ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1097 ข่มขู่ ตอนที่ 1098 พี่เป่าจอมเข้มงวด
ตอนที่ 1097 ข่มขู่ / ตอนที่ 1098 พี่เป่าจอมเข้มงวด
ตอนที่ 1097 ข่มขู่
รอยยิ้มบนใบหน้าของหรงซิวจางหายไปทันที ดวงตาของเขาแข็งกร้าวขึ้นมาราวผลึกน้ำแข็งอันเย็นเฉียบ
“ผู้อาวุโสถงชวนโปรดระวังวาจา ยามนี้เยว่เอ๋อคือชายาของโอรสแห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ และท่านมิสามารถสบประมาทนางพล่อยๆ เช่นนี้ได้”
“สบประมาทหรือ?”
ผู้อาวุโสถงชวนโกรธจนแทบจะพ่นไฟได้อยู่รอมร่อ
สวรรค์รู้ดีว่าเขาโมโหโกรธามากมายเพียงใด เมื่อได้ยินข่าวนี้และเหตุผลทั้งหมดทั้งปวงที่โอรสสวรรค์อย่างเขาใช้อ้างอิง!
“แล้วข้าพูดผิดตรงไหนกัน? ภูมิหลังของนางนั้นไร้ที่มาที่ไปจริงๆ มิใช่หรือ? ดูเผินๆ ก็เป็นแค่คนนอกพรมแดน แต่แท้จริงนางกลับมีพรสวรรค์และสายเลือดอันทรงพลังแฝงอยู่ในกาย! แต่จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีผู้ใดรู้ถึงตนตัวของนาง!”
“นอกจากนี้ นางยังทำสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ถึงสองตัว! เรื่องแบบนี้มันเกินมนุษย์มนาทั่วไปแล้ว! หากกล่าวว่านางเป็นเพียงสตรีธรรมดาไร้เล่ห์เหลี่ยมล่ะก็ ตัวท่านเชื่อเช่นนั้นจริงๆ หรือฝ่าบาท?”
“สรุปแล้วตัวตนของแม่นางผู้นี้ล้วนน่าสงสัยยิ่งนัก ด้วยความสัจจริง นางแบกรับบทบาทของพระชายาไม่ไหวแน่นอน!”
หรงซิวยังคงวางท่าทีสงบนิ่ง เขาเอนตัวพิงเก้าอี้และประสานมือไว้หน้าตัก
“ผู้อาวุโสถงชวน สาเหตุท่านกลับมาวันนี้ เพียงเพื่อกล่าวโทษข้ากับชายาสองคนอย่างนั้นหรือ?”
“หากมิใช่เพราะฝ่าบาททำสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร เช่นนั้นข้าจักมาอยู่ที่นี่เหตุใด!”
ผู้อาวุโสถงชวนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“แต่ไม่ใช่แค่ข้าคนเดียว ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสคนอื่นๆ เองก็ถูกฝ่าบาทส่งตัวออกไปทำราชกิจด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ! นั่นเพราะท่านตั้งใจจะทำเช่นนี้ตั้งแต่แรก! ใช่หรือไม่? แค่แม่นางเพียงคนเดียวแต่ฝ่าบาทถึงกับยอมทำเช่นนี้ ข้าผิดหวังในตัวท่านยิ่งนัก!”
อันที่จริงเรื่องนี้มิได้ซับซ้อนเพียงนั้น
ตอนแรกหรงซิวยอมรับข้อเสนอของเหล่าคนจากพรรคหมิง และตกลงที่จะจัดพิธีคัดเลือกพระชายา แถมยังมีการประกาศชวนเชิญสาวงามจากเผ่าทั้งหมดอีก
หากใครได้ยินเช่นนั้นย่อมคิดว่าเขากำลังจะเลือกพระชายาของตัวเองแน่ๆ!
ซึ่งตามขั้นตอนแล้ว แม่นางที่ต้องถูกเลือกและได้ครองตำแหน่งพระชายา ควรตกเป็นของแม่นางเผ่าเซียนสุ่ยหลิงเจียงโดยไร้ข้อกังขา
และถ้าเขาต้องการ เขาก็สามารถเลือกนางสนมคนอื่นๆ เพิ่มได้
ฉะนั้นผู้อาวุโสถงชวนและคนอื่นๆ ถึงไม่ได้เอะใจ หรือคิดมากเกี่ยวกับงานพิธีที่ถูกจัดขึ้น
แม้แต่ผู้อาวุโสก็ถูกส่งไปราชกิจก่อนเริ่มงานพิธีคัดเลือกพระชายาเอง ก็คิดไม่ถึงว่ามันเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นได้
…แล้วใครจะไปคาดคิดว่า หรงซิวจงใจเลือกซั่งกวนเยว่ผู้นั้นตั้งแต่แรก!?
