ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1105 รอเจ้ากลับมา
ตอนที่ 1105 รอเจ้ากลับมา
“แน่นอนอยู่แล้ว”
หลินจือเฟยกล่าวด้วยความมั่นใจ
“ฝ่าบาทเป็นหนึ่งในศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของสำนักหลิงเซียว และเป็นศิษย์ผู้เก่งกาจอย่างหาที่เปรียบมิได้ในช่วงนั้น ทว่าสองปีที่ผ่านมา ฝ่าบาทไม่ค่อยได้กลับไปที่นั่น แต่ท่านก็ยังเป็นแบบอย่างที่ลูกศิษย์หลายคนของสำนักหลิงเซียวชื่นชมไม่ขาดสาย”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปนิด
“เขาเป็นศิษย์ของที่นั่นหรือ? แต่เขาก็เป็นคนของพระราชวังเมฆาสวรรค์มิใช่หรือ ไฉนถึงไม่ฝึกกับทางตระกูลของเขา แต่ดัน…”
ได้ยินเช่นนี้ หลินจือเฟยถึงตระหนักได้ว่าฉู่หลิวเยว่กำลังผิดประเด็น
เขายิ้มบางและอธิบายว่า
“พระชายา ดูเหมือนท่านจะไม่ค่อยรู้เรื่องสำนักวิชาหลิงเซียวมากนัก แม้จะใช้ชื่อสำนักวิชา แต่ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นสำนักวิชาอันดับหนึ่งในอาณาจักรเสิ่นซวี่เลย สำนักหลิงเซียวนั้นมีทุนและทรัพยากรที่แน่นอนต่อลูกศิษย์ทุกคน”
“สำนักหลิงเซียวมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับหมื่นปี เสมือนมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นและรากฐานที่ลึกซึ้ง แม้แต่ตระกูลใหญ่ๆ ชั้นนำมากมายก็ไม่อาจเทียบได้ ที่นั่นมียอดฝีมือระดับสูงนับไม่ถ้วน รวมทั้งทรัพยากรหายากมากมาย ดังนั้น นอกจากผู้ฝึกต้นที่ยึดตนเป็นอิสรชนแล้ว ก็ยังมีลูกหลานตระกูลขุนนางจำนวนมาก ที่ต้องการเข้าศึกษาที่สำนักหลิงเซียวเพื่อก้าวสู่เส้นทางผู้ฝึกตน”
“ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าสำนักหลิงเซียวนั้นมีการฝึกฝนที่เป็นระบบและการแนะนำที่ดีต่อศิษย์ ทว่าอีกแง่หนึ่งก็เพราะศิษย์ของสำนักหลิงเซียวนั้นกระจายตัวอยู่ทั่วราชอาณาจักร และส่วนใหญ่ก็มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อสำนักวิชา ซึ่งหากเข้าเป็นศิษย์สาวกของที่นี่ได้ ก็สามารถสร้างเครือข่ายเส้นสายของตัวเองได้กว้างขวาง”
“ไม่ว่าจะมองอย่างใด การไปศึกษาและฝึกตนที่สำนักหลิงเซียวนั้นที่ ถือเป็นความฝันที่ผู้ฝึกตนมากมายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ปรารถนา”
หลินจือเฟยกล่าวพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมคลื่นอารมณ์ที่ซัดเข้ามาในรูม่านตาใสกระจ่างของเขา
“ข้าเองก็ด้วย”
หลินจือเฟยในอดีตนั้นมีแต่ความฝันที่ยากจะเป็นจริง
ในตอนนั้น การออกไปนอกตระกูลถือเป็นเรื่องยากสำหรับเขา และขยับก็เจ็บปวดไปทั่วร่างกายแล้ว
แต่ตอนนี้มันต่างออกไป
ยามนี้ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นมาก เช่นนั้น…สำนักหลิงเซียวที่เฝ้าฝันถึง ก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่มองเห็นความปรารถนาอันลึกซึ้ง และความคาดหวังของเขาต่อสำนักหลิงเซียวได้ชัดเจน แต่ในใจก็ยังแอบสงสัยนิดหน่อย
หลินจือเฟยมีนิสัยเฉยชา และยากที่เขาจะสนใจอันใดจริงๆ จังๆ เช่นนี้ แม้แต่ตำแหน่งประมุขของผาแดนสวรรค์ เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าอยากรับช่วงต่อเลย
อย่างใดก็ตาม เมื่อพูดถึงสำนักหลิงเซียว การแสดงออกของเขากลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
สำนักวิชาแห่งนั่น…ยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้นเลยหรือ?
