ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1119 ผู้ใดเป็นตัวต้นคิด
ตอนที่ 1119 ผู้ใดเป็นตัวต้นคิด
ยามพวกฉู่หลิวเยว่มาถึงที่นี่ ก็มิได้สร้างความแตกตื่นใหญ่โตอันใดให้แก่สำนักหลิงเซียว
ที่นี่มักจะมีศิษย์เพิ่งเข้ามาใหม่เพิ่มเป็นประจำ ทุกคนในสำนักต่างก็เคยชินกันทั้งนั้น
บัดนี้เหลือเวลาอีกสามวันการทดสอบช่วงต้นเดือนก็จะมาถึง เรื่องของตัวเองยังจัดการแทบไม่รอด ไหนเลยจะไปสนใจเรื่องของผู้อื่นได้?
บรรดาอัจฉริยะผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วนที่มาจากทั่วทุกแห่งในใต้หล้า เมื่อมาอยู่ที่นี่แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีพละกำลังที่แข็งแกร่ง!
…
ณ เมืองฝางโจว
หลังจากผู้อาวุโสเหวินซีพาหมู่คนเหล่านั้นจากไป ก็เหลือเพียงผู้อาวุโสฮวาเฟิงที่รับหน้าที่เฝ้ายามอยู่เพียงผู้เดียว
ไม่นานเวลาก็ผ่านไปช่วงดึกแล้ว ผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็ยังคงเก็บข้าวของของตนอยู่สักพัก ก่อนจะกลับเข้าไปในจวน
เขานั่งลงบนม้านั่งหินที่ตั้งอยู่ในลานจวน รอบข้างสี่ทิศเงียบสงบยิ่ง
ทว่าในใจของผู้อาวุโสฮวาเฟิงนั้นกลับไม่สงบลงเลยแม้แต่น้อย
“จนป่านนี้แล้ว…เหตุใดจึงยังมิยอมออกมากันเล่า…”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงพึมพำเสียงต่ำยามจ้องมองไปยังดวงดาราที่ส่องสว่างบนผืนฟ้า
ไม่ถูกต้อง
จะอย่างใดก็ไม่ถูกต้อง
เขาสัมผัสได้ถึงคนผู้นั้นอย่างชัดเจน พลังปราณอันชวนให้คุ้นเคยสายนั้น ให้ตายอย่างใดเขาย่อมจำมิผิดอย่างแน่นอน!
คราแรกที่คนผู้นั้นยังมิได้เผยตัวออกมา ผู้อาวุโสฮวาเฟิงยังคิดอยู่เลยว่าอีกฝ่ายจงใจหยอกล้อเขาเล่น
ทว่ารอแล้วรอเล่า คอยเฝ้าจับตาดูมาแล้วทั้งวัน กระทั่งครึ่งเงาร่างก็ยังไม่พบเจอ
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงลูบเคราของตนไปมา รู้สึกปวดศีรษะอย่างยิ่ง
นี่เหมือนกับความรู้สึกที่ว่า เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าข้างกายเจ้าฝังกับดักระเบิดไว้อันหนึ่ง ทว่ากลับไม่รู้ว่ามันฝังไว้ตรงไหนแน่ กระทั่งระเบิดเมื่อไรก็ไม่ทราบได้!
การที่ยังค้างคาใจอยู่เช่นนี้เป็นอันใดที่ชวนให้รู้สึกไม่ดีโดยแท้
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคว้าเอาไหสุราพกข้างเอวขึ้นมาดื่มอึกใหญ่
รสอันบาดลิ้นแทบแผดเผาลำคอ!
เขาเช็ดริมฝีปากของตนด้วยแรงไม่เบานักพลางครางเสียงต่ำในลำคอ
“ไม่มาก็ไม่ต้องมา! ใครมันอยากรอเจ้ากัน!”
เอ่ยจบก็หยัดกายลุกขึ้นกลับเข้าไปในห้อง เขาเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วเอนกายลงบนเตียง ตั้งใจจะพักผ่อนเสียที
แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้องผ่านทางหน้าต่าง
แกร๊ก…
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเด้งตัวขึ้นมาอย่างฉุนเฉียว
“อ๊า! โมโหจะตายอยู่แล้ว! รอข้าหาตัวเจ้าเจอเมื่อไร ดูสิว่าจะจัดการเด็กเหลือขออย่างเจ้าอย่างใด!”