“เผ่าเซียนสุ่ยหลิงเจียงถือเป็นผู้นำของเผ่าทั้งหมดกว่ายี่สิบแปดเผ่า พวกนั้นภักดีต่อพระราชวังเมฆาสวรรค์มานานนับพันปี! และคุณหนูใหญ่เจียงเองก็เป็นที่รักของท่านประมุขยิ่งนัก ตั้งแต่ในอดีตนางได้รับการพิจารณาจากพวกข้าแล้ว ว่าเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งพระชายา! ฝ่าบาทเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าการทำเช่นนั้น จะทำให้เผ่าเซียนสุ่ยหลิงเจียงเสื่อมเสียชื่อเสียงขนาดไหน อีกทั้งคุณหนูใหญ่เจียงเองก็จะ…”
“นี่คือชายาที่ข้าเลือก มิใช่ประมุข หรือพวกเจ้า”
หรงซิวแสยะยิ้มพลันขัดจังหวะเขา ทว่าแววตากลับไร้ซึ่งรอยยิ้มผูกมิตร
“สุดท้ายแล้ว เผ่าเซียนสุ่ยหลิงเจียงก็แค่หนึ่งในยี่สิบแปดเผ่า ที่ควรเชื่อฟังการตัดสินใจทั้งหมดของพระราชวังเมฆาสวรรค์ และการที่ข้าจะเลือกใครเป็นชายานั้น พวกเขามีสิทธิ์เข้ามาก้าวก่ายอย่างนั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสถงชวนถึงกับสำลัก
“แม้แต่ท่านประมุขเองก็ยังไม่ป่าวประกาศสู่สาธารณชนว่า ต้องการเลือกเจียงจื่อหยวนให้เป็นพระชายาแก่ข้า เหตุใด หรือถ้าข้าไม่เลือกนาง พวกเซียนสุ่ยหลิงจะกบฏอย่างนั้นหรือ?”
ทุกคำพูดของหรงซิวนั้นดังฟังชัดและน่าเกรงขามยิ่ง!
โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่อีกฝ่ายพูดออกมาพร้อมอายเย็นยะเยือก!
“นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าการที่ผู้อาวุโสถงชวนพุ่งพรวดเข้ามาในห้องทรงงานของข้า และถามซักไซ้ข้าพัลวันเช่นนี้ก็…ดูจะไม่เหมาะสมเท่าไรเหมือนกัน?”
ถงชวนใจเต้นระส่ำ!
เขาถูกความโกรธครอบงำจนหน้ามืดตามัวจนหมดสิ้นสำนึกคิด แล้วบุกเข้ามาโดยไม่ลังเล
และเขาลืมไปเลยว่าหรงซิวในวันนี้ มิใช่เด็กใสซื่อไร้เดียงสาเมื่อหลายปีก่อนอีกแล้ว!
ผู้อาวุโสถงชวนสูดหายใจลึกและพูดอีกครั้งว่า
“หากฝ่าบาทยืนยันจะทำเช่นนั้น ข้าคงมิอาจแย้งได้ ไม่นานข่าวนี้จะแพร่กระจายออกไปทั่วราชอาณาจักร แต่ถ้าทางสำนักวิชายังยืนกรานที่จะปลดซั่งกวนเยว่ออกจากตำแหน่งพระชายา ข้าก็หวังว่าฝ่าบาทจะ…พร้อมรับมือกับมัน!”
ตอนที่ 1098 พี่เป่าจอมเข้มงวด
“เรื่องนี้ผู้อาวุโสถงชวนไม่ต้องห่วง”
หรงซิวยิ้มเยาะ
“หากท่านรู้สึกแย่กับเรื่องนี้ถึงเพียงนั้น ก็หาเวลาไปปลอบใจประมุขกับคุณหนูใหญ่เจียงแห่งเผ่าเซียนสุ่ยหลิงเถิด อย่างใดเสีย ท่านกับพวกเขาก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอดหนิ”
ถงชวนใจกระตุกวูบ พร้อมความกระวนกระวายใจที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาทีละน้อย เขาตกใจพลันเหลือบมองหรงซิวแวบหนึ่ง
หรงซิวรู้อันใดมาอย่างนั้นหรือ?
