ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1099 สู้คนป่วยไม่ได้
ตอนที่ 1099 สู้คนป่วยไม่ได้
แต่ไม่ทันที่ฉู่หลิวเยว่จะได้โต้ตอบ หุ่นเชิดด้านหน้าก็พุ่งเข้ามาประชิดตัวอีกครั้ง!
เรียวขาขาวของหุ่นเชิดตวัดกวาดออกไปหมายเตะฉู่หลิวเยว่!
อายเย็นปะเข้ากับอากาศด้านหน้า ฉู่หลิวเยว่เบี่ยงตัวหลบทันที!
แต่อีกฝ่ายเร็วกว่า! เขาตวัดขาเตะเข้าที่บั้นเอวของนางอย่างแรง!
ฉู่หลิวเยว่เซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่ก็สะกดกั้นความเจ็บปวดนั่นไว้ได้ นางหันกลับมาและจับข้อเท้าของเขาไว้ แล้วกระชากสุดแรง!
โครม!
หุ่นเชิดตัวสูงล้มลงไปกองกับพื้น!
แต่หุ่นเชิดนั้นไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด เขายกขาขึ้นถีบฉู่หลิวเยว่โดยไม่ลังเล!
ฉู่หลิวเยว่รีบร่นถอยหลัง!
เจ้าหุ่นนี่ก็เอาเรื่องเหมือนกันนะ!
ฉู่หลิวเยว่ในตอนนี้ไม่ใช่แค่คู่ต่อสู้ของเขาแล้ว นางแทบจะถูกไล่ล่าทุบตีให้ตายราวกับผักปลา และทำได้เพียงใช้วิธีที่กลยุทธหลบหลีกอันชาญฉลาดอื่นๆ เพื่อหาโอกาสโจมตีให้ตัวเอง
ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด!
และบางครั้งก็มีเสียงตุบตับจากการกระแทกและทุบตีดังขึ้นหลายครั้ง
ตู๋กูโม่เป่าเฝ้ามองอยู่ข้างสนาม เขายืนเอามือไพล่หลังและทอดสายตามองอย่างเงียบเชียบ
ใบหน้าเล็กขาวนวลอันน่ารักน่าชังไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ มีเพียงดวงตาคู่หนึ่งที่จ้องมองไปยังสนามอย่างไม่ลดละเท่านั้น
ที่สั่งสอนนางตอนนี้ ก็เพื่อในอนาคตนางจะได้ไม่ถูกใครเขาเล่นงานเอา และยังเป็นฝ่ายเล่นงานคนอื่นได้ด้วย!
ถ้าบอกว่าไม่เจ็บปวดใจก็คงจะโกหก
แต่อย่างใดเสีย…การฝึกแบบนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก
ท้ายที่สุดแล้ว มันจะทำให้นางทะลวงผ่านขั้นพลังปราณได้แบบก้าวกระโดด!
…
เวลาสองชั่วโมงผ่านไปอย่างเชื่องช้า
กว่าฉู่หลิวเยว่จะได้โอกาสหาช่องโหว่ของคู่ต่อสู้ และรับมือกับพละกำลังอันแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้ ร่างกายของนางก็เต็มไปด้วยบาดแผลเสียแล้ว
ไม่ต้องคิดทบทวนก็รู้ว่ายามนี้กายบางนั้นเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำมากมาย
แต่โชคดีที่ฉู่หลิวเยว่ยังมีพลังปราณดั้งเดิมที่สามารถดึงมาใช้ได้ ฉะนั้นความเจ็บปวดนี้จึงมิได้ส่งผลต่อจิตใจของนางมากนัก
ตู๋กูโม่เป่าพยักหน้าแล้วเรียกหุ่นเชิดกลับมา
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
ฉู่หลิวเยว่พลางถอนหายใจยาวพรืด แข้งขาของนางอ่อนแรงจนเกือบจะล้มลงกับพื้น
ตู๋กูโม่เป่าเงยหน้าขึ้นมองสีของท้องฟ้าแวบหนึ่ง
“ส่วนเวลาที่เหลือ เจ้าก็ฝึกด้วยตัวเองไปก่อน”
จากนั้นเขาก็หันหลังและจากไป
“พี่เป่า เจ้าจะไปไหนหรือ?” ฉู่หลิวเยว่ถาม
ตู๋กูโม่เป่าชะงัก
“ฝึกฝน”
ฉู่หลิวเยว่ไม่เคยคิดเลยว่านางจะได้ยินคำนี้จากปากของตู๋กูโม่เป่า!
ความแข็งแกร่งของเขานั้นทรงพลังอย่างคาดเดาไม่ได้ และเหมือนว่าแม้แต่พวกของผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหก ก็ยังไม่เคยเห็นฝีมืออันลึกลับซับซ้อนของเขาเลยสักครั้ง
“อย่างเจ้ายังต้องฝึกอีกหรือ?!”