…
ในยามกลางดึกอันเงียบสงบ
เมืองฝางโจวยามค่ำคืนยามที่ไร้ซึ่งเสียงเอะอะมะเทิ่งอย่างช่วงกลางวัน ก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบสงัด
เงาร่างร่างหนึ่งที่ยอมตัวลงเล็กน้อยกว่าเดิมอยู่บ้าง กำลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ระหว่างถนนกว้างกับตรอกแคบ
ฝีเท้าของเขาแม้จะดูเชื่องช้าและไร้เสียง ทว่าแท้จริงแล้วกลับรวดเร็วนัก
แม้ว่าจะมีผู้ที่เดินทางยามค่ำคืนเดินผ่านมาบ้างประปรายก็มิอาจจับสังเกตได้
“แปลกจัง…ตรงนี้ไม่มี…ตรงนี้ก็ไม่มี…”
ใช้เวลาหาอยู่นานทีเดียว ในที่สุดผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็หยุดลงตรงมุมถนนมุมหนึ่งที่ห่างไกลออกมา ศีรษะพลันปวดไม่ว่างเว้น
หรือว่าเขาจะคิดไปเองจริงๆ?
…
ประตูเมืองนั้นไร้ซึ่งคนเฝ้ายามช่วงกลางคืนเหมือนอย่างเคย
มีเพียงช่วงกลางคืนเท่านั้นที่ สถานที่แห่งนี้ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าออกไปมาเด็ดขาด
ดังนั้นในตอนนี้ บริเวณประตูเมืองจึงเงียบสงัดอย่างยิ่ง อีกทั้งยังว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอื่นใด
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเดินมาถึงบริเวณประตูทางเข้า สะกดกลั้นลมหายใจและระแวดระวังถึงขีดสุด
สีหน้าของเขาค่อยๆ หนักแน่นขึ้นมาทีละน้อย
เช่นนั้นเขาย่อมไม่ได้คิดไปเองเป็นแน่…
ทันใดนั้น สายตาของเขาก็เบนออกมองไปยังบนช่องว่างข้างประตูเมืองที่ถูกผ่าออก
“ไม่เจอกันไม่กี่ปี ความอดทนเจ้าสูงขึ้นไม่น้อย!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงแค่นเสียงต่ำในลำคอ
“ดูสิว่าครั้งนี้เจ้าจะทนได้สักกี่น้ำ!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงไม่ได้นอนเลยทั้งคืน
รุ่งเช้าของวันที่สอง เขาก็รับรู้ได้ว่ามีคนมาหา
นั่นก็คือผู้อาวุโสที่รับผิดชอบหน้าที่ผู้เฝ้ายามคนถัดไป นั่นก็คือ ก่วนซง
ยามมองเห็นสีหน้าอ่อนระโหยไร้เรี่ยวแรงจนสังเกตเห็นได้ของผู้อาวุโสฮวาเฟิง ผู้อาวุโสก่วนซงก็ผงะด้วยความตกใจ
“นี่มันเกิดอันใดขึ้น? แค่เฝ้ายามอยู่ที่นี่ครึ่งวัน เหตุใดถึงอยู่ในสภาพนี้ได้เล่า?”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงแทบสำลัก
พูดออกไปไม่ได้เด็ดขาดว่าเป็นเพราะรอเจ้าเด็กเหลือขอนั่น…
“ไม่มีอันใดมากหรอก เจ้ามาแล้วก็ดี”
ผู้อาวุโสก่วนซงกวาดสายตามองไหสุราพกอันว่างเปล่าที่เหน็บไว้ข้างเอวของเขา แล้วเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“มิเช่นนั้นแล้วเจ้ากลับไปเร็วกว่านี้สักหน่อยเถิด? ข้าเห็นเจ้าเป็น…”
“ไม่จำเป็น!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงตอบปฏิเสธอย่างไม่อ้อมค้อม
เขาเปลี่ยนใจแล้ว!
หัวเด็ดตีนขาดอย่างใดเขาก็จะรออยู่ที่นี่!