ทว่าบนใบหน้าอันสูงศักดิ์และร้ายกาจดุจจอมมารของหรงซิว มีเพียงรอยยิ้มบางแต่งแต้มไว้จางๆ ดวงตาคมคู่นั้นลึกล้ำและดำดิ่งเสียจนคนมองอ่านความคิดของเขาไม่ออก
โอรสสวรรค์ผู้นี้ ยิ่งโตวีธีการของเขาก็ยิ่งโหดเหี้ยมและเด็ดขาดมากขึ้น แถมยังเดาความคิดได้ยากขึ้นด้วย…
ผู้อาวุโสถงอึดอัดใจอย่างมาก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วย่อตัวลง
“นั่นไม่จำเป็น ข้าเป็นผู้อาวุโสของพระราชวังเมฆาสวรรค์ เดิมทีก็ควรรักษาระยะห่างจากชนเผ่าอื่นๆ อยู่แล้ว จะให้ทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไร? ที่ข้ามาคุยกับท่านในวันนี้ก็เพื่อตัวท่านและพระราชวังเมฆาสวรรค์ทั้งหมด หากเกิดข้อผิดพลาดประการใด ข้าหวังว่าฝ่าบาทจะทรงอภัยให้”
หรงซิวพยักหน้าตอบไปราวกับไม่สนใจ พลันยกยิ้มเล็กน้อย
“แน่นอน หลายปีที่ผ่านมาผู้อาวุโสถงชวนทั้งจงรักภักดีและอุทิศตนให้พระราชวังเมฆาสวรรค์ของเรา แล้วข้าจะไม่พอใจเจ้า เพียงเพราะเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ได้อย่างใด?”
“เช่นนั้นก็ดี ดีจริงๆ …”
เสียงของถงชวนแผ่วลงกว่าเดิม
ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งๆ ที่หรงซิวก็ดูปกติดี แต่กลับเป็นเขาเองที่ร้อนใจขึ้นเรื่อยๆ หลังจากพูดคุยอีกสองสามประโยค เขาก็รีบกล่าวลาและจากไป
เมื่อเห็นเขาหายไปจากครรลองสายตาแล้ว หรงซิวก็พลันหรี่ตาลงพลางคว่ำปากอย่างผิดหวัง
“…ช่าง…อ่อนแอเสียจริง…”
ก็แค่กล่าวอย่างคลุมเครือ ก็ถึงกับลนลานมากเพียงนี้แล้ว
ไม่น่าเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายจะวางอำนาจในพระราชวังเมฆาสวรรค์มาได้ตั้งหลายปี
และเมื่อคิดถึงเรื่องชองสำนักวิชา แววตาของหรงซิวพลันหม่นแสงลง ก่อนจะเริ่มเขียนจดหมาย
…
ขณะที่โลกภายนอกกำลังเกิดสงครามย่อมๆ ทว่ายามนี้ฉู่หลิวเยว่กลับไม่รู้เรื่องเลย
นางกำลังเล่นหมากรุกกับตู๋กูโม่เป่า
กึก!
ตู๋กูโม่เป่าดีดนิ้วส่งหมากรุกตัวหนึ่งให้ลอยไปตกลงบนกระดานหมากรุก!
ฉู่หลิวเยว่แพ้!
พรึบ!
กระดานหมากรุกพลันหายวับไป!
ฉู่หลิวเยว่บีบนวดใบหน้าของตนอย่างท้อใจ
“ข้าแพ้อีกแล้ว”
ทว่าใบหน้าเล็กๆ ของตู๋กูโม่เป่ายังคงเรียบเฉย
“ดีกว่าตาเมื่อครู่นิดหน่อย แต่ก็ยังไม่พอ”
ฉู่หลิวเยว่มองเขาอย่างเศร้าสร้อย
“ได้เดินหมากเพิ่มขึ้นห้าก้าวนี่ถือว่าคืบหน้าอยู่ใช่หรือไม่?”
ตลอดสองชั่วยามนี้ นางจำไม่ได้เลยว่าตัวเองนั้นพ่ายแพ้ไปแล้วกี่ครั้ง
และหลังจากจบสองชั่วยาม “ความคืบหน้า” อันน่าสมเพชเพียงอย่างเดียวที่ได้ก็คือ จำนวนการเดินหมากของนางเพิ่มขึ้นตั้งห้าก้าว
แต่มันก็แค่ตาเดียวเท่านั้น
“หรงซิวเองก็น่าจะเคยเล่นหมากรุกกับเจ้าใช่หรือไม่? แล้วเขาสู้เจ้าได้กี่ก้าว?”