ฉู่หลิวเยว่จึงแสร้งเอ่ยทีเล่นทีจริง
“ฟังแล้วเหมือนว่าสำนักหลิงเซียวจะดีอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ เจ้าพูดเสียข้าอยากไปดูให้เห็นกับตาเลย”
ดวงตาของหลินจือเฟยเป็นประกายในทันใด เขาผุดลุกขึ้นนั่งแล้วพูดว่า
“ข้าดีใจที่ท่านคิดเช่นนั้น หากว่าตามพรสวรรค์ของท่านแล้ว ท่านจะต้องได้รับการยอมรับจากพวกเขาแน่นอน”
ถึงตอนนี้นางจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับเจ็ดคนหนึ่ง
และถ้าที่เจ้าพูดมานั้นเป็นความจริง ก็หมายความว่าในอาณาจักรเสิ่นซวี่แห่งนี้ นางไม่ได้สังกัดสำนักวิชาใดและไม่มีสำนักใดให้พึ่งพาเลย เช่นนั้น…สำนักหลิงเซียวก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด!
ฉู่หลิวเยว่เองก็ฉุกคิดได้เช่นกัน
นางหรี่ตาและเริ่มเก็บเอาเรื่องนี้ไปคิดอย่างจริงจัง
“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก…”
นอกจากสงสัยเรื่องธุระของหรงซิวแล้ว การไปที่นั่นแล้วได้พัฒนาศักยภาพและขยายเครือข่ายของตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่คุ้มค่าแก่การลงทุนเช่นกัน
แม้ว่าการฝึกอยู่ในพระราชวังเมฆาสวรรค์จะสะดวกสบาย แต่กลับรู้สึกว่ามันไม่อิสระสักเท่าไร
และยิ่งนึกถึงเหล่าผู้อาวุโสที่ต่อต้านนางกับหรงซิว ฉู่หลิวเยว่ก็ยิ่งเบื่อ
การอยู่ที่นี่ในฐานะชายาเอก ทำให้ผู้คนรอบตัวคอยจับจ้องทุกคำพูดและการกระทำของนางเสมอ
เมื่อคิดแบบนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็ยิ่งอยากไปสำนักหลิงเซียวมากขึ้น!
“ไว้ข้าจะลองคิดดูอีกที”
ฉู่หลิวเยว่กล่าวแล้วลุกขึ้นยืน
“ส่วนเจ้าจะไปก็ไปเถอะ แต่อย่าลืมข้อตกลงระหว่างเราแล้วกัน”
หลินจือเฟยพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
“คำสั่งของพระชายาถือเป็นคำขาด ข้าจะทำให้ดีที่สุด”
…
หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่กลับไปยังห้องบรรทมของตน นางก็เริ่มคิดเรื่องสำนักหลิงเซียวอีกครั้ง
พอตู๋กูโม่เป่าเห็นว่านางดูใจลอย ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“คิดอันใดอยู่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ผงะเล็กน้อย ก่อนจะย้อนถามเขาว่า
“พี่เป่า เจ้าเคยได้ยินเรื่องสำนักหลิงเซียวหรือไม่?”
ตู๋กูโม่เป่าหยุดชะงัก และเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาสีม่วงอันเต็มไปด้วยเสน่หาคู่นั้น ช่างลึกล้ำจนยากจะหยั่งถึง
“ข้าเคยได้ยินมาบ้าง ไยจู่ๆ เจ้าถึงพูดเรื่องนี้ได้?”
“ข้ากำลังคิดว่าจะลองไปที่นั่นดีหรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่บอกตู๋กูโม่เป่าไปตรงๆ มิได้ปิดบังแต่อย่างใด
“ข้าได้ยินมาว่าหากเข้าไปได้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกตนอย่างมาก”
ตู๋กูโม่เป่ายังคงนิ่งเฉย
“เจ้าคิดว่า ข้าสอนเจ้าได้ไม่ดีอย่างนั้นสิ?”
“ไม่ใช่นะ!”