…
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงรออยู่เช่นนี้มาสามวันแล้ว
ระหว่างนั้นมีผู้อาวุโสหลายคนมาเปลี่ยนกะไม่ขาดสาย แต่ผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
ทว่าเขารอแล้วรอเล่า หาแล้วหาอีก คนผู้นั้นก็ไม่ปรากฏร่องรอยให้เห็นแม้แต่เงา
ใจของผู้อาวุโสฮวาเฟิงถูกบั่นทอนแรงลงอย่างเต็มเปี่ยม
เจ้าบอกเองว่าหากเจ้ากลับมาแล้วล่ะก็ คงใช้เวลาหลบซ่อนไม่กี่วันแล้วค่อยออกมา
ถ้าหากเจ้ายังไม่กลับมา…
ดวงตาของผู้อาวุโสฮวาเฟิงพลันเป็นประกายสว่าง!
หรือว่า…เจ้าเด็กมหันตภัยนั่นจะยังไม่กลับมาจริงๆ!?
ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็กลับไปในช่วงหนึ่งวันก่อนถึงต้นเดือนหน้า
…ไม่รอมันด้วยแล้ว! ไปรับศิษย์สำคัญกว่า!
…
ในตอนนั้นเอง เหนือยอดเขาหลายลูกภายในสำนักหลิงเซียว
เด็กหนุ่มสองคนกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ไกลๆ กลางอากาศ
คนหลายร้อยที่อยู่โดยรอบต่างพร้อมใจกันล้อมวงเข้ามาจนกลายเป็นวงกลม
ข้างกายของเด็กหนุ่มทั้งสองมีแท่นหินสองอันตั้งอยู่
ด้านบนแท่นหินแต่ละอันมีตราหยกสีดำของพวกเขาเองวางเอาไว้
บรรยากาศภายในนั้นตึงเครียดอย่างมาก
ชัดเจนแล้วว่านี่ก็คือการพนันโอสถ
ทว่าในตอนนั้นเอง ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มทั้งสองจะได้เริ่มแข่งขัน ครรลองสายตาของฝูงชนกลับจ้องมองเงาร่างหนึ่งที่อยู่เหนือทุกคนขึ้นไป
ทุกผู้ต่างก็พบว่าเป็นร่างของเด็กหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีเขียวแกมน้ำเงินนั่นเอง
เขามีดวงหน้าอันจิ้มลิ้ม และท่วงท่าที่สบายสะอาดสะอ้าน
“ฉู่เยว่ รอบนี้เจ้าพนันว่าใครจะชนะ!?”
จงซวิ๋นที่ยืนอยู่ข้างกายเขาเอ่ยถาม
สิ้นเสียงพูด กลางลานพนันก็เงียบกริบยิ่งกว่าเดิม
คนบางส่วนสะกดกลั้นลมหายใจของตนโดยไม่รู้ตัว ดวงตาก็จ้องเขม็งไปยังเด็กหนุ่มที่ถูกเอ่ยถาม
ราวกับว่ากำลังรอฟังคำตอบของเขาอย่างใดอย่างนั้น
ยามถูกจ้องด้วยสายตาอันหลงใหลรุ่มร้อนเหล่านี้ ฉู่หลิวเยว่ก็เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมา
เหมือนว่าเรื่องราวมันจะ…ร้ายแรงเกินไปหน่อยแล้ว…
ความจริงแล้วนี่เป็นเรื่องปกติอย่างมาก สามวันก่อนหน้านี้นางขอให้จงซวิ๋นช่วยพานางไปดูเสียหน่อยว่ายังมีผู้ใดพนันโอสถกันอีกบ้าง ด้วยคิดว่าจะหาเบี้ยติดตัวสักเล็กน้อย
ผลลัพธ์ก็คือ หลังจากนางพนันชนะติดต่อกันห้าตา เรื่องมันก็เริ่มจะคุมไม่อยู่
มีคนจำนวนมากเล่าลือกันว่าศิษย์น้องที่เพิ่งเข้าสำนักมาใหม่ท่านหนึ่งชนะพนันโอสถติดกันห้าตา!
ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ข้างที่เขาเลือกเดิมพันด้วยล้วนมีอัตราแพ้เป็นส่วนมากเสียทั้งสิ้น!