ฉู่หลิวเยว่โพล่งถามด้วยความสงสัย
ตู๋กูโม่เป่าตวัดตาขึ้นมองนางนิดๆ
“มากกว่าเจ้าก็แล้วกัน”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
นี่นางควรจะถามต่ออีกดีหรือไม่?!
แน่นอนว่านางรู้ว่าหรงซิวนั้นแข็งแกร่งกว่านางในตอนนี้มาก!
แม้คืนวันงานพิธีคัดเลือกพระชายา นางจะสามารถเอาชนะหรงซิวได้อย่างหวุดหวิด แต่ความจริงแล้วนางรู้ว่าเขาออมมือให้ และมิได้แสดงพลังที่แท้จริงออกมาแต่อย่างใด
และนางรู้มาตลอดว่า นางไม่มีทางชนะเขาได้จริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง คิดแล้วฉู่หลิวเยว่ก็พลันใจเสียขึ้นมา
“เช่นนั้นก็ฝึกต่อเถอะ!”
แต่ตู๋กูโม่เป่ากลับส่ายหัว
“ถึงเวลาฝึกอย่างอื่นแล้ว ถ้าจะเล่นต่อก็รอพรุ่งนี้”
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็นึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ตู๋กูโม่เป่าขอให้นางฝึกกับเขาแค่สองชั่วยาม และฝึกโดยใช้หุ่นเชิดที่เขา “พัฒนา” ขึ้นมาใหม่ด้วย
นางกวาดตามองไปรอบๆ
“เหมือนว่าที่นี่จะไม่เหมาะนะ?”
ตู๋กูโม่เป่ากระโดดลงจากเก้าอี้และเดินออกไปข้างนอก
“ตำหนักสักการะเทพใหญ่โตมาก ตรงไหนที่ว่าฝึกไม่ได้กัน?”
…
หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่เดินออกมา นางถึงได้รู้ว่าตัวเองกังวลมากเกินไป
และดูเหมือนว่าหรงซิวจะเตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว โดยมีเยี่ยนชิงเป็นคนพาพวกเขาไปยังสนามฝึกด้านหลังตำหนักโดยตรง
ระหว่างทาง นอกจากนายทหารในชุดเกราะสีดำแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่เห็นใครอื่นอีก
ตอนที่นางขึ้นมาที่นี่เมื่อคืน นางแทบไม่มีสติและจำอันใดไม่ได้ แต่ตอนนี้นางตระหนักได้ว่าเวรยามของตำหนักสักการะเทพนั้นเข้มงวดอย่างมาก!
ซึ่งผู้ที่ได้รับเลือกให้สังกัดอยู่ที่นี่ ย่อมเป็นทหารที่แข็งแกร่งและมีการศึกษาระดับสูง
ฉู่หลิวเยว่สังเกตเห็นว่า บนกายของพวกเขาส่วนใหญ่มีกลิ่นคาวเลือดแผ่กระจายออกมา น้อยบ้างเยอะบ้างปะปนกันไป
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเหล่านี้ล้วนเคยผ่านความเป็นความตายกันมาแล้วทั้งสิ้น!
ในใจของฉู่หลิวเยว่คิดว่านางรู้จักพระราชวังเมฆาสวรรค์เพิ่มขึ้นอีกนิด
ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่แห่งนี้ มันคือเผ่าเดียวที่นางไม่ควรปรามาสเด็ดขาด!
…
สนามฝึกซ้อมแห่งนี้มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล พื้นสนามถูกปูด้วยแผ่นหยกดำ และจะเห็นได้ว่าตรงกลางพื้นสนามนั้นมีสัญลักษณ์ของพระราชวังเมฆาสวรรค์ขนาดใหญ่สลักไว้อยู่
แต่ที่แปลกก็คือ ไม่มีใครอยู่ที่นี่เลยสักคน ยกเว้นพวกเขาสามคนก็ไม่มีใครอื่นแล้ว
นี่มันหนาวกว่าข้างนอกเสียอีก
จากนั้นเยี่ยนชิงก็เริ่มอธิบาย
“พระชายาขอรับ ที่นี่คือสนามฝึกของฝ่าบาท โดยปกติแล้วจะมีเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่มาที่นี่ และทรงตรัสห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาโดยมิได้รับอนุญาตจากพระองค์”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้ารับทราบ
ก็ยังเผด็จการไม่เปลี่ยน!