ฉู่หลิวเยว่ตวัดตามองเขาอย่างไว
นางรู้ดีว่าการมียอดฝีมือระดับเทพมาสอนวิชาให้นางเป็นการส่วนตัวนั้น เป็นสิ่งที่มีเกียรติมากเพียงใด!
แต่การเรียนในสำนักวิชากับการเรียนตัวต่อตัว มันไม่เหมือนกัน
“ข้าแค่คิดว่าการไปเรียนในสำนักวิชาก็มีข้อดีอีกแบบ และการที่มันสามารถดำรงอยู่ในอาณาจักรเสิ่นซวี่ได้นานหลายหมื่นปีเช่นนี้ จักต้องมีอันใดพิเศษมากแน่ๆ…แล้วก็…”
ฉู่หลิวเยว่เงียบไปพักหนึ่ง
“แล้วก็ ข้ามักจะรู้สึกว่าข้าคุ้นเคยกับที่นั่น”
ตู๋กูโม่เป่าหลุบตาลง
และไม่นาน เขาก็พูดว่า
“ตามใจเจ้า”
ทันใดนั้น ก็เหมือนว่าเขาจะนึกอันใดขึ้นได้
“แล้วหรงซิวว่าอย่างใด?”
ฉู่หลิวเยว่โบกมือไหวๆ
“ข้าว่าจะไม่บอกเขา”
ตู๋กูโม่เป่าเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยความประหลาดใจ
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับสบตาเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งดังปกติของนาง ราวกับว่านางไม่แปลกใจที่ตัวเองพูดออกมาแบบนั้น
นางสังหรณ์ว่าหรงซิวจงใจปิดบังเรื่องสำนักหลิงเซียวจากนาง
และยิ่งเขาทำแบบนี้ นางก็ยิ่งอยากไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา
ตู๋กูโม่เป่าเงียบไปครู่หนึ่ง
“ใครก็รู้ว่าเจ้าคือพระชายาของพระราชวังเมฆาสวรรค์ และมีหลายคนเคยเห็นรูปร่างหน้าตาของเจ้า แค่ได้ยินชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นเจ้า แล้วเจ้ายังคิดจะ…”
“แล้วใครว่าข้าจะเข้าไปด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้?”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มเยาะ
ตู๋กูโม่เป่าเข้าใจในทันที
“เจ้าแน่ใจแล้วใช่หรือไม่?”
“อืม”
ท่าทีของฉู่หลิวเยว่ดูจริงจังมากขึ้น
“นอกจากเหตุผลที่ข้าบอกเจ้าเมื่อครู่แล้ว ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ข้าอยากรู้ ดูเหมือนว่าจวินจิ่วชิงจะรู้จักกับผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่นั่น ตอนนี้ท่านพ่อของข้ายังอยู่ในกำมือของจวินจิ่วชิง ข้าไม่รู้ว่าเขาถูกคุมขังอยู่ที่ไหน ซึ่งนี่อาจจะ…เป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยข้าได้”
นี่คือสาเหตุที่สำคัญที่สุด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดตู๋กูโม่เป่าก็พยักหน้าตกลง
“แต่ว่า…”
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองตู๋กูโม่เป่าอย่างลังเล
“พี่เป่า ข้าว่าเจ้าดูเด่นเกินไปหน่อยนะ ไว้ข้าจะหาหน้ากากให้…”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล”
ตู๋กูโม่เป่าหลับตาลง
“ระหว่างทางข้าจะซ่อนตัวอย่างดี หลังจากถึงสำนักวิชาแล้ว…จะไม่ใครสังเกตเห็นความผิดปกติสักคน”
…
ตกกลางคืน หรงซิวกลับมาแล้ว
ทว่าในขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังคิดหาข้ออ้าง หรงซิวก็ดันชิงพูดตัดหน้านางว่า
“เยว่เอ๋อ ข้าจักต้องออกไปราชการช่วงหนึ่ง และเกรงว่าคงจะไม่ได้มาอยู่กับเจ้า”
อันที่จริงสถานการณ์ฝั่งนั้นเร่งรัดเขามานานแล้ว และตอนนี้เขาก็ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ดังนั้นเขาจึงต้องมาบอกนาง
ฉู่หลิวเยว่เดาได้ทันทีว่ามันน่าจะเกี่ยวกับสำนักหลิงเซียว
“เช่นนั้นช่วงนี้ข้าจะตั้งใจฝึกซ้อมและรอเจ้ากลับมา”
——————————————-