ในตอนที่ทุกคนต่างคิดว่าเขาจะถูกกินเรียบ เขาก็ต้านกระแสหลักและพลิกสถานการณ์ขึ้นมาได้ แล้วก็จากไปในทันทีพร้อมคะแนนสะสมที่คนนับไม่ถ้วนต่างเก็บหอมรอมริบมาอย่างยากลำบาก!
นี่ทำให้ศิษย์น้องเล็กผู้นี้ได้คะแนนสะสมเพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยเท่าจากหนึ่งร้อยแต้มที่ได้รับในวันแรกของการเข้าสำนัก!
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปก็ก่อให้เกิดความชุลมุนไม่น้อยขึ้นมาในทันที
การพนันโอสถในสำนักถือเป็นเรื่องปกติ
ในด้านหนึ่งทุกคนสามารถแลกเปลี่ยนวิชาซึ่งกันและกัน เรียนรู้จากอีกฝั่งได้
และในอีกด้านหนึ่งก็ยังสามารถกระตุ้นความเพลิดเพลิน และช่วยปรับคุมอารมณ์ได้
ดังนั้นนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอเพียงมีคนเริ่มการพนัน ก็จะมีคนจำนวนไม่น้อยตามไปดูเป็นเรื่องปกติ
ส่วนใหญ่แล้วก็มีทั้งแพ้และชนะ
อย่างใดก็ตาม ในส่วนของการหลอมยา เรื่องที่ต้องให้ความสำคัญและใส่ใจนั้นมีมากยิ่งนัก
แล้วยิ่งในระดับที่สูงมาก หากในระหว่างการแข่งขันปรากฏข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถนำไปสู่ความล้มเหลวได้
ความไม่แน่ไม่นอนเช่นนี้เองก็เพิ่มความสำราญในการพนันโอสถไม่น้อยเลยทีเดียว
ทว่าในตอนนี้ เจ้าเด็กอ่อนหัดไร้ประสบการณ์นั่นกลับชนะติดต่อกันห้าตา! เช่นนี้แล้วผู้คนจะมิตะลึงหรือตกใจได้อย่างใด?
ดังนั้น บรรดาคนที่ตามทิศทางลมจึงมีมากขึ้นเรื่อยๆ
จนมาวันนี้ ไม่ว่าฉู่หลิวเยว่จะย่างก้าวไปที่ใด การพนันที่นั่นก็จะดุเดือดเป็นพิเศษ
ทุกคนจึงรอนางตัดสินใจกันถ้วนหน้า
ฉู่หลิวเยว่ยกมือนวดหว่างคิ้วของตน
ความจริงแล้ว…มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ…
ในวันแรกนางจงใจเลือกข้างผู้ที่มีแววแพ้การแข่งเป็นส่วนมากก็เพื่อหาเงินเล็กน้อยให้ตัวเองเท่านั้น ใครจะรู้กันเล่าว่าผลจะออกมาเป็นเช่นตอนนี้?
“ข้าคิดว่า…”
ฉู่หลิวเยว่เดินฝ่าฝูงชนไปยังแท่นหินอันหนึ่ง นางที่เพิ่งจะได้วางตราหยกของตนลงไป ก็พลันได้ยินสุ้มเสียงดังฟังชัดเสียงหนึ่งที่ดังลอยมาจากกลางอากาศ
“พวกเจ้าทำอันใดกันน่ะ!? พรุ่งนี้ต้นเดือนก็จะทดสอบกราบอาจารย์เข้าสำนักแล้ว มารวมหัวทำอันใดกันอยู่ที่นี่!?”
ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมอง
ฉู่หลิวเยว่เองก็เงยศีรษะขึ้นมองเช่นกัน
“เจ้าเด็กเหลือขอคนไหนมันเป็นตัวต้นคิด โผล่หน้าออกมา!”
ทุกคนต่างก็เก็บตราหยกของตนอย่างว่องไวด้วยท่าทีชำนิชำนาญ ก่อนจะพร้อมใจกันมองมาทางฉู่หลิวเยว่เป็นตาเดียว
ส่วนฉู่หลิวเยว่ที่เพิ่งวางตราหยกไปนั้น “???”