ฉู่หลิวเยว่ตะโกนถามอย่างอดไม่ได้
ตู๋กูโม่เป่าเบนสายตาหันกลับมามองนางนิดๆ พร้อมท่าทีเขินอายระคนหงุดหงิด แต่ก็ลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่ และสุดท้ายเขาก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าเขาต้องฝึกฝนต่อไป!
ไม่อย่างนั้นเขาจะถูกขังอยู่ในร่างเล็กๆ นี่ไปตลอดชีวิต!
แต่เขาพูดอันใดแบบนี้กับฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ และทำได้แค่เดินออกมาโดยไม่พูดอันใดสักคำ
ฉู่หลิวเยว่ลูบสันจมูกอย่างครุ่นคิด
อืม ถึงพี่เป่าจะดูแข็งแกร่ง แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็มีเรื่องกังวล…
นางนั่งพักอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะตวัดขานั่งขัดสมาธิ พลางหลับตาแล้วปรับลมหายใจ
ขณะเดียวกัน สมองของนางก็เอาแต่คิดถึงฉากการต่อสู้กับหุ่นเชิดตัวนั้นซ้ำๆ
ถึงหุ่นเชิดชนิดนี้จะไม่สามารถดูดพลังปราณจากสวรรค์และโลกมาใช้ได้ แต่การต่อสู้แบบประชิดตัวของมันกลับทรงพลังอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นด้านพละกำลัง ความว่องไวและอื่นๆ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ตัวจริงที่อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว ทักษะต่างๆ ของหุ่นเชิดนั้น ล้วนแข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่ากันเลย
ทั้งมากด้วยเล่ห์เหลี่ยม โหดเหี้ยมและแม่นยำ
ฉู่หลิวเยว่นั่งทบทวนรายละเอียดทั้งหมดของการโจมตีเมื่อครู่ในใจ และทำความเข้าใจอย่างรอบคอบ
กระทั่งพินิจพิเคราะห์กลยุทธ์ของคู่ต่อสู้ได้ทั้งหมด นางถึงลืมตาขึ้นมา
ยามนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว
ฉู่หลิวเยว่คิดอยู่พักหนึ่งแล้วเดินไปที่ประตู
เยี่ยนชิงกำลังรอนางอยู่
“ถวายบังคมพระชายา”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถามทันที
“ตอนนี้กลุ่มคนจากผาแดนสวรรค์อยู่ที่ใด?”
…
หลินเทียนเฟิงและคนอื่นๆ ยังคงพักอยู่ที่เดิม
ก่อนหน้านี้เยี่ยนชิงเคยพูดไว้ว่า พวกเขาสามารถเปลี่ยนไปพักอยู่ในตำหนักอื่นที่ดีกว่านี้ได้ แต่หลินเทียนเฟิงปฏิเสธ
หลินเทียนเฟิงเข้าใจดีว่า ผลประโยชน์ทั้งหมดที่พวกเขาได้รับหลังจากมาเยือนพระราชวังเมฆาสวรรค์นั้น ความจริงแล้วเป็นเพราะอิทธิพลของฉู่หลิวเยว่
นางอาจมิได้คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแบบนี้ แต่หลินเทียนเฟิงไม่คิดเช่นนั้น
หากมิใช่เพราะร่างกายของหลินจือเฟยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ พวกเขาอาจจากไปตั้งนานแล้ว
ทว่าหลินเทียนเฟิงยังมีอีกหนึ่งคำขอที่แอบหวังอยู่ลึกๆ นั่นก็คือ เขาต้องการพบฉู่หลิวเยว่อีกครั้ง และขอให้นางช่วยรักษาอาการป่วยของหลินจือเฟยให้หายขาด
แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจ
แม้ก่อนหน้านี้พวกเขากับฉู่หลิวเยว่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ตอนนี้นางเป็นถึงชายาเอกของพระราชวังเมฆาสวรรค์แล้ว สถานะของนางแตกต่างจากเมื่อก่อนลิบลับ
ดังนั้นหลินเทียนเฟิงจึงกังวลมากและทำได้เพียงหันไปมองนอกประตูเป็นครั้งคราว โดยหวังว่าจะได้เห็นร่างเงาที่คุ้นเคยอีกครั้ง
แต่กลุ่มคนจากหุบเขาหานซานที่ต้องพักอยู่ในตำหนักเดียวกันกลับมองว่า พฤติกรรมของพวกเขานั้นช่างไร้สาระสิ้นดี
“หึ ประมุขหลิน ครั้งนี้พวกเจ้าโชคดีมากจริงๆ!”
หานเฉวียนผู้ซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามเริ่มพูดจาแปลกๆ
แต่หลินเทียนเฟิงไม่ได้สนใจ
หานเฉวียนหัวเราะเยาะ
“พวกข้าเก็บข้าวของเรียบร้อยและเตรียมออกเดินทางแล้ว อันใดกัน ประมุขหลิน นี่พวกเจ้าไม่ไปหรือ?”