“ก่อนหน้านี้ฝ่าบาททรงรับสั่งไว้ว่า ท่านทั้งสองสามารถมาที่นี่ได้ตามต้องการ และหากต้องการสิ่งใด ก็ขอให้บอกข้าน้อยได้”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางเอ่ยเย้าแย่
“แค่ที่นี่ใช่หรือไม่? แล้วขอออกไปนอกตำหนักสักการะเทพได้หรือเปล่า?”
ใบหน้าอันแข็งทื่อเสมือนภูเขาน้ำแข็งของเยี่ยนชิง ถึงกับสั่นคลอนไปพักหนึ่ง แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ
“ท่านได้สวมแหวนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ฉะนั้นสถานะของท่านในพระราชวังเมฆาสวรรค์ ก็แทบจะเท่ากับสถานะของโอรสสวรรค์แล้ว แน่นอนว่าท่านสามารถไปที่ไหนก็ได้ ตามที่ท่านต้องการ”
นี่มันฟังดูไม่เลวเลย
“เจ้ากลับไปก่อนได้เลย”
ตู๋กูโม่เป่ากล่าว
แน่นอนว่าเขาหมายถึงเยี่ยนชิงผู้นั้น
เยี่ยนชิงจึงโค้งคำนับด้วยความเคารพ
“ขอรับ ข้าน้อยจักรอท่านอยู่นอกประตู”
หลังจากพูดจบ เขาก็จากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเล
“เหมือนว่าเยี่ยนชิงและคนอื่นๆ เองก็รู้จักเจ้า”
ฉู่หลิวเยว่มองย้อนกลับไป ก่อนจะเห็นว่าเยี่ยนชิงออกไปแล้ว และประตูก็ปิดลงแล้วเช่นกัน
ตู๋กูโม่เป่าไม่ตอบคำ หากแต่เชิดปลายคางขึ้น
“ตอนนี้เจ้าขึ้นไปได้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ พลันเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อย แล้วกระโดดไปยังใจกลางของสนามฝึก!
“เริ่มกันเลย!”
ตู๋กูโม่เป่าขยับข้อมือหนึ่งที พลันมีคลื่นแสงสีม่วงพุ่งออกมา!
หึ่ง!
เพียงพริบตา ก็มีร่างเงาสูงใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้าฉู่หลิวเยว่!
นี่คือหุ่นเชิดสีทองอมน้ำตาล นางไม่รู้ว่ามันทำมาจากอันใด ดูๆ แล้วไม่น่าจะใช่ทั้งทองหรือหยก ทว่าครั้นต้องโดนแสงแดด มันกลับทอประกายแวววาวออกมาจางๆ
เมื่อก่อนฉู่หลิวเยว่ก็เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาแล้ว ย่อมรู้ว่าถึงหุ่นเชิดตัวนี้จะดูแข็งทื่อ แต่ในความเป็นจริงมันเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วมาก ถ้าไม่นับว่ามันรวบรวมพลังปราณดั้งเดิมไม่ได้ มันก็แทบจะเหมือนกับคนจริงๆ แล้ว!
พรึบ!
แสงสีม่วงสว่างวาบไปทั่วดวงตาของหุ่นเชิด พลันยิงลำแสงนั่นออกไป! โดยพุ่งเป้าไปยังฉู่หลิวเยว่!
พริบตาเดียว แสงนั่นก็มาถึงด้านหน้านางแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึง!
เร็วมาก!
นี่คือด่านแรกของการฝึกทะลวงระดับแปดสินะ!
หุ่นเชิดสีทองอมน้ำตาลปล่อยหมัดออกไป โดยเล็งไปที่ใบหน้าของฉู่หลิวเยว่!
ฉู่หลิวเยว่ยกแขนขึ้นขวาง!
ตูม!
เกิดเสียงกระแทกดังสนั่น!
พร้อมความปวดร้าวที่แผ่ซ่านไปทั่ว!
แต่มันก็ดีกว่าที่ฉู่หลิวเยว่คาดไว้มาก
“แม้เจ้าจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับเจ็ดขั้นต้น แต่ต้องขอบคุณประสบการณ์จากพลังจิตวั่งเสิ่น เพราะมันทำให้ความแข็งแกร่งทางกายภาพและด้านอื่นๆ ของเจ้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก จริงๆ แล้วความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเจ้า อยู่ที่ระดับเจ็ดขั้นสูงสุด”
เสียงของตู๋กูโม่เป่าดังขึ้น
ดวงตาของเขากวาดมองไปยังใบหน้าของฉู่หลิวเยว่
“ดูแล้วคงใช้เวลาไม่ถึงสิบวัน”
“เปลี่ยนเป็นห้าวันแทนแล้วกัน”