“แต่ก็อย่างว่า ในที่สุดเจ้าก็มีโอกาสได้กอดขาทองคำแบบนี้ ถ้าเป็นข้า ข้าก็ไม่ยอมออกไปเหมือนกัน!”
หานเฉวียนกล่าวด้วยความริษยา
จะบอกว่าเขาไม่อิจฉาพวกหลินเทียนเฟิง ก็คงไม่ได้
เดิมทีผาแดนสวรรค์นั้นต้อยต่ำกว่าหุบเขาหานซานของพวกเขาเสียอีก ทว่าแค่พวกเขาพบซั่งกวนเยว่โดยบังเอิญ มันกลับทำให้สถานการณ์ในตอนนี้กลับตาลปัตรไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง!
แม้ว่าจะมีข้อโต้แย้งเรื่องที่ซั่งกวนเยว่ได้เป็นพระชายามากมาย แต่มันก็เป็นแค่ฝันลมๆ แล้งๆ ที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้!
สามารถก้าวขึ้นสู่ระดับสูงได้เพียงนั้น ใครบ้างจะไม่อิจฉาผาแดนสวรรค์?
“แต่ว่า ถ้าให้ข้าพูดล่ะก็ ยามนี้นางได้เป็นชายาเอกไปแล้ว จะมาสนใจคนอย่างพวกเจ้าได้เยี่ยงไร? ประมุขหลิน หรือพวกเจ้าคิดอยากอยู่เสวยสุขที่นี่ต่อจริงๆ หรือ?”
หลินเทียนเฟิงขมวดคิ้วฉับ
“มิใช่เรื่องของเจ้า”
“เหอะ”
หานเฉวียนยืนกอดอกพร้อมพูดเย้ยหยัน
“อย่าหาว่าข้าไม่เตือนพวกเจ้าแล้วกัน ตอนนี้ซั่งกวนเยว่ได้เป็นใหญ่เป็นโต แต่นางแย่งตำแหน่งพระชายาไปจากคุณหนูใหญ่เจียงแห่งเซียนสุ่ยหลิงเจียง พวกเขาย่อมไม่ยอมปล่อยนางไปแน่! และถึงพวกเขาจะทำอันใดซั่งกวนเยว่ไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะลับมีดใส่คนรอบตัวนางไม่ได้หนิ? หลังจากนี้ พวกเจ้าเองก็…”
“คิดไม่ถึงเลยว่าประมุขหานจะรู้เรื่องของพระราชวังเมฆาสวรรค์ดีถึงเพียงนี้”
จู่ๆ ก็มีแซ่เสียงอันสดใสดังขึ้น
หานเฉวียนถึงกับชะงัก
ผิดกับหลินเทียนเฟิงที่เต็มไปด้วยความยินดี
“ตู๋…ถวายบังคมพระชายา!”
เมื่อเห็นผู้มาใหม่ เขาก็ตอบสนองและทำความเคารพทันที
ฉู่หลิวเยว่ช่วยประคองเขาขึ้นมา
“ประมุขหลินมิต้องเกร็ง วันนี้ข้าแค่มาช่วยดูอาการของคุณชายสี่เฉยๆ ก่อนหน้านี้ข้าติดธุระนิดหน่อย จึงเสียเวลาไปมาก กว่าจะได้มาหาพวกท่านที่นี่”
หลินเทียนเฟิงตื้นตันจนพูดไม่ออก
“ขอบพระทัยพระชายาที่ยังมิลืมกัน! จือเฟยอยู่ข้างในนั้น เรียนเชิญพระชายา”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ แล้วเหลือบมองเยี่ยนชิงด้วยหางตา
“เยี่ยนชิง ประมุขหานท่านนี้ช่างมีวิสัยทัศน์กว้างไกลนัก ไฉนถึงไม่ให้พวกเขาพักอยู่ที่นี่ต่ออีกสองสามวัน ครั้นฝ่าบาททรงว่างแล้ว ก็โปรดเชิญเขามาฟังแนวทางและมุมมองของประมุขหานด้วย”
“ขอรับ!”
หานเฉวียนหน้าซีดเผือดและกำลังจะเอ่ยแก้ต่าง แต่ฉู่หลิวเยว่กลับเมินเขาและจากไปพร้อมกับหลินเทียนเฟิง
…
อีกด้านหนึ่ง หรงซิวก้าวเท้าออกมาจากห้องทรงงาน และตรงกลับไปยังห้องบรรทม
แต่ฉู่หลิวเยว่มิได้อยู่ที่นี่
“พระชายาเล่า?”
หรงซิวถาม
อวี๋มั่วก้มศีรษะลง
“พระชายาไปช่วยรักษาอาการป่วยให้คุณชายสี่แห่งตระกูลหลิน ขอรับ”
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้น
เขาเริ่มอยากกลับไปเป็นหรงซิวผู้แสนอ่อนแอดั่งในอดีตขึ้นมาแล้วสิ
——————